หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน
TRANSCRIPT
![Page 1: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/1.jpg)
บทที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมุติฐาน
การวิจยัเปนการศึกษาหาคนควาหาความรูความจริงเพื่อตอบปญหาการวจิัยหรือขอสงสัยทีเ่กิดขึ้น โดยใชกระบวนการที่เชือ่ถือไดดังกลาวมาแลว ซึง่สิ่งที่เกีย่วของกับการหาคําตอบนั้นอาจมีคาคงตัวหรอืการแปรเปลี่ยนคาไปไดโดยขึ้นอยูกับลักษณะและโครงสรางของส่ิงที่เราศึกษา ในทางวิทยาศาสตรและสังคมศาสตรเรียกวา ตัวแปร ซึ่งในบทนี้จะกลาวถึงความหมายของตัวแปร ความสาํคัญของตัวแปร ประเภทของตัวแปร และการตั้งสมมุติฐาน ดัง ตอไปนี ้
1. ความหมายของตัวแปร
ตัวแปรในทางสังคมศาสตรใชในความหมายทีว่า ตวัแปรหมายถึง คุณลักษณะหรือคุณสมบัติใด ๆ ที่มีรวมกันในทุก ๆ หนวยของประชากรที่มุงศึกษาหรืออาจกลาวไดวา ตวัแปรหมายถงึคุณลักษณะของสิง่ที่ผูวิจยัสนใจที่จะศึกษาซึง่เปนคุณลักษณะที่สามารถเปลี่ยนแปลงไดหรือแปรคาไดตามคุณสมบัติของมัน ในการเปลีย่นแปลงหรือการแปรไดของตัวแปร มี 2 ลักษณะ คือ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2543, หนา 87) 1.1 การเปลีย่นคาภายในตัวมันเอง เปนการเปลีย่นแปลงไป หรือมคีาที่แตกตางกันเมื่อเทียบกับตัวเอง ไดแก อายุ น้าํหนัก สวนสูง รายได เปนตน ตัวแปรบางตัวแปรเปลี่ยนแปลงไปโดยมคีาสูงขึ้นเพียงอยางเดยีว เชน อาย ุ ความสงู ตาํแหนงทางวิชาการ เปนตน ตัวแปรบางตัวเปลี่ยนแปลงโดยมคีาลดลงเพียงอยางเดียว เชน อายุการใชงานหลอดไฟฟา การเสื่อมสภาพของรถยนต เปนตน คาตัวแปรบางตัวมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ ไดเชน ความพึงพอใจของบุคคลตอส่ิงใดสิ่งหนึง่ น้ําหนกัตัว ผลการเรียน เปนตน 1.2 การเปลี่ยนคาเมื่อเทยีบกับกลุม เปนคาที่แตกตางกนัระหวางกลุม เชน เพศ อาชีพ เชื้อชาติ เปนตน สําหรับทางสถติินิยมกาํหนดตัวแปรเปนสญัลักษณที่ใชแทนความหมายของขอมูลที่มีความผนัแปร เขียนแทนดวยตัวอักษรตัวใหญ (X,Y,Z) และใชตัวอักษรตัวเล็ก (x,y,z) แทนคา
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 2: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/2.jpg)
42
ของตัวแปร (สินทร ศิลา, 2530, หนา 13) ในการวจิัยกอนการเกบ็รวบรวมขอมลูการวิจยั ผูวิจัยจะตองคํานงึถงึวาขอมลูอะไรหรือขอมูลประเภทใดที่จะใชสําหรับวิเคราะหหรือทดสอบเพื่อสนับสนนุสมมุติฐานที่ตัง้ไว ถาหากกําหนดขอมลูที่ตองการเกบ็รวบรวมไวมากเกนิความจําเปนที่จะใชสําหรับงานวิจยัแลวจะเสียคาใชจายมาก แตขอมลูไดนอยเกนิไป กท็ําใหงานวิจยัไมสามารถวิเคราะหผลการวิจัยไดตามวัตถุประสงค ดังนัน้เพื่อเหมาะสมสําหรับการเก็บรวบรวมขอมูลผูวิจัยควรกําหนดตัวแปรของขอมูลใหเพียงพอและตรงตามวัตถปุระสงคที่กําหนดไว สินทร ศิลา (2530, หนา 14) ไดแบงประเภทของตัวแปรออกเปน 2 ประเภท คือ ตัวแปรเชิงปริมาณ เปนตวัแปรที่มีคาที่แทจริงเปนตวัเลข เชน ปริมาณการผลิต ปริมาณการใช น้ํามนั เปนตน และตัวแปรที่มีคาที่แทจริงไมใชตัวเลข เปนตัวแปรทีอ่อกมาเปนคาที่วัดไมได เชน ใช ไมใช ไดมาตรฐาน ไมไดมาตรฐาน เปนตน
ดังนัน้อาจกลาวไดวาสมบัตอิยางหนึ่งของตัวแปรคือ คาของตัวแปร ซึ่งมีคาแตกตางกันไปตามลกัษณะของตัวแปร โดยคาของตัวแปรนัน้จะกาํหนดดวยตัวเลข และใชตัวอักษร เชน ใชสัญลกัษณ X หรือ Y ใชแทนตวัแปรตัวใดตัวหนึง่ที่เราศกึษาได
2. ความสําคัญของตัวแปร
จากที่ไดกลาวมาขางตนในการวิจัยผูวิจัยจะตองกําหนดของตัวแปรเพือ่สะดวกในการเก็บขอมูล ดังนั้นตัวแปรจงึมีความสาํคัญตอการวิจัยดงันี ้ 2.1 ตัวแปรเปนตัวเชื่อมโยงกับแนวคิดและทฤษฎี จากการศึกษาทบทวนแนวคดิและทฤษฎีของประเด็นที่ตองการศึกษา จะชวยใหผูวิจยัเกิดความชัดเจนวาภายใตแนวคิดและทฤษฎีดังกลาวนัน้ มีตัวแปรใดบางที่ผูวิจัยควรกาํหนดเปนตัวแปรทีจ่ะศึกษา โดยไมตองศึกษาจากแนวคิดและทฤษฎี เพราะมีลักษณะเปนนามธรรมสูง การศึกษาจากตวัแปรจึงเปนการลดระดับความเปนนามธรรมใหอยูในรูปธรรมมากขึน้ ซึ่งจะนาํไปสูการนยิามตัวแปรที่ศึกษาใหสามารถวัดและสังเกตได ดังภาพที ่ 3.1
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 3: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/3.jpg)
43
ภาพที ่3.1 แสดงความสมัพันธระหวางแนวคิดและทฤษฎี ตัวแปรทีศึ่กษา และการใหนิยามตัวแปร ที่มา (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2543, หนา 89)
2.2 เปนตัวเชื่อมโยงกับสมมุติฐานการวจิัย ภายหลงัจากที่ผูวิจยัไดกําหนดตัวแปรที่ศึกษาภายใตกรอบแนวคิดและทฤษฎทีี่เกี่ยวของกับเร่ืองที่ศึกษา ผูวิจัยอาจสนใจศึกษาความสัมพันธระหวางตัวแปรในลักษณะตาง ๆ โดยอาจตั้งสมมุติฐานการวิจยัซึ่งเปนการ คาดการณคําตอบตอปญหาวิจัยไวลวงหนา แลวหาขอมูล หรือหลักฐาน เพื่อทดสอบ สมมุติฐานการวิจัยตอไป 2.3 ตัวแปรชวยทาํใหสามารถวัดและทดสอบได ในการวิจัยผูวจิัยจะไมวัดและทดสอบที่แนวคิดและทฤษฎ ี เพราะยังมคีวามเปนนามธรรมสูง แตจะมาวัดและทดสอบกับ ตัวแปร เพราะมีลักษณะเปนรูปธรรม โดยนิยามเชงิปฏบัิติการสําหรับตัวแปรที่ตองการศึกษาเพื่อใหแนวทางในการวัดทีช่ดัเจน 2.4 ตัวแปรจะชวยใหเลือกใชสถิติวิเคราะหไดเหมาะสม การกําหนดตัวแปรที่ศึกษาใหอยูในระดับการวัด หรือมาตรวัดประเภทตาง ๆ เชน ระดับนามบัญญัติ (nominal scale) ระดับลําดับ (ordinal scale) ระดับอันตรภาค (interval scale) และระดับอัตราสวน (ratio scale) จะมีผลตอการเลือกใชสถิติวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการวัดตัวแปรตามระดับการวัด นั้น ๆ เชน ถาผูวิจัยตองการศึกษาความสัมพันธระหวางตัวแปรที่วัดไดในระดับนามบัญญัติ
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 4: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/4.jpg)
44
ก็อาจเลือกใชสถิติไคกําลังสอง (chi – square) สําหรับตัวแปรที่วัดไดอยูในระดับอันตรภาค ก็อาจเลือกใชสถิติวิเคราะหความสัมพันธแบบเพียรสัน (Pearson correlation) เปนตน
3. ประเภทของตัวแปร ตัวแปรมีหลายประเภทขึ้นอยูกับเกณฑที่ใชพิจารณา และมีการเรียกชื่อตาง ๆ กนัไปในทีน่ี้จะแบงประเภทของตวัแปรตามเกณฑดังนี ้ 3.1 พิจารณาตามลักษณะของพฤติกรรมมนุษย สามารถแบงตัวแปรได 2 ประเภท คือ 3.1.1 ตัวแปรเชิงรูปธรรม (concept variable) เปนตัวแปรที่แสดงความหมายในลักษณะที่คนทั่วไปเขาใจรับรูไดตรงกัน สามารถสังเกตไดชัดเจน เชน เพศ อาชีพ อายุ น้ําหนัก เปนตน 3.1.2 ตัวแปรเชิงนามธรรม (construct variable) เปนตัวแปรที่แสดงความหมายในลักษณะที่รับรูกันเฉพาะบุคคล คนทั่วไปไมอาจรับรูไดตรงกันและไมสามารถสังเกตไดโดยตรง เชน ทัศนคติ ความกาวราว ความเกรงใจ เปนตน ตัวแปรในลักษณะนี้ตองนิยามใหชัดเจนและระบุวิธีการวัดดวย 3.2 พิจารณาตามลักษณะของคุณสมบัติที่แปรคาออกมา สามารถแบงตัวแปร ออกเปน 2 ประเภท คือ 3.2.1 ตัวแปรเชิงปริมาณ (quantitative variable) เปนตัวแปรที่สามารถแสดงออกมาเปนจํานวนมีหนวยการวัดเปนปริมาณ เชน ระยะทาง เงินเดือน อายุ เปนตน 3.2.2 ตัวแปรเชิงคุณภาพ (qualitative variable) เปนตัวแปรที่ไมสามารถแสดงออกมาเปนจํานวนเชิงปริมาณได แตสามารถระบุความแตกตางตามคุณลักษณะได เชน ศาสนา อาจแบงออกเปน 3 รายการคือ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต และศาสนาอิสลาม หรืออาชีพ อาจแบงไดเปน 2 รายการคือ รับราชการ และไมไดรับราชการ เปนตน 3.3 พิจารณาตามความตอเนื่องของคุณลักษณะ สามารถแบงตัวแปรไดเปน 2 ประเภทคือ 3.3.1 ตัวแปรตอเนื่อง (continuous variable) เปนตัวแปรที่สามารถแปรคาไดอยางตอเนื่องกันภายในชวงใดชวงหนึ่งอยางนอย 2 คาของตัวแปร และสามารถสะทอน
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 5: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/5.jpg)
45
ถึงอันดับหรือขนาดที่ชัดเจน กลาวคือคาที่มากกวาจะแสดงคุณสมบัติของตัวแปรนั้นมากกวาคาที่นอยกวาได เชน ความยาว น้ําหนัก อายุ ระยะทาง ไอคิว (IQ) จีพีเอ (GPA) เปนตน 3.3.2 ตัวแปรไมตอเนื่อง (discrete variable) เปนตัวแปรที่ไมสามารถแปรคาไดอยางตอเนื่อง ไมสามารถบอกอันดับหรือขนาดได บอกไดเพียงวาสมาชิกที่อยูในรายการกําหนดตัวเลขตัวเดียวกัน เชน ตัวแปรศาสนาคา 1 แทนศาสนาพุทธ คา 2 แทนศาสนาคริสต คา 3 แทนศาสนาอิสลาม คนที่นับถือศาสนาพุทธทุกคนถือวาเทาเทียมกันหมด คนที่นับถือศาสนาคริสตทุกคนถือวาเทาเทียมกันหมด คนที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคนถือวาเทาเทียมกันหมด กลาวคือ 1 , 2 และ 3 ไมมีความหมายเชิงปริมาณ และไมสามารถนํามาบวก ลบ คูณ หารกันได
3.4 พิจารณาความสัมพันธของตัวแปร ในการวิจัยเรื่องหนึ่ง ๆ หากพิจารณาความสัมพันธของตัวแปรสามารถแบงตัวแปรออกเปน 3 ประเภทใหญ ๆ ไดดังนี้ 3.4.1 ตัวแปรที่ตองการ เปนตัวแปรที่ผูวิจัยตองการศึกษา ไดแก ตัวแปรอิสระ (independent variable) ตัวแปรตาม (dependent variable) และตัวแปรปรับ (Moderator variable) ซึ่งจะกลาวถึงดังตอไปนี้ 1) ตัวแปรอิสระ เปนตัวแปรที่เปนสาเหตุใหตัวแปรอื่น ๆ มีการ เปลี่ยนแปลงบางครั้งเรียกวา ตัวแปรตน สําหรับการวิจัยเชิงทดลอง อาจเรียกชื่อวาตัวแปรทดลอง (treatment variable) หรือตัวแปรที่จัดกระทําขึ้น โดยทั่วไปมักมีลักษณะเปนตัวแปรที่ไมตอเนื่องผูวิจัยจัดกระทําขึ้นเพื่อดูวาเปนสาเหตุของตัวแปรอื่นจริงหรือไม แตมีตัวแปรอิสระบางตัวที่ผูวิจัยไมสามารถจัดกระทําได เนื่องจากเปนคุณลักษณะที่ติดตัวกลุมตัวอยางมาอยูแลว ผูวิจัยไมสามารถจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มหรือลดตามความตองการได เชน เพศ อายุ สถานภาพสมรส เปนตน ผูวิจัยทําไดเพียงจัดตัวแปรที่มีอยูแลวออกเปนกลุม ๆ ตามสภาพที่เปนอยูเทานั้น ตัวแปรลักษณะนี้เรียกวา ตัวแปรคุณลักษณะ (attribute variable or organismic variable) 2) ตัวแปรตาม เปนตัวแปรที่ผูวิจัยตองการทราบการเปลี่ยนแปลงคาอันเนื่องมาจากตัวแปรอิสระ บางครั้งเรียกวาตัวแปรผล (effect variable และอาจถูกเรียกชื่อเปน passive variable or response variable) ในบางครั้งการที่จะกําหนดวาตัวแปรใดเปนตัวแปรอิสระ ตัวแปรใดเปนตัวแปรตาม ผูวิจัยจะตองหาขอมูลมาประกอบการพิจารณาดวยสําหรับในงานวิจัยเชิงทดลอง การพิจารณาตัวแปรอิสระคอนขางชัดเจน ตัวแปรอิสระพิจารณาจากตัวแปรที่เปนสาเหตุหรือตัวแปรที่เกิดกอนและตัวแปรตาม พิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นหรือที่เกิดภายหลัง แตในการวิจัยที่ไมใชเชิงทดลอง การกําหนดตัวแปรอิสระ ตัวแปร
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 6: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/6.jpg)
46
ตาม บางครั้งตองอาศัยหลักความเปนเหตุเปนผลชวยเปนกรอบในการพิจารณาวาตัวแปรใดควรเกิดกอนและ ตัวแปรใดมีความคงทนมากกวา เปลี่ยนแปลงไดยากกวา (ตัวแปรอิสระ) และตัวแปรใดเกิดภายหลัง หรือมีความคงทนนอยกวา เปลี่ยนแปลงไดงายกวา (ตัวแปรตาม) เชน ความยากจนกับความเจ็บปวยสามารถเปนไดทั้งตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม ทั้ง 2 ตัว การจะตัดสินวาตัวแปรใดเปนตัวแปรอิสระ ตัวแปรใดเปนตัวแปรตาม ผูวิจัยตองพิจารณากรอบระยะเวลาที่ศึกษา และหลักของความเปนเหตุเปนผลที่สอดคลองกับประเด็นปญหาอยางรอบคอบ
ตัวอยางตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ปญหาวิจัย : นักเรียนที่เรียนแบบรวมมือกับแบบปกติจะมีทักษะการทํางานกลุมแตกตางกันหรือไม
ตัวแปรอิสระ : วิธีการเรียนแบงเปน 2 วิธีคือ การเรียนแบบรวมมือและการเรียนแบบปกติ
ตัวแปรตาม : ทักษะการทํางานกลุมของนักเรียนที่วดัดวยผลงานเปนจํานวน ชิ้นงานหรือคะแนน ตัวแปรอิสระและตัวแปรตามมีความแตกตางกนัตามลกัษณะดังแสดงไดในตารางที่ 3.1 ตารางที ่ 3.1 แสดงความแตกตางระหวางตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
ลักษณะ ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม 1. ความเปนเหตุเปนผล 2. การถูกจัดกระทํา 3. การทํานาย 4. การกระตุน 5. การเกิดกอน – หลัง 6. ความคงทน
เปนเหต ุจัดกระทําได
ตัวทาํนาย ตัวกระตุน เกิดกอน คงทนกวา
เปนผล เกิดขึ้นเอง จัดกระทาํไมได ตัวถูกทํานาย ตัวตอบสนอง เกิดหลงั เปลี่ยนแปลงงายกวา
ที่มา (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2543, หนา 92)
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 7: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/7.jpg)
47
3) ตัวแปรปรับ เปนตัวแปรอิสระตัวที่สอง (secondary independent variable) หรือ ตัวรองจากตัวแปรหลัก (primary independent variable) เปนตัวแปรที่ ผูวิจัยสนใจวาจะมีสวนทําใหความสัมพันธระหวางตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามเปลีย่นไปหรอืไม เชนเดียวกับตัวแปร A มีอิทธิพลอยางไรตอตัวแปร B ขณะเดียวกันก็อยากรูวาความสัมพันธระหวาง A กับ B จะเปลี่ยนไปหรือไม ถากลุมตัวอยางมีลักษณะของ C ที่แตกตางกันทั้งนี้เพราะตัวแปร C เปนตัวแปรที่คาดวาจะสงผลตอความสัมพันธระหวางตัวแปร A และตัวแปร B ผูวิจัยจึงกําหนดตัวแปร C เปนตัวแปรปรับ เชน ปญหาวิจัย : ความเขาใจในการอานของนักเรียนที่อานออกเสียงกับอานในใจจะแตกตางกันหรือไม และหากนักเรียนที่มีความสามารถในการอานเร็วแตกตางกันจะสรุปผลไดเหมือนกันหรือไม ตัวแปรอิสระ : วิธีการอาน แบงเปน 2 วิธีคือ การอานออกเสียง กับ การอานในใจ ตัวแปรตาม : ความเขาใจในการอาน ตัวแปรปรับ : ความสามารถในการอาน 4.4.2 ตัวแปรที่ไมตองการ เปนตวัแปรที่ผูวิจัยไมสนใจที่จะศึกษา แตโดยธรรมชาตแิลวตัวแปรนี้จะมีความสัมพนัธกับตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามที่ผูวิจยัสนใจ และมีผลทําใหคาของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตามทีว่ดัไดผิดไปจากความเปนจริง ดังนั้นในการวิจยัผูวิจัยจะตองพยายามควบคุมตัวแปรชนิดนี้ใหมอิีทธิพลนอยทีสุ่ด ตัวแปรประเภทนี้ เชน ตวัแปรสอดแทรกซึ่งเปนตวัแปรที่เปนตวัแปรอิสระที่ไมตองการศึกษาแตตวัแปรนี้กลับสงผลตอตัวแปรตามและตัวแปรที่มากอน เชน ความชอบ ความสนใจ ในการเรียนวชิาคณิตศาสตรจะมีผลตอผลสัมฤทธิท์างการเรียน 4.4.3 ตัวแปรคลาดเคลื่อน (error variable) หรือตัวแปรที่ไมสามารถควบคุมได (nuisance variable) หรือตัวแปรกอกวน (confounded variable) ตัวแปรประเภทนี้เปนตวัแปรทีท่ําเกิดความคลาดเคลื่อนในผลการวิจยัที่ไมสามารถควบคุมไดหรือไมสามารถ คาดการณไดวาจะมีอะไรบางและจะเกิดขึ้นเมื่อใด ดังนั้นในการวิจัยผูวิจยัจะตองพยายาม ทําใหคาความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากตวัแปรนี้ใหต่ําทีสุ่ด ความคลาดเคลื่อนทีเ่กดิขึ้น เชน เกิดจากความเสื่อมของเครื่องมือวัด ความคลาดเคลื่อนเนื่องจากการสุมตัวอยางหรือการวัด เปนตน
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 8: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/8.jpg)
48
4. การกําหนดสมมุติฐานการวิจัย การวิจยัเปนกระบวนการที่ใชเพื่อการหาคาํตอบของปรากฏการณ ปญหาขอสงสัยที่ ผูวิจัยตองการศึกษา เมื่อมปีรากฏการณ ปญหาหรือขอสงสัยเกิดขึน้ ผูวิจัยมกัคาดการณวา ปญหาหรือปรากฏการณนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใดสาเหตหุนึง่ เรียกวาการคาดเดาถึงสาเหตุที่ทําใหเกิดขึ้นลวงหนาโดยที่ยงัไมมีการพิสูจนยนืยนั เราเรียกวา การกาํหนดสมมุติฐาน สมมุติฐานที่ผูวิจัยกาํหนดขึน้ไมจําเปนตองเปนสิง่ที่ถูกตองเสมอไป ดงันัน้ สมมุติฐานการวิจัยควรมีลักษณะดังนี ้ 4.1 เปนประโยคหรือขอความที่เขียนขึ้นเพื่อการคาดคะเนคําตอบ ซึง่เปนผลมาจากความเกี่ยวของกันหรือสัมพนัธกนัระหวางตัวแปรตั้งแต 2 ตัวแปรขึ้นไป 4.2 มีความชัดเจนไมกาํกวม มีลักษณะเปนประโยคธรรมดางาย ๆ ไมซับซอน 4.3 ไมขัดกับหลักความจริง มีเหตุผลเพียงพอและเปนไปตามหลักตรรกศาสตร มีหลักการ ทฤษฎีและความเปนจริงบางอยางมารองรับ 4.4 ขอสมมุติฐานที่กําหนดขึ้นสามารถนําไปทดสอบความถกูตองได ดวยวธิีการทางสถิติ หรือวิธีการทางเชงิคุณภาพ
5. ประโยชนของสมมุติฐานการวิจัย เนื่องจากสมมตุิฐานการวิจยัที่ตั้งขึ้นเปนเครื่องชี้นําคาํตอบของปญหาวจิัย จงึมีความสาํคัญเปนอยางมากตอการศึกษาปญหาวิจัย เพราะการคนหาคําตอบของปญหาหรือการแกปญหาใด ๆ โดยขาดการคาดคะเนคําตอบลวงหนาจะทําใหการคนหาคําตอบของปญหา หรือการ แกปญหาเต็มไปดวยความยุงยาก มดืมนในการสบืคนหาคําตอบของปญหาออกมาได ดงันั้น การวิจยัเพื่อการหาคําตอบ ผูวิจยัจงึตองมีการคาดเดาไวลวงหนาวาคําตอบของปญหานาจะเปนอยางไรแลวจึงนําเอาคําตอบที่คาดการณไวนัน้เปนแนวทางในการคนหาคําตอบที่ถูกตองอยางมีระบบตอไป กลาวโดยสรุปถงึประโยชนของสมมุติฐานที่สําคัญ ๆ ของการวิจยัเปนดงันี ้ 5.1 สมมุติฐานจะชวยกําหนดขอบเขตของการวิจัย คือทําใหวิจยัศึกษาตามแนวทางที่กําหนดไวในสมมุติฐานเทานั้น
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 9: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/9.jpg)
49
5.2 สมมุติฐานชวยใหผูวิจยัมองเห็นภาพของความสมัพันธระหวางตัวแปร และคาของตัวแปรที่จะนํามาใชเพื่อการทดสอบสมมุติฐาน 5.3 สมมุตฐิานเปนสิง่ที่ชวยใหผูวิจัยไดทราบถงึแนวทางการศึกษาคนควาวา เมือ่ดําเนนิการไปแลวจะไดผลสําเร็จหรือไม 5.4 สมมุตฐิานจะชวยใหผูวิจัยคนหาเครื่องมือวิจัย และเทคนิคทางสถิติสําหรับการวิเคราะหขอมลู 5.5 ผลที่ไดจาการทดสอบสมมุติฐานจะนําไปสูการสรางทฤษฎ ี 5.6 สมมุตฐิานจะชวยบงบอกคําตอบของปญหาที่ผูวจิัยตองการศึกษา 5.7 สมมุติฐานเปนเครื่องมือทีท่ําใหเกดิความเจริญกาวหนาทางวชิาการ ขยายขอบเขตองคความรูที่ผูวิจยัคนพบ
6. การเขียนสมมุติฐานการวิจัย การเขียนสมมตุิฐานการวิจยัโดยทั่วไปใชแนวคิด 2 ประการ ดงันี ้ 6.1 ใชแนวคิดการนิรนัย การเขียนสมมุติฐานโดยใชแนวคิดการนิรนัยมีลักษณะที่ผูวิจัยมองประเด็นปญหาทัว่ไปในประเด็นความคิดกวาง ๆ แลวสรุป นําไปสูกรอบความคิดเฉพาะ นัน่คือ ผูวิจยัจะเขียนสมมุติฐานขึ้นมาตามกรอบความเชือ่ กฎ หรือทฤษฎีเปน รากฐาน 6.2 ใชแนวคิดการอุปนัย การเขียนสมมุติฐานโดยใชแนวคิดการอุปนัยเปนวิธีที่ผูวิจัยมองประเด็นปญหาจากจุดยอย ๆ กอนแลวนาํประเด็นปญหาเหลานั้นมาสรางเปน ขอความที่แสดงความสมัพนัธในรูปแบบทั่ว ๆ ไป วิธกีารเขียนสมมตุิฐานแบบนี้ ผูวิจัยตองใชการศึกษาคนควาจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวของเปนเรื่องในทาํนองเดียวกับเร่ืองที่ผูวจิัยกําลังจะศึกษา แลวนาํขอเท็จจริงมาสรางเปนสมมุติฐาน วิธกีารเขียนสมมุติฐานแบบนี้เปนที่นิยมกันมาก การสรางสมมตุิฐานการวิจยัโดยทั่วไปตองขึ้นอยูกับวัตถปุระสงคของการวิจัยเปนความสาํคัญการวิจัยบางเรื่องไมไดเขียนสมมุติฐานแยกออกมาอยางชดัเจน แตแฝงอยูใน จุดมุงหมายของการวิจัยก็ได
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 10: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/10.jpg)
50
7. ประเภทของสมมุติฐานการวิจัย การเขียนสมมติุฐานการวิจยัที่ดีเพื่อนําไปทาํการทดสอบดวยวิธทีางสถติินั้น จําเปนที่ผูวิจัยตองศึกษาคนควาเอกสารผลงานวิจยัและทฤษฎีทีเ่กี่ยวของกับการวิจัยนั้นมากอนแลวเปนจํานวนมาก เพื่อเปนเครื่องยืนยนัวาการตั้งสมมุติฐานของการวจิัยมีความสมเหตุสมผลเพียงพอ โดยทั่วไปสมมุติฐานการวิจยัแบงออกไดเปน 2 ประเภท คือ 7.1 สมมุติฐานทางวิจยั (research hypothesis) บางครั้งอาจเรียกวาสมมุติฐานเชิงบรรยาย (descriptive hypothesis) เปนสมมติุฐานที่เขียนขึน้เพื่อเปนการคาดคะเน คําตอบของปญหาการวิจัยที่ผูวิจยัตองการศึกษาโดยใชหลักของเหตุผลความรูหรือ ประสบการณ จากผลงานการศึกษาที่ผานมา หรือจากสามัญสํานึก เปนการเขียนในลักษณะของการบรรยายโดยใชภาษาเพื่อส่ือความหมายใหเกิดความเขาใจไดตรงกัน และมกัเขียนเปนประโยคบอกเลาที่บงบอกหรือแสดงความเกี่ยวของหรือสัมพันธกนัของตัวแปรอิสระและตัวแปรตามที่ผูวจิัยตองการศึกษา 7.2 สมมติุฐานทางสถติิ (statistical hypothesis) เปนสมมุติฐานที่เขียนขึ้นอธิบายในรูปแบบของสมการทางคณิตศาสตรเพื่อคาดการณ หรือคาดคะเนถงึความสัมพันธระหวางตัวแปรตั้งแตสองตัวแปรขึ้นไป โดยใชสัญลักษณเขียนแทนคุณลักษณะ หรือตัวแปรของประชากรที่ผูวิจยัตองการศึกษาซึ่งเรียกคานีว้า คาพารามเิตอร สมมุติฐานทางสถิติจะถูกนําไปใชในการทดสอบนัยสาํคัญทางสถิติดวยคาสถิติตาง ๆ ซึ่งนําไปสูการยอมรบัหรือปฏิเสธสมมุติฐานนัน้ สมมุติฐานทางสถิติมีทีม่าจากสมมุติฐานการวิจยั สามารถเขียนได 2 ลักษณะ คือ 7.2.1 สมมติุฐานวาง หรือสมมุติฐานที่เปนกลาง เปนสมมุติฐานที่ไมมีนัยสําคัญใชแทนดวยสัญลกัษณ เปนสมมุติฐานที่อยูในรูปของการไมมีนัยสําคญัระหวางตัวแปรที่ผูวิจยัตองการศึกษาหรือตรวจสอบ ตัวอยางเชน
0H
0H : ρ = 0
หมายความวา ไมมีความสมัพันธระหวางตัวแปรที่ตองการศึกษา หรือ
0H : 1µ = 2µ
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 11: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/11.jpg)
51
หมายความวา ไมมีความแตกตางของคาเฉลี่ยระหวางตัวแปรที่ตองการศึกษา หรือ
0H : 1µ - 2µ = 0 หมายความวา คาเฉลี่ยของประชากรสองกลุมไมมีความแตกตางกนัหรือคาเฉลี่ยของประชากรสองกลุมมีคาเทากนั 7.2.2 สมมุติฐานทางเลือก (Alternative Hypothesis) บางครัง้เรียกวาสมมุติฐานแยงหรือสมมุติฐานที่ไมเปนกลาง ใชแทนสญัลักษณ เปนสมมุติฐานที่ต้ังขึ้นเพื่อรองรับขอสรุปที่เกิดขึ้นจากการทดสอบนัยทางสถิติของสมมุติฐานเปนกลางแลวไมยอมรับวาเปนเปนจริง หรือเปนการปฏิเสธสมมติุฐานที่เปนกลาง สมมุติฐานทางเลือกจะเขียนรูปที่มีความสัมพันธระหวาง ตัวแปรที่ผูวิจัยตองการศึกษา ตัวอยางเชน
1H
0H : ρ > 0 หมายความวา มีความสัมพันธทางบวกระหวางตวัแปรที่ศึกษา หรือ
1H : 1µ ≠ 2µ หมายความวา คาเฉลีย่ของตัวแปร (µ ) ที่เกิดจากประชากรสองกลุมซึง่ผูวิจัยนํามาศกึษา มีความแตกตางกัน หรือ
1H : 1µ > 2µ หมายความวา คาเฉลี่ยของตัวแปรที่เกดิจากประชากรกลุมที ่ 1 มีคามากกวาคาเฉลี่ยของ ตัวแปรที่เกิดจากประชากรกลุมที่ 2
8. ขอเสนอแนะในการเขียนสมมุติฐานการวิจัย การเขียนสมมติุฐาน ผูวจิัยควรยึดหลักเกณฑดังตอไปนี ้
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 12: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/12.jpg)
52
8.1 ควรเขียนสมมุติฐานหลังจากที่ไดมีการศึกษาทฤษฎี และเอกสารงานวิจยัที่เกี่ยวของกับปญหาที่ผูวิจยักาํลังศึกษา 8.2 ควรเขียนสมมุติฐานใหอยูในรูปของประโยคบอกเลามากกวาทีจ่ะเปนประโยคคําถาม โดยมกีารระบุทิศทางหรือไมมีระบทุางก็ได 8.3 ควรเขียนสมมุติฐานแยกเปนสวนยอย ๆ เพื่อการตอบปญหาใหครอบคลุมทกุประเด็นที่ตองการศึกษาโดยทั่วไป สมมุตฐิานหนึง่ขอควรใชตอบคําถามเพยีงขอเดยีว 8.4 ใชภาษาชัดเจนไมคลมุเครือ เขาใจงาย และทุกคนอานแลวเขาใจไดตรงกัน
9. สรุป การทาํวิจยัเมือ่ไดปญหาการวิจัยและการกําหนดหวัขอวิจัยและมกีารศึกษาจาก
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของจากสื่อตาง ๆ แลวขั้นตอนที่ควรจะดําเนินการตอไปคือการศึกษาตัวแปรและตั้งสมมุติฐานการวิจยัซึ่งไดกลาวถงึในบทนี้ดงันี ้
9.1 ในการกําหนดตัวแปรผูวิจัยจะตองศึกษา และทราบวาตัวแปรที่จะศึกษานั้นตัวแปรใดที่เปนตัวแปรอิสระ ตัวแปรใดที่เปนตัวแปรตาม หรือเปนตวัแปรประเภทใด 9.2 ตัวแปรมีความสาํคัญตอการวิจัย คือ ตัวแปรนั้นเปนตัวเชื่อมโยงกับแนวคิดและทฤษฎ ี เปนตัวเชื่อมโยงกับสมมุติฐานการวิจยั ตวัแปรจะชวยใหเลือกใชสถิตวิิเคราะหไดเหมาะสม 9.3 ในการเขียนสมมุติฐานนัน้เขียนได 2 ประเภทคือ สมมุติฐานการวิจยั และ สมมุติฐานทางสถิติซึ่งอาจเปนสมมุติฐานวางหรือสมมุตฐิานทางเลือกก็ได
10. แบบฝกหัดทายบท 1. จงบอกถงึความหมายของตวัแปรและประเภทของตัวแปร 2. ผูวิจัยจะไดตัวแปรของการวจิัยอยางไร จงอธิบาย 3. สมมุติฐานคืออะไร มีประโยชนตอผูวิจยัอยางไร 4. ในการตั้งสมมตุิฐานผูวิจัยจะตองตั้งใหสอดคลองกับอะไรของงานวิจยั
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 13: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/13.jpg)
53
5. จงใหความหมายของคําตอไปนี ้ก. ตัวแปรอิสระ ข. ตัวแปรตาม ค. ตัวแปรปรับ ง. สมมุติฐานทางวิจัย จ. สมมุติฐานทางสถิติ ฉ. สมมุติฐานทางเลือก ช. สมมุติฐานเปนกลาง
6. ในการเขียนสมมุติฐานควรเขียนในรูปแบบใด 7. ทําไมในการวจิัยจึงตองมีการตั้งสมมุติฐาน 8. การเขียนสมมุติฐาน ผูวิจัยควรยึดหลักเกณฑอะไร 9. จงอธิบาย ความหมายของสมการตอไปนี้
ก. : 0H 1µ = 2µ
ข. : 0H ρ = 0
ค. : 1H 1µ ≠ 2µ
ง. : 1H 1µ > 2µ
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam
![Page 14: หน่วยที่ 3 ตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน](https://reader033.vdocuments.pub/reader033/viewer/2022052820/54680df6b4af9f2c108b4946/html5/thumbnails/14.jpg)
54
เอกสารอางอิง
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2543). ระเบียบวธิีการวิจัยทางสังคมศาสตร. กรุงเทพมหานคร: สถาบันราชภัฏพระนคร.
ยุทธพงษ กยัวรรณ. (2543). พื้นฐานการวจิัย. กรุงเทพมหานคร: สุวีริยาสาสน. รวีวรรณ ชินะตระกูล. (2538). วธิีวิจยัการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกลาเจาคุณทหาร ลาดกระบัง. วุฒิพงษ เตชะดํารงสิน. (2545). “บทบาทของสถิติตองานวิจยัเกี่ยวกับสังคมไทย” ใน การ
ประชุมทางวชิาการสถิติประยุกตภาคเหนือ ครั้งที่ 4 วันที่ 23 – 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2545. (หนา 1-23). เชียงใหม: มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
สินทร ศิลา. (2530). สถิติเพื่อการวิจัยทางการศกึษา. กรุงเทพมหานคร: ศูนยส่ือเสริมกรุงเทพ.
Schuessle, K. F. (1964). Social Research Method. Bangkok Thailand: Thammasart University.
e-Version 2009 Tiradate Pimtongngam