1.1 ความหมายของ tense คือ...

26
1.1 ความหมายของ Tense Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการกระทํา ในภาษาอังกฤษการกระทําที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้ รูปของคํากริยาที่แตกต่างกัน เช่น 1. I am playing football now. ( ฉันกําลังเล่นฟุตบอล ) 2. I played football yesterday. ( ฉันเล่นฟุตบอลเมื่อวานนี้ ) ในประโยคที1 รูปของคํากริยาคือ am playing บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลกําลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดประโยคนีออกมา ในประโยคที2 รูปของคํากริยาคือ played บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลเกิดขึ้นเมื่อวานนี1.2 ชนิดของ Tense แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ 1. Present Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นปัจจุบัน 2. Past Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอดีต 3. Future Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอนาคต แต่ละ Tense ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 Tense ย่อย จึงมีทั้งหมด 12 Tense ดังนีPresent Tense Past Tense Future Tense 1. Present Simple Tense 1. Past Simple Tense 1. Future Simple Tense 2. Present Progressive Tense 2. Past Progressive Tense 2. Future Progressive Tense 3. Present Perfect Tense 3. Past Perfect Tense 3. Future Perfect Tense 4. Present Perfect Progressive Tense 4. Past Perfect Progressive Tense 4. Future Perfect Progressive Tense 1.3 โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 Tense ย่อยมีโครงสร้างของประโยคดังนีPresent Tense Past Tense Future Tense

Upload: others

Post on 22-Sep-2019

7 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

1.1 ความหมายของ Tense

Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการกระทํา ในภาษาอังกฤษการกระทําที่เกิดข้ึนในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคํากริยาที่แตกต่างกัน เช่น

1. I am playing football now. ( ฉันกําลังเล่นฟุตบอล )

2. I played football yesterday. ( ฉันเล่นฟุตบอลเมื่อวานนี้ )

ในประโยคที่ 1 รูปของคํากริยาคือ am playing บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลกําลังเกิดข้ึนในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา

ในประโยคที่ 2 รูปของคํากริยาคือ played บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลเกิดข้ึนเมื่อวานนี้

1.2 ชนิดของ Tense แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ

1. Present Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นปัจจุบัน

2. Past Tense ใช้กับการกระทําท่ีเป็นอดีต

3. Future Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอนาคต

แต่ละ Tense ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 Tense ย่อย จึงมีทั้งหมด 12 Tense ดังนี้

Present Tense Past Tense Future Tense

1. Present Simple Tense 1. Past Simple Tense 1. Future Simple Tense

2. Present Progressive Tense 2. Past Progressive Tense 2. Future Progressive Tense

3. Present Perfect Tense 3. Past Perfect Tense 3. Future Perfect Tense

4. Present Perfect Progressive Tense

4. Past Perfect Progressive Tense

4. Future Perfect Progressive Tense

1.3 โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 Tense ย่อยมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

Present Tense Past Tense Future Tense

Page 2: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

1. S + V.1 1. S + V.2 1. S + will , shall +V.1

2. S + is ,am , are + V.1 เติม ing 2. S + was , were + V.1 เติม ing 2. S + will, shall + be + V.1 เติม ing

3. S + have , has + V.3 3. S + had + V.3 3. S + will , shall + have , has + V.3

4. S + have , has + been + V.1 เติม ing

4. S + had + been + V.1 เติม ing 4. S +will , shall + have + been + V.1 เติม in

Present Simple Tense

2.1 ประโยค Present Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + Verb 1 (s )

( ประธาน + กริยาช่องที่ 1 ( s ) )

( เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษท่ี 3 หลังคํากริยาจะต้องเติม s )

ตัวอย่าง : 1.I go to school by car. (ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์)

2. He walks to school. ( เขาเดินไปโรงเรียน )

3. You play football every day. ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวัน )

4. Somsri and Somsak study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

2.2 ประโยค Present Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทําได้ด้วยการใช้ Verb to do มาช่วย มีหลักการใช้ดังนี้

do ใช้กับประธานพหูพจน์ และ I กับ you

does ใช้กับประธานเอกพจน์ ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + do / does + not + Verb 1

( ประธาน + do / does + not + กริยาช่องที่ 1 )

Page 3: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

ตัวอย่าง : 1. I do not ( don’t ) go to school by car. ( ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์ )

2. He does not ( doesn’t ) walk to school. ( เขาไม่เดินไปโรงเรียน )

3. You do not play football every day. ( คุณไม่เล่นฟุตบอลทุกวัน )

4. Somsri and Somsak do not study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์ไม่เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

ข้อสังเกต : เมื่อนํา does มาช่วยในประโยคแล้ว ต้องตัด s ออกด้วย

2.3 ประโยค Present Simple Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคําถาม ทําได้ด้วยการนํา do หรือ does มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Do / Does + Subject + Verb 1 ?

( Do / Does + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง : 1. Does he walk to school ? (เขาเดินไปโรงเรียนใช่หรือไม่ )

-Yes, he does. ( ใช่ เขาเดินไปโรงเรียน )

-No, he doesn’t. ( ไม่ใช่ เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียน )

2. Do you play football every day ? ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวันใช่หรือไม่ )

-Yes, I do. ( ใช่ ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน )

-No, I don’t. ( ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลทุกวัน )

2.4 หลักการใช้ Present Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําท่ีเป็นความจริงตลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น

1. The sun rises in the east.( พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก )

2. Fire is hot. ( ไฟร้อน )

2. ใช้กับการกระทําที่กระทําอยู่จนเป็นนิสัย มักจะมีกลุ่มคําที่มีความหมายว่า เสมอๆ บ่อยๆ ทุกๆ อยู่ด้วย เช่น

Page 4: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

1. I get up at six o’clock every day. ( ฉันตื่นนอนเวลา 6 นาฬิกาทุกวัน )

2. He plays football every day. ( เขาเล่นฟุตบอลทุกวัน )

2.5 หลักการเติม s ที่ค ากริยา

1.กริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o, หรือ x ให้เติม e ก่อนแล้วจึงเติม s เช่น

pass - passes = ผ่าน

brush - brushes = แปรงฟัน

catch - catches = จับ

go - goes = ไป

box - boxes = ชก

2.กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น ie แล้วจึงเติม s เช่น

cry - cries = ร้องไห้

fry - fries = ทอด

try - tries = พยายาม

ข้อยกเว้น ถ้ากริยานั้นหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น

play - plays = เล่น

stay - stays = พัก

3. กริยาที่นอกเหนือจากท่ีกล่าวในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย

resent Progressive Tense

3.1 ประโยค Present Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb 1 ing.

( ประธาน + is, am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing.)

ตัวอย่าง 1. Somchai is sleeping. ( สมชายกําลังนอนหลับ )

Page 5: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

2. I am playing football. ( ฉัน กําลังเล่น ฟุตบอล )

3. They are watching TV. ( พวกเขากําลังดูโทรทัศน์ )

3.2 ประโยค Present Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมือ่ต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงปฏิเสธให้นํา not มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + not + Verb 1 ing.

( ประธาน + is, am, are + not + กริยาช่อง 1 เติม ing. )

ตัวอย่าง : 1. Somchai is not ( isn’t ) sleeping. ( สมชายไม่ได้กําลังนอนหลับ )

2. I am not playing football. ( ฉันไม่ได้ กําลังเล่น ฟุตบอล )

3. They are not ( aren’t ) watching TV. ( พวกเขาไม่ได้กําลังดูโทรทัศน์ )

3.3 ประโยค Present Progressive Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ?

( Is, Am, Are +ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing. ? )

ตัวอย่าง : 1. Is Somchai sleeping ? ( สมชายกําลังนอนหลับใช่หรือไม่ )

-Yes, he is . ( ใช่ เขากําลังนอนหลับ )

-No, he isn’t. ( ไม่เขาไม่ได้กําลังนอนหลับ )

2. Are they studying English ? (พวกเขากําลังเรียนภาษาอังกฤษใช่หรือไม่ )

-Yes, they are. ( ใช่พวกเขากําลังเรียน )

-No, they aren’t . ( ไม่พวกเขาไม่ได้กําลังเรียน )

3. Am I playing football ? ( ฉัน กําลังเล่น ฟุตบอลใช่หรือไม่ )

-Yes, you are. ( ใช่คุณกําลังเล่นฟุตบอล )

Page 6: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

-No, you aren’t . ( ไม่คุณไม่ได้กําลังเล่นฟุตบอล )

3.4 หลักการใช้ Present Progressive Tense

1. ใช้กับการกระทําที่กําลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เช่น

1. I am studying English . ( ฉันกําลังเรียนภาษาอังกฤษ )

2. Somchai is sleeping. ( สมชายกําลังนอนหลับ )

3. They are watching TV. ( พวกเขากําลังดูโทรทัศน์ )

3.5 หลักการเติม ing ท้ายค ากริยา

1. คํากริยาธรรมดา ให้เติม ing ได้เลย เช่น

speak ( พูด ) - speaking

eat (กิน) - eating

2. คํากริยาที่มีพยางค์เดียว มีตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วเติม ing เช่น

sit ( นั่ง ) - sitting

run ( วิ่ง ) - running

3. คํากริยาที่ลงท้ายด้วย e เพียงตัวเดียวให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม ing เช่น

come ( มา ) - coming

drive ( ขับรถ ) - driving

4. คํากริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น

die ( ตาย ) - dying

lie ( นอน ) - lying

Present Perfect Tense

4.1 ประโยค Present Perfect Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + have , has + Verb 3

Page 7: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

( ประธาน + have , has + กริยาช่อง 3 )

ตัวอย่าง : 1. I have studied English for 5 years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )

2. He has lived in Bangkok since 1990.( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )

4.2 ประโยค Present Perfect Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + have , has + not + Verb 3

( ประธาน + have , has + not + กริยาช่อง 3 )

ตัวอย่าง : 1. I have not studied English for 5 years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี )

2. He has not lived in Bangkok since 1990.( เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )

3.3 ประโยค Present Perfect Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Have, Has + Subject + Verb 3 ?

(Have, Has + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? )

ตัวอย่าง : 1.Have you studied English for 5 years ?( คุณเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้วใช่หรือไม่ )

-Yes, I have. ( ใช่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )

-No, I haven’t. ( ไม่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี )

2. Has he lived in Bangkok since 1990 ?( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 ใช่หรือไม่ )

-Yes, he has. (ใช่ เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 )

-No, he hasn’t. ( ไม่ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )

4.4 หลักการใช้ Present Perfect Tense

Page 8: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําท่ีเกิดข้ึนแล้วในอดีต และเหตุการณ์นั้นยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เช่น

Somchai has studied English for 5 years. ( สมชายเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว ขณะนี้ก็ยังเรียนอยู่ )

I have worked in this company since 1990. ( ฉันทํางานในบริษัทนี้ตั้งแต่ปี 1990 ขณะนี้ก็ยังทําอยู่ )

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทําในอดีต ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ และมักจะมีคําวิเศษณ์ คือ ever, never, once, twice

มาใช้ร่วมเสมอ เช่น

- I have never seen him before. ( ฉันไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน )

- Have you ever been abroad ?( คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า )

- She has been to Bangkok twice. ( หล่อนเคยไปกรุงเทพฯ 2 ครั้ง )

4.5 กริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่องมีที่มาดังนี้

1. มีรูปมาจากการเติม ed ที่ท้ายคํากริยา เช่น

ช่องที่ 1 ช่องที่ 2 ช่องที่ 3 ความหมาย

walk walked walked เดิน

move moved moved เคลื่อน

opened opened opened เปิด

clean cleaned cleaned ทําความสะอาด

2. มีรูปมาโดยการผัน ซึ่งมีการกําหนดไว้โดยเจ้าของภาษา เช่น

ช่องที่ 1 ช่องที่ 2 ช่องที่ 3 ความหมาย

Page 9: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

see saw seen เห็น

make made made ทํา

speak spoke spoken พูด

sell sold sold ขาย

go went gone ไป

Present Perfect Progressive Tense

5.1 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + have , has + been + Verb 1 ing

( ประธาน + have , has + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. He has been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมา 3 ชั่วโมงแล้ว )

2. They have been playing football for 2 hours. ( เขาท้ังหลายเล่นฟุตบอลมา 2 ชั่วโมงแล้ว )

5.2 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + have , has + not + been + Verb 1 ing

(ประธาน+have, has+not + been+ กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. He has not been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )

2. They have not been playing football for 2 hours.( เขาท้ังหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง 2 ชั่วโมง )

5.3 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Have , Has + Subject +been + Verb 1 ing ?

(Have, Has + ประธาน + been + กริยาช่อง 1 เติม ing ?)

Page 10: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

ตัวอย่าง : 1. Has he been speaking for 3 hours ?( เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )

-Yes , he has. ( ใช่ เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมง )

- No, he hasn’t . ( ไม่ เขาพูดมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )

2. Have they been playing football for 2 hours ? ( เขาท้ังหลายเล่นฟุตบอลมาตลอด 2 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )

- Yes, they have. ( ใช่ เขาเล่นมาตลอด 2 ชั่วโมง )

- No, they haven’t . (ไม่ เขาเล่นมาไม่ถึง 2 ชั่วโมง )

5.4 หลักการใช้ Present Perfect Progressive Tense

1. ใช้กับการกระทําหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะดําเนินต่อไปอีกในอนาคต (Present Perfect Progressive

Tense ใช้เหมือน Present Perfect Tense ต่างกันแต่เพียงว่า Present Perfect Progressive Tense เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต )

เช่น

Present Perfect Tense Present Perfect Progressive Tense

He has worked for 3 hours. He has been working for 3 hours.

ในประโยคนี้เขาทํางานมาแล้ว 3 ชั่วโมง แต่ไม่ทราบว่าจะทําต่อไปอีกหรือไม่

ในประโยคนี้เขาทํางานมาแล้ว 3 ชั่วโมง และจะทําต่อไปอีก

Past Simple Tense

6.1 ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + Verb 2

( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 )

ตัวอย่าง : 1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )

2. They played volleyball last week. ( เขาท้ังหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

6.2 ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ

Page 11: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทําได้ด้วยการใช้ Verb to do

ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1

( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง : 1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )

2. They did not play volleyball last week. ( เขาท้ังหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

ข้อสังเกต : เมื่อน า did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องท่ี 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย

6.3 ประโยค Past Simple Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคําถาม ทําได้ด้วยการนํา did มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมโีครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1

( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )

- Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )

- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )

2. Did they play volleyball last week ?( เขาท้ังหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, they did. ( ใช่ เขาท้ังหลายเล่น )

- No, they didn’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )

6.4 หลักการใช้ Past Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําท่ีเกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคํา กลุ่มคํา หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค

Page 12: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

คํา กลุ่มคํา อนุประโยค

ago last night when he was young

once last year when he was five years old

yesterday yesterday morning when I lived in Tokyo

during the war

เช่น 1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )

2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )

3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก )

6.5 หลักการเติม ed ที่ค ากริยา

1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น

love - loved = รัก

move - move = เคลื่อน

hope - hoped = หวัง

2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น

cry - cried = ร้องไห้

try - tried = พยายาม

marry - married = แต่งงาน

ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น

play - played = เล่น

stay - stayed = พัก , อาศัย

enjoy - enjoyed = สนุก

obey - obeyed = เชื่อฟัง

Page 13: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะท่ีเป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพ่ิมพยัญชนะท่ีลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น

plan - planned = วางแผน

stop - stopped = หยุด

beg - begged = ขอร้อง

4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะท่ีเป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะท่ีลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น

concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย

occur - occurred = เกิดข้ึน

refer - referred = อ้างถึง

permit - permitted = อนุญาต

ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น

cover - covered = ปกคลุม

open - opened = เปิด

5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น

walk - walked = เดิน

start - started = เริ่ม

worked - worked = ทํางาน

Past Simple Tense

6.1 ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + Verb 2

( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 )

ตัวอย่าง : 1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )

Page 14: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

2. They played volleyball last week. ( เขาท้ังหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

6.2 ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทําได้ด้วยการใช้ Verb to do

ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1

( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง : 1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )

2. They did not play volleyball last week. ( เขาท้ังหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

ข้อสังเกต : เมื่อน า did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องท่ี 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย

6.3 ประโยค Past Simple Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคําถาม ทําได้ด้วยการนํา did มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1

( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )

- Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )

- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )

2. Did they play volleyball last week ?( เขาท้ังหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, they did. ( ใช่ เขาท้ังหลายเล่น )

- No, they didn’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )

6.4 หลักการใช้ Past Simple Tense

Page 15: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําท่ีเกิดข้ึนและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคํา กลุ่มคํา หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค

คํา กลุ่มคํา อนุประโยค

ago last night when he was young

once last year when he was five years old

yesterday yesterday morning when I lived in Tokyo

during the war

เช่น 1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )

2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )

3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก )

6.5 หลักการเติม ed ที่ค ากริยา

1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น

love - loved = รัก

move - move = เคลื่อน

hope - hoped = หวัง

2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น

cry - cried = ร้องไห้

try - tried = พยายาม

marry - married = แต่งงาน

ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น

play - played = เล่น

stay - stayed = พัก , อาศัย

Page 16: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

enjoy - enjoyed = สนุก

obey - obeyed = เชื่อฟัง

3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะท่ีเป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะท่ีลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น

plan - planned = วางแผน

stop - stopped = หยุด

beg - begged = ขอร้อง

4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะท่ีเป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะท่ีลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น

concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย

occur - occurred = เกิดข้ึน

refer - referred = อ้างถึง

permit - permitted = อนุญาต

ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น

cover - covered = ปกคลุม

open - opened = เปิด

5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น

walk - walked = เดิน

start - started = เริ่ม

worked - worked = ทํางาน

Past Progressive Tense

7.1 ประโยค Past Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง: Subject + was , were + Verb 1 ing

Page 17: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

( ประธาน + was , were + กริยาช่องที่ 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. I was playing football at 4 pm. yesterday.

( ฉันกําลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )

2. She was watching TV at 6 pm. yesterday.

( หล่อนกําลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )

3. They were studying English at 9 am. yesterday.

( เขาท้ังหลายกําลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )

7.2 ประโยค Past Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นํา not

มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Subject + was, were + not + Verb1 ing.

( ประธาน + was , were + not + กริยาช่องที่ 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. I was not ( wasn’t ) playing football at 4 pm. yesterday.

( ฉันกําลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นวานนี้ )

2. She was not watching TV at 6 pm. yesterday.

( หล่อนกําลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )

3. They were not (weren’t ) studying English at 9 am. yesterday.

( เขาท้ังหลายกําลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )

7.3 ประโยค Past Progressive Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Was , Were + Subject + Verb 1 ing. ?

Page 18: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

( Was , Were + ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing. ? )

ตัวอย่าง : 1. Was she watching TV at 6 pm. yesterday ?

( หล่อนกําลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นวานนี้ใช่หรือไม่ )

- Yes, she was. ( ใช่หล่อนกําลังดูโทรทัศน์ )

- No, she wasn’t ( ไม่หล่อนไม่ได้กําลังดูโทรทัศน์ )

2. Were they studying English at 9 am. yesterday ?

(เขาท้ังหลายกําลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าวานนี้ใช่หรือไม่ )

- Yes, they were. ( ใช่เขาทั้งหลายกําลังเรียน )

- No, they weren’t. ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้กําลังเรียน )

7.4 หลักการใช้ Past Progressive Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์ทีกําลังเกิดขึ้น ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น

-1. I was cleaning my room at 9 o’clock yesterday.

( ฉันกําลังทําความสะอาดห้องตอน 9 โมงเม่ือวานนี้ )

-2. They were reading newspaper at 8 o’clock yesterday.

( เขากําลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอน 8 โมงเม่ือวานนี้ )

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต กล่าวคือ มีเหตุการณ์อันหนึ่งเกิดข้ึนและกําลังดําเนินไปอยู่ก่อนและแล้วมีเหตุการณ์ท่ีสองเกิดขึ้นมา มีหลักการแต่งประโยคดังนี้

เหตุการณ์ที่เกิดอยู่ก่อน ใช้ Past Progressive Tense เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense

เช่น- 1. While he was walking along the street , he saw an accident.

( ขณะที่เขากําลังเดินไปตามถนนเขาเห็นอุบัติเหตุ )

-2. I was taking a bath when the telephone rang.

( ฉันกําลังอาบน้ําอยู่เมื่อโทรศัพท์มันดัง )

Page 19: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กําลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมกันในอดีต เช่น

-1. My mother was cooking while I was watching TV.

( แม่ของฉันกําลังทําอาหารในขณะที่ฉันกําลังดูโทรทัศน์ )

2. He was standing while she was sitting.

( เขากําลังยืนในขณะที่หล่อนกําลังนั่ง )

Past Perfect Tense

8.1 ประโยค Past Perfect Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + had + verb 3

( ประธาน + had + กริยาช่อง 3 )

ตัวอย่าง : 1. He had gone. ( เขาได้ไปแล้ว )

2. She had studied Thai. ( หล่อนได้เรียนภาษาไทย )

8.2 ประโยค Past Perfect Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not

หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + had + not + Verb 3

( ประธาน + had + not + กริยาช่อง 3 )

ตัวอย่าง : 1. He had not (hadn’t ) gone. ( เขายังไม่ได้ไป )

2. She had not studied Thai. ( หล่อนยังไม่ได้เรียนภาษาไทย )

8.3 ประโยค Past Perfect Tense เชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงคําถามให้นํา Verb to have

มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Had + Subject + Verb 3 ?

Page 20: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

(Had + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? )

ตัวอย่าง : 1. Had he gone ? ( เขาได้ไปแล้วใช่หรือไม่ )

-Yes, he had. ( ใช่เขาได้ไปแล้ว )

-No, he hadn’t. ( ไม่เขายังไม่ได้ไป )

2. Had she studied Thai ? ( หล่อนได้เรียนภาษาไทยแล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, she had. ( ใช่หล่อนได้เรียนแล้ว )

- No, she hadn’t. ( ไม่ หล่อนยังไม่ได้เรียน )

8.4 หลักการใช้ Past Perfect Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทํา 2 อย่างที่เกิดข้ึนไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ ดังนี้

เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Tense เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense

เช่น - We went out for a walk after we had eaten dinner.

( พวกเราออกไปเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหารเย็น )

Past Perfect Progressive Tense

9.1 ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + had + been + Verb 1 ing

( ประธาน + had + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. They had been playing football for three hours.( เขาท้ังหลายได้เล่นฟุตบอลโดยไม่หยุดมา3 ชั่วโมงแล้ว )

2. It had been raining for five hours.( ฝนได้ตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว )

9.2 ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not

หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

Page 21: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

โครงสร้าง : Subject + had + not + been + Verb 1 ing

(ประธาน + had + not + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. They had not ( hadn’t ) been playing football for three hours.

( เขาท้ังหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )

2. It had not been raining for five hours.

( ฝนตกมาไม่ถึง 5 ชั่วโมง )

9.3 ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงเชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถาม

ให้นํา Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Had + Subject + been + Verb 1 ing ?

( Had + ประธาน + been + กริยาช่อง 1 เติม ing ? )

ตัวอย่าง :1. Has they been playing football for three hours ?

( เขาท้ังหลายได้เล่นฟุตบอลมาตลอด 3 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )

-Yes, they had. ( ใช่ เขาท้ังหลายเล่นมา 3 ชั่วโมงแล้ว )

-No, they hadn’t.( ไม่ เขาทั้งหลายเล่นมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )

2. Had it been raining for five hours ?

( ฝนตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, it had. ( ใช่มันตกมา 5 ชั่วโมงแล้ว )

- No, it hadn’t. ( ไม่ใช่มันตกมาไม่ถึง 5 ชั่วโมง )

9.4 หลักการใช้ Past Perfect Progressive Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทํา 2 อย่างที่เกิดข้ึนไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ ดังนี้

- เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Progressive Tense

Page 22: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

- เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense

เช่น

1. He had been sleeping for 30 minutes before we woke him up.

( เขาได้นอนหลับมา 30 นาทีก่อนที่เราจะปลุกเขา )

2. He sat down after he had been playing football for an hour.

( เขานั่งพักหลังจากได้เล่นฟุตบอลมา 1 ชั่วโมง )

Future Simple Tense

10.1 ประโยค Future Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will, shall + verb 1

( ประธาน + will , shall + กริยาช่อง 1 )

ตัวอย่าง : 1. I shall go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )

2. She will study Spanish next week. ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )

10.2 ประโยค Future Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + will, shall + not + verb 1

( ประธาน + will , shall + not + กริยาช่อง 1 )

ตัวอย่าง : 1. I shall not ( shan’t ) go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไม่ไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )

2. She will not ( won’t ) study Spanish next week. ( หล่อนจะไม่เรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )

10.3 ประโยค Future Simple Tense เชิงเชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมโีครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Will,Shall + Subject + verb 1 ?

Page 23: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

( Will, Shall + ประธาน + กริยาช่อง 1 ? )

ตัวอย่าง : 1. Shall you go to Chiang mai tomorrow ? ( คุณจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ )

Yes, I shall. ( ใช่ฉันจะไป ) No, I shan’t. ( ไม่ฉันจะไม่ไป )

2. Will she study Spanish next week ? ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้าใช่หรือไม่ )

- Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเรียน )

- No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เรียน )

10.4 หลักการใช้ Future Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดข้ึนในอนาคต

เช่น My father will go to America next month. ( พ่อของฉันจะไปอเมริกาเดือนหน้า )

I shall play football tomorrow afternoon.( ฉันจะเล่นฟุตบอลบ่ายวันพรุ่งนี้ )

Future Progressive Tense

11.1 ประโยค Future Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will ,shall + be + verb 1. ing

( ประธาน + will ,shall + be + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. She will be playing tennis.( หล่อนจะกําลังเล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will be cooking.( เขาท้ังหลายจะกําลังทําอาหารอยู่ )

11.2 ประโยค Future Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not + be + verb 1. ing

(ประธาน + will ,shall + not + be + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) be playing tennis.( หล่อนจะไม่กําลังเล่นเทนนิสอยู่ )

Page 24: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

2. They will not ( won’t ) be cooking.( เขาท้ังหลายจะไม่กําลังทําอาหารอยู่ )

11.3 ประโยค Future Progressive Tense เชิงเชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + be + verb 1 ing ?

( Will , Shall + ประธาน + be + กริยาช่อง 1 เติม ing ? )

ตัวอย่าง : 1. Will she be playing tennis ?( หล่อนจะกําลังเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, she will. ( ใช่ หล่อนจะเล่นอยู่ ) No, she won’t. ( ไม่ หล่อนจะไม่เล่นอยู่ )

2. Will they be cooking ?( เขาท้ังหลายจะกําลังทําอาหารอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, they will. ( ใช่เขาทั้งหลายจะทําอยู่ ) No, they won’t. ( ไม่ใช่เขาทั้งหลายจะไม่ทําอยู่ )

11.4 หลักการใช้ Future Progressive Tense

ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดข้ึนก่อนหลังกันในอนาคต ดังนี้

เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Progressive Tense เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense

เช่น 1. He will be reading when I visit him.( เขาจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อผมไปเยี่ยมเขา )

2. I shall be watching TV when he arrives.( ฉันจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อเขามาถึง )

Future Perfect Tense

12.1 ประโยค Future Perfect Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will ,shall + have + verb 3

( ประธาน + will ,shall + have + กริยาช่อง 3 )

Page 25: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

ตัวอย่าง : 1. She will have gone.( หล่อนคงจะไปแล้ว )

2. They will have cooked.( เขาท้ังหลายคงจะทําอาหารแล้ว )

Future Perfect Progressive Tense

13.1 ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will, shall + have + been + verb 1. ing

(ประธาน+ will shall +have +been + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. She will have been playing tennis.( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will have been cooking.( เขาท้ังหลายคงจะทําอาหารอยู่ )

13.2 ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not+ หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not +have + been +verb 1. ing

(ประธาน + will , shall + not + have + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) have been playing tennis.( หล่อนคงจะไม่เล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will not have been cooking.( เขาท้ังหลายคงจะไม่ทําอาหารอยู่ )

13.3 ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงเชิงค าถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคําถามให้นํา will

หรือ shall มาวางไว้หน้าประโ ยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + have + been + verb 1. ing ?

( Will ,Shall +ประธาน + have + been + กริยาช่อง1 เติม ing )

ตัวอย่าง : 1. Will she have been playing tennis ?( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, she will. ( ใช่ หล่อนคงจะเล่นอยู่ ) No, she won’t . ( ไม่ หล่อนคงจะไม่เล่นอยู่ )

Page 26: 1.1 ความหมายของ Tense คือ รูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการ ...e4thai.com/e4e/images/pdf/tense-

2. Will they have been cooking ?( เขาท้ังหลายคงจะทําอาหารอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, they will. ( ใช่ เขาท้ังหลายคงจะทําอยู่ ) No, they won’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายคงจะไม่ทํา

อยู่ )

13.4 หลักการใช้ Future Perfect Progressive Tense

ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดข้ึนก่อนหลังกันในอนาคตแต่เน้นความต่อเนื่องของการกระท า ดังนี้

- เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Perfect Progressive Tense

- เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense

เช่น 1. He will have been reading for two hours when I visit him.

( เขาคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว เมื่อผมไปเยี่ยมเขา )

2. I shall have been watching TV for an hour when he arrives.

( ฉันคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 1 ชั่วโทงแล้ว เมื่อเขามาถึง )