a full story of half blood boy

4
A Full Life of the Half-Blood Boy เรื่อง > นันทรัตน์ สันติมณีรัตน์ ภาพ > อนุชิต นิ่มตลุง INTERVIEW M เปเล่-คริสโทเฟอร์ วอชิงตัน คือใคร? ค�าถามนี้ออกมาจากปากหลายคน นักฟุตบอลก็ไม่ใช่ นักปรัชญาหรือนักการเมืองก็ไม่น่าจะเกี่ยว คุ้นๆ กันว่าเคยได้เห็น ได้ยินที่ไหนสักแห่ง หากนั่งคิดสักนิด อาจนึกได้ว่าเคยผ่านตาชื่อฝรั่งยาวๆ แบบนี้ตาม เครดิตหลังจบรายการและตามเอ็มวีเพลงจ�านวนไม่น้อย ในฐานะ โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์และคนท�างานเบื้องหลัง แต่อย่างว่า งานปิดทองหลังพระแบบนี้ ผู ้ชมจ�าหน้าค่าตากันได้เสีย ที่ไหน นี่คือบทสัมภาษณ์ที่เราขอให้เขาออกมาสู ่โลกเบื้องหน้าและให้บทเป็น พระเอกเต็มตัว กับบทสนทนาที่เจ้าตัวเองยังบอกว่า ‘คุณได้อะไรไปจาก ผมเยอะนะเนี่ย!’ 1. แสงแดดยามเย็น ณ สุสานรถไฟ ขับสีผิวของชายหนุ ่มทรงผมเดรดล็อก ให้คมเข้มขึ้น ภาพถ่ายที่ออกมาจึงท�าให้เปเล่-คริสโทเฟอร์ วอชิงตัน ดู คล้ายแร็ปเปอร์อเมริกันอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่ช่างภาพของเราขอร้องให้

Upload: nuntharat-suntimaneerat

Post on 19-Feb-2016

219 views

Category:

Documents


0 download

DESCRIPTION

Interview a well known half american-thai producer.

TRANSCRIPT

Page 1: A Full Story of Half Blood Boy

2 MARS AUGUST 2010

INTERVIEW M

AUGUST 2010 MARS 3

INTERVIEWM

A Full Life of the Half-Blood Boyเรื่อง > นันทรัตน์ สันติมณีรัตน์ ภาพ > อนุชิต นิ่มตลุง

INTERVIEWM

เปเล่-คริสโทเฟอร์ วอชิงตัน คือใคร? ค�าถามนี้ออกมาจากปากหลายคน นักฟุตบอลก็ไม่ใช่ นักปรัชญาหรือนักการเมืองก็ไม่น่าจะเกี่ยว คุ้นๆ กันว่าเคยได้เห็น ได้ยินที่ไหนสักแห่ง หากนั่งคิดสักนิด อาจนึกได้ว่าเคยผ่านตาชื่อฝรั่งยาวๆ แบบนี้ตามเครดิตหลังจบรายการและตามเอ็มวีเพลงจ�านวนไม่น้อย ในฐานะโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์และคนท�างานเบื้องหลัง แต่อย่างว่า งานปิดทองหลังพระแบบนี้ ผู้ชมจ�าหน้าค่าตากันได้เสียที่ไหน

นีค่อืบทสมัภาษณ์ทีเ่ราขอให้เขาออกมาสูโ่ลกเบือ้งหน้าและให้บทเป็นพระเอกเต็มตัว กับบทสนทนาที่เจ้าตัวเองยังบอกว่า ‘คุณได้อะไรไปจากผมเยอะนะเนี่ย!’

1. แสงแดดยามเยน็ ณ สสุานรถไฟ ขบัสผีวิของชายหนุม่ทรงผมเดรดลอ็ก ให้คมเข้มขึ้น ภาพถ่ายที่ออกมาจึงท�าให้เปเล่-คริสโทเฟอร์ วอชิงตัน ดูคล้ายแรป็เปอร์อเมรกินัอย่างช่วยไม่ได้ โชคดทีีช่่างภาพของเราขอร้องให้

Page 2: A Full Story of Half Blood Boy

4 MARS AUGUST 2010

INTERVIEW M

AUGUST 2010 MARS 5

INTERVIEWM INTERVIEWM

AUGUST 2010 MARS 5

“ผมว่าผมเป็นนักบริหารที่ใช้ได้เลยนะ แต่การท�าธุรกิจของผมขึ้นอยู่กบัต้นทนุ ผมจะไม่กูย้มืเงนิใคร ผมไม่เป็นหนี ้ไม่มกีไ็ม่ใช้ ธรุกจิโปรดกัชัน่ ที่ผมท�าก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้เงินทุนเท่าไร มีแต่อุปกรณ์เบื้องต้น”

2. เรือ่งราวเพือ่นสนทิของเปเล่คนทีว่่า สามารถหาอ่านได้ตามสือ่กระแสและสื่ออินดี้ แต่ชีวิตของคริสโทเฟอร์ วอชิงตัน หาอ่านไม่ง่ายเลย แม้กระทั่งในกูเกิล แหล่งข้อมูลที่สมควรมีทุกอย่างที่มนุษย์อยากรู้ และเสิร์ชเอนจิน้ตวันีท้�าท่าไม่แน่ใจ พยายามเสนอว่า จอร์จ วอชงิตนั ประธานาธบิดีคนแรกของอเมริกาหรือเปล่าที่เราอยากท�าความรู้จัก “ผมชือ่ครสิโทเฟอร์ วอชงิตนั ชือ่จรงิเลยนะ มชีือ่กลางด้วยนะว่าฌอนน์ ยิ่งยาวเข้าไปใหญ่ คิดดูว่าเวลายื่นนามบัตร ผมเชื่อว่าใครรับนามบัตรผมไปในสถานการณ์วุ่นวาย มาดูอีกทีคงคิดว่าใครวะ ฝรั่งที่ไหน (หัวเราะ) “ผมติดตรงนี้มากเลย มันเป็นอะไรที่แกะไม่ออก พื้นฐานเดิมผมเป็นคนไม่ชอบไอ้กนั แล้วค�าว่า ‘วอชงิตนั’ มนัโคตรกนัเลย รูส้กึแปลกๆ ค้านๆ กันอยู่ แต่ผมไม่เปลี่ยนนะ ก็พ่อให้ไว้ “แต่ผมก็มีชื่อในวงการเล็กน้อย สร้างขึ้นมาเองว่าคริสทอฟ คือเป็น คริสโทเฟอร์แบบสั้นๆ ฟังดูเป็นรัสเซีย อยู่ฝั่งตรงข้ามกับไอ้กัน ไม่ใช่ว่าอยูด่ีๆ ผมอยากตัง้ชือ่เท่ๆ นะ คอืผมเป็นประเภทท�างานคนเดยีว ถ่ายเอง ตัดเอง ก�ากับเองในงานชิ้นเดียวกัน แล้วเวลาลงเครดิตชื่อตัวเองเยอะๆ มันดูเหมือนขี้อวด มึงบ้าท�าคนเดียว ไม่ได้ดูเหมือนเก่ง ผมก็เปลี่ยนเป็นถ่ายภาพและตัดต่อโดยคริสโทเฟอร์ ก�ากับโดยคริสทอฟ “ชื่อเล่นเปเล่ก็ไม่ใช่ชื่อเป็นทางการของผม จริงๆ แล้วผมชื่อคริส ซึ่งโลกนีไ้ม่มใีครเรยีกกเูลย มพ่ีอผมเรยีก แม่กไ็ม่เรยีก แต่ไม่บอกว่าแม่เรยีกว่าอะไร อาย ชื่อเปเล่มาจากสมัยเด็กๆ วันเข้าเรียนวันแรกที่โรงเรียนนานาชาต ิไม่มใีครคยุด้วย ไม่รูท้�ายงัไง กเ็ล่นบอลกนัทีส่นามฟตุบอล แล้วผมยงิประตไูด้เลยวนันัน้ เพือ่นๆ กเ็รยีกผมว่าเปเล่เลย อาจเพราะเป็นนกัฟุตบอลผิวสีคนเดียวที่พวกเขารู้กันในช่วงนั้น” เรารู้มาว่าไม่บ่อยครั้งนักที่เปเล่จะเอ่ยปากเรื่องชีวิตส่วนตัวในวัยเด็ก และส่วนใหญ่นักข่าว นักเขียน จะเข้ามาหาเขาในฐานะนักเดินทางท่องเที่ยวหรือผลงานทางโทรทัศน์ เช่น เอ็มวีเพลง หรือหนังสั้น “เชือ่ไหมว่าผมไม่ค่อยมคีวามทรงจ�าในวยัเดก็ ช่วงอายหุนึง่ถงึสบิขวบมันหายไปไหนไม่รู้ จ�าไม่ได้เลย ถ้าจ�าได้ก็ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วมันจะค่อยๆ ผุดมาตอนไหนไม่รู้”

เขาจ�าได้รางๆ ว่าเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นทหารอเมริกันจีไอรุ่นเวียดนาม อยู่ฝ่ายสื่อสาร ต้องเดินทางไปประจ�าการทั่วโลก เขารู้เรื่องพ่อผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเดินทางน้อยมาก และไม่ทันได้ท�าความรู้จักกันมากกว่านีพ่้อกเ็สยีตอนเขาเบญจเพส เปเล่บอกว่าอย่างไรกต็ามเขากร็กัพ่อ ส่วนแม่เป็นคนจังหวัดสกลนคร นับถือศาสนาคริสต์ ทะเลาะกับพ่อบ่อยมาก เขามองว่ายามที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันเหมือนฉากในหนังตลก แต่เป็นตลกร้าย และแม่จะหอบเขาไปอยู่ที่อื่นทุกครั้ง ภาพจ�าของเขาคือเดินหิ้วกระเป๋าไปตามถนน ขึ้นรถเมล์ไปกับแม่โดยไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้นอนทีไ่หน นัน่คอืจดุเริม่ต้นชวีติการเดนิทางของเขา แม่จากเขาไปเมือ่เขาอายุ 15 ปี “ผมเป็นคนอยูท่ีไ่หนกไ็ด้ แล้วรูส้กึเหมอืนบ้านได้ทกุทีต่ัง้แต่เดก็ๆ แล้ว “ผมเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยี่สิบห้า ไม่มีญาติพี่น้อง เป็นคนแบบมาคนเดียวจริงๆ ไม่มีต้นทุนทางชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น “ผมมองว่ามันคือความโชคดีบนความโชคร้าย บางคนบอกว่าน่าสงสาร ไม่มพ่ีอแม่ แต่ผมกลบัมองว่าการทีพ่่อแม่เสยีไปในวยัยีส่บิห้าปีมนัเหมาะนะ ชีวิตเป็นของเราโดยแท้จริง จะดีจะร้ายมันเป็นของเรา บทบาทในการตอบแทนพระคุณมันจบไปด้วย ไม่มีให้ท�า ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตเพื่อตวัเอง บางคนจะท�าอะไรอาจยงัตดิอยูก่บัพ่อแม่ ซึง่ช่วยไม่ได้ มนัเป็นเรือ่งพระคุณที่ต้องตอบแทนอยู่แล้ว” นึกถึงประโยคเปิดของหนังตลกร้ายที่เราดูเมื่อคืนที่ว่า มนุษย์มีสองประเภท คือพวกที่ไล่หาความสุขกับพวกหนีความเจ็บปวดด้วยการลืม “ผมไม่ได้พยายามลืม มันจ�าไม่ได้เอง ผมก็แปลกใจ ผมบอกเพื่อนผม แฟนผมเสมอว่าชีวิตผมโตมาด้วยตัวเอง ผมไม่มีค�าสอนของพ่อแม่ที่น่าจดจ�าเอามาใช้ในชีวิต ชีวิตช่วงแรกเต็มไปด้วยการมูฟเมนต์ตลอดเวลา หางานท�าเองตั้งแต่เด็ก” ไม่ต้องนกึถงึหนงัฝรัง่ไกลตวัเรือ่งไหนให้เสยีเวลา ภาพหนงัไทย ‘ข้าวนอกนา’ ผุดขึ้นมาในหัวทันที “ส่วนใหญ่คนทีม่ผีวิส ีเขาจะมอีดตีวยัเดก็ขมขืน่ แต่ไม่ค่อยมใีครมาล้อผมเรือ่งผวิสนีะ ไม่รูท้�าไม ผมอาจโชคดทีีอ่ยูใ่นพืน้ทีท่ีค่นรอบข้างไม่ได้มามีผลตรงนี้กับผม เรียนประถมก็ไม่มีใครล้อ โตมายิ่งไม่มีใหญ่เลย “มันเป็นอารมณ์ขัน ผมโอเคนะ ก็กูนิกเกอร์และกูก็ลูกอีสานด้วย ผมอยากแสดงออกถงึก�าพดืตวัเอง อย่างเช่นในหนงัสอื 52 วนัมหศัจรรย์ครึง่โลก ผมเน้นมากๆ เรื่องการเป็นลูกอีสานหรือนิกเกอร์ มันเป็นเทคนิคที่อยากให้คนอ่านหนักลบัมาดกู�าพดืหรอืทีม่าทีไ่ปของความเป็นตวัคณุเอง

เขาหยิบพาสปอร์ต โอเวอร์โค้ต และกระเป๋าเดินทางใบโปรดมาด้วย เพื่อจ�าลองและทบทวนภาพยามที่เขาเป็นนักเดินทาง “เวลาผมเดินทางจริงๆ ก็มีแค่นี้แหละครับ และก็กล้องถ่ายวีดิโอ” เขาหมายถึงการเดินทางทั่วโลกในฐานะคนท�างานฝ่ายผลิตรายการโทรทัศน์ ‘We’r Za’ (รายการท่องเที่ยวรอบโลก), ‘Journey Thailand’ (รายการท่องเที่ยวในประเทศไทย) และ ‘Roaming’ (รายการท่องเที่ยวด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ-ลอนดอน) ร่วมกับเร แมคโดนัลด์ เพื่อนสนิทที่เขายอมรับว่ามีส่วนท�าให้เขาเข้าสู่วงการบันเทิง “ผมเข้าวงการบันเทิงได้เพราะว่ามีเพื่อนชื่อเร ต้องบอกเลยว่ามีส่วนมากๆ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ตอนนั้นเรเป็นพิธีกรรายการทีนทอล์คแล้ว อยู่ในวงการบันเทิงได้ 2-3 ปี วันหนึ่งพวกเราไปกินเบียร์เยอรมันที่ร้านแถวสุขุมวิท 15 ซึ่งเป็นร้านที่พวกเรากลุ่มเพื่อนนานาชาติชอบไปแฮงก์เอาต์กันสมัยเด็กทุกคืนวันศุกร์ วันเสาร์ แล้วบังเอิญเป็นที่ที่พี่ภิญโญ รูธ้รรม ผูก่้อตัง้รายการทนีทอล์คและทมีงานชอบมากนิเบยีร์กนัด้วย พีโ่ญก็ได้เจอกับผมและชาคริต” กลายเป็นกระแสในช่วงปี 2537 ที่วัยรุ่นเด็กแนวทั่วบ้านทั่วเมืองต้องตัง้นาฬิกาปลกุตืน่เช้ามาดทูนีทอล์ค ดพูธิกีรลกูครึง่หนุม่หล่อสาวสวยรวมตวักนั พดูภาษาไทยหนึง่ค�าสลบัภาษาองักฤษหนึง่ค�า เรยีกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีส�าหรับลูกฝรั่งหัวเกือบทองในเมืองไทยหลายคน “หลายคนก็ย้อมผมกันทั้งนั้นแหละ” เปเล่พูดติดตลก อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีผมบลอนด์ทองหรือนัยน์ตาน�า้ข้าว จังหวะชีวิตบนความโชคดีที่อยู่ถูกที่ถูกเวลาต่างหากคือสิ่งที่เขาเลือกเชื่อ “ถ้าไม่มวีนันัน้และผมไม่ได้ไปท�าพธิกีร ผมคงไม่สนใจวงการโทรทศัน์เลย มันท�าให้ผมเห็นและเรียนรู้ว่าเขาท�ารายการโทรทัศน์กันยังไง แถมเป็นรายการวัยรุ่นแปลกประหลาดและเท่ที่สุดในยุคนั้นด้วย “มันท�าให้เรารู้ตัวว่าเราชอบบรรยากาศในกองถ่าย อยากเข้าสู่วงการในแง่ของการท�างานเบือ้งหลงั และตอนนัน้มนัท�าให้เราตดัสนิใจได้ด้วยว่าอยากเรยีนอะไร ในขณะทีเ่ดก็ปีสีบ่างคนยงัไม่รูเ้ลยว่าอยากท�าอะไร อยากเป็นอะไร ผมรู้ตัวก่อนไปเรียนด้วยซ�้าว่าผมอยากท�ารายการทีวี “แต่ผมก็เรียนผิดด้วยนะ ผมเรียนนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา ที่เอแบค ซึ่งแปลสั้นๆ ว่าผมก�าลังเรียนการบริหารธุรกิจโฆษณา เพิ่งมารู้ตัวตอนปีสี่ว่า จบไปให้กูเป็นเออีหรือไง ผมเลิกเรียนแม่-เลยตอนปีสี่ “ตอนเรียนผมเป็นคนใฝ่รู้ ชอบลงเวิร์กช็อป พอตัดสินใจเลิกเรียน ก็มีงานเข้ามาให้เป็นโปรดิวเซอร์เลย เขาคงเห็นว่าถ่ายได้ ตัดได้ น่าจะท�า

รายการได้ ผมกเ็อาเลย ท�างานตัง้แต่ปีสี ่ทกุวนันีผ้มยงัเรยีนไม่จบนะ ไม่มีวุฒิการศึกษาด้วย ไม่รู้จะเอาไปท�าไม แต่ในใจก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง” เปเล่ทดแทนด้วยการ work hard เขาคิดว่า 100 เปอร์เซ็นต์ไม่เพียงพอส�าหรับคนขี้โกงแบบเขา 200 เปอร์เซ็นต์ต่างหากที่เขาต้องท�าให้ได้ “ผมทดแทนด้วยการท�างานมากกว่าคนอื่น คนอื่นเดิน ผมต้องวิ่ง เขายืนเอื้อม ผมต้องกระโดด เพื่อทดแทนที่เราใช้ทางลัดมา ไม่ให้รู้สึกว่าเราเอาเปรียบ เขาอุตส่าห์เรียนมาจนจบ เขามีเหตุผล ความชอบธรรมในการไปท�างานอยู่ตรงนั้น เสียเงินเรียนมา 5-6 ปี แต่ผมไปแย่งงานเขาและดันท�าได้ดีเสียด้วย” 200 เปอร์เซน็ต์ของเปเล่ทีว่่า กลบักลายเป็นแรงถบีมหาศาล ปีทีส่องในการท�างานเขารับเงินเดือนสามหมื่นบาท เมื่อย่างเข้าปีที่ห้าเขาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง บ้างาน? เราตั้งข้อสงสัยให้เขา “ผมบ้า อย่างที่บอกผมใช้วิธีคิดว่าต้องท�างาน 200 เปอร์เซ็นต์ มันกลายเป็นมาตรฐานสูงไง และผมไม่ลดด้วย นอกจากสังขารจะพาผมลดลงเอง ช่วงหลังๆ เป็นแล้วนะ “ตอนนี้ผมอายุสามสิบสาม ไม่แก่นะ แต่ผมเริ่มท�างานตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด มันนานไปส�าหรับความรู้ด้านเดียว ผมอยากเรียนรู้อย่างอื่นอีก และอายเุท่านีส้มองยงัพอเปิดรบัอะไรได้ ถ้านานกว่านีก้ลวัว่าจะรบัอะไรไม่ได้แล้ว ต้องจมอยูก่บังานทวี ีตอนนีเ้ริม่ตดัสนิใจหัน่เวลาให้ตวัเอง เปิดประตูให้กับความรู้ใหม่ๆ” ธุรกิจรีไซเคิลคือสิ่งที่เขาสนใจตอนนี้ เขาเล่าด้วยสีหน้าและน�้าเสียงตื่นเต้นราวกับเด็กเจอเพื่อนใหม่ “ผมจะเข้าเวิร์กช็อปกับวงศ์วานิชย์ บริษัทที่ท�าธุรกิจรีไซเคิลเจ้าใหญ่ที่สุดในประเทศ ผมชื่นชมเขามาก คือมีความรู้แล้วไม่งก เผื่อแผ่ให้คนได้น�าไปใช้ ถ้าจะจริงจังกับมัน ต้องใช้เวลาสิบปีถึงจะส�าเร็จเลยนะ” มีธุรกิจของตัวเองก็เหมือนมีลูก เขาอาจต้องสละเวลาการเดินทางที่เขารักเพื่ออยู่กับมัน “ผมรักการเดินทางมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วเราจะท�าทุกอย่างเพื่อให้สิ่งนี้อยู่กับเราตลอดไป “แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เราเดินทางและเรียนรู้มากพอแล้ว เรากอบโกยโชคเหล่านี้มาเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เคยอยู่กับเรามันไม่จีรังหรอก สักวันมันต้องจากเราไป หรือเราจากมันไป เหมือนรถยนต์ ถ้าคุณไม่ขายทิ้ง มันก็ต้องพังไป

“ชื่อเล่นเปเล่ก็ไม่ใช่ชื่อเป็นทางการ

ของผม จริงๆ แล้วผมชื่อคริส ซึ่ง

โลกนี้ไม่มีใครเรียกกูเลย”

Page 3: A Full Story of Half Blood Boy

6 MARS AUGUST 2010

INTERVIEW M

AUGUST 2010 MARS 7

INTERVIEWM

บนความเป็นซติเิซนของอกีชาตหินึง่ได้ คณุไม่สามารถบอกให้คนคนหนึง่เลิกเป็นคนชาตินี้ได้ ไอ้กันไม่สามารถบอกให้ผมเลิกเป็นคนไทยได้ คนไทยก็ไม่สามารถบอกให้ผมเลิกเป็นอเมริกันได้เหมือนกัน ตอนนี้ผมถือสองสัญชาติ สองพาสปอร์ต ผมดีใจมาก” แต่อย่าลืมว่าไมเคิล แจ๊กสันเป็นราชาเพลงป๊อปโด่งดังทั่วโลก เข้าถึงทุกคน ต่างกับพระนารายณ์ที่อยู่ได้แต่ในสรวงสวรรค์และเข้าถึงแต่คนดี! “รายการ Roaming จะไม่มทีางเกดิขึน้ได้เลยถ้าเราถอืพาสปอร์ตไทยหรือเป็นคนไทยแท้ๆ การที่ผมและเรถือสองพาสปอร์ตท�าให้โปรเจ็กต์นี้ท�าได้ในเงื่อนไขเวลาที่เราตั้งไว้ เพราะการเดินทางใน 17 ประเทศ ใครจะไปขอวีซ่าต่อกันได้ทัน ไม่มีทางเลย”

4. หากเปรียบเทียบเร-เปเล่ เป็นคู่นักร้องดูโอบนเวทีคอนเสิร์ต แสงไฟสปอตไลต์ส่องไปยังเร หนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดี เขาก�าลังจับไมค์ร้องเพลงด้วยท่วงท่ากวนๆ ที่กลายเป็นบุคลิกในฝันของวัยรุ่นชายหญิงในยุคนี้ ส่วนเปเล่ ยืนเล่นดนตรีด้วยความสุขุมในมุมที่แสงไฟสาดไปไม่ถึง นั่นเป็นเพียงมุมมองของผู้ชมทางบ้านผ่านโทรทัศน์ เรกับเปเล่ไม่จ�าเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ในฐานะคนท�างานเบื้องหลังในวงการบันเทิง เขาเป็นมืออาชีพที่เคยท�างานร่วมกับคนมากหน้าหลายตาและมีชื่อเสียงหลายคน เขามีเครื่องหมายการค้าเป็นไอเดียสดใหม่ แปลก เข้มข้น ไม้ตายของเขาคือภาพสวย เพลงเพราะ จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ประจ�าตัว บางงาน ลูกค้างอแง ไม่ยอมร่วมงานด้วยหากไม่ใช่การท�างานจากฝีมือเปเล่จริงๆ ลายเซ็นเก๋ๆ ของเขาก�าลังกลายเป็นดาบสองคม “พวกสปอนเซอร์ส่วนใหญ่จะมองเห็นรายการที่มีเรแปะเป็นหลัก ซึ่งเป็นข้อเสียของเราเหมือนกัน เรกับผมท�างานกันมาเยอะ อยากจะไปกันได้มากกว่าทีเ่ราท�ากนัอยูต่อนนี ้เพราะวนัหนึง่พวกเรากค็งเดนิทางกนัไม่ไหว เราอยากท�ารายการแบบอื่น ก็ขยับขยายกันไม่ค่อยได้ ลูกค้าไม่ค่อยสนใจและกลัวว่าจะไม่มีคนดูถ้าเรไม่เป็นพิธีกรหรือเปเล่ไม่ท�า “เราดนัเอาตวัเองไปอยูใ่นงานเยอะไป มนัไม่เหมอืนพวกบรษิทัใหญ่ๆ ที่มีวัฒนธรรมองค์กรหรือมีคนท�างานอยู่แล้ว มันมีมาตรฐานของมัน “งานที่เราเคยท�าเมื่อก่อน เราท�าเพราะต้องการความแตกต่าง พอในระยะยาว งานที่เป็นลายเซ็นจัดๆ มันมีข้อเสียคือเราขยับไปท�าอะไรไม่ได้ในเชิงของธุรกิจ ผมเปิดบริษัทมา 6 ปีแล้วและก�าลังจะลดขนาดจนจะปิดอยู่แล้ว เพราะงานทุกอย่างที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเอ็มวีหรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกค้าต้องการให้เปเล่ท�า ผมจะให้รุ่นน้องหรือเด็กๆ พนักงานท�าก็ไม่ได้ ต้องเปเล่ท�า งานก็ตกมาอยู่กับผม แล้วผมจะเปิดบริษัทท�าไม

“มันเป็นผลของการสร้างองค์กรโดยโครงสร้างที่เป็นซิกเนเจอร์จัดๆ เพื่อหวังพรเีซนต์ตัวเองในตลาด วิธีคิดแบบนี้มันมขี้อจ�ากัดของตัวเองอยู่แล้ว อะไรที่เป็นพวกอินดี้ต้องระวัง”

5. “หนังสือขายดีไหมครับ ฝากถามทางส�านักพิมพ์ด้วย” เขาหันมาถามถึง ‘52 วัน มหัศจรรย์ครึ่งโลก’ หนังสือเล่มกะทัดรัด อ่านจบแบบเพลินๆ ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง “หนงัสอืผมไม่ใช่ไกด์บุก๊ ผมไกด์ใครไม่ได้หรอก ผมไม่แน่ใจด้วยซ�า้ว่ามันควรไปอยู่บนแผงชั้นหนังสือท่องเที่ยวหรือเปล่า มันท�าหน้าที่เล่าประสบการณ์การท�ารายการทีวีที่เป็นรายการท่องเที่ยวมากกว่า ถ้าหาที่เที่ยวแล้วอ่านหนังสือผม ไม่เจออะไรหรอก แต่คุณจะเห็นเรื่องของการเดินทางครึ่งโลกโดยรถไฟ มันตอบโจทย์ตรงนี้มากกว่า” ต้องบอกกันตรงๆ ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ท�าให้เราอยากรู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น “ผมไม่เคยเก็บตังค์เดินทางเลย การเดินทางมันพาผมไปเอง เพราะงานไง อยู่ดีๆ ให้ผมมาควักตังค์ตัวเองไปเดินทางต่างประเทศ” เขาว่าเขาคงบ้า ถ้าต้องเอาเงินก้อนของตัวเองไปแจกจ่ายต่างแดน เขาเสียดายเงินสองหมื่นบาทค่าบินข้ามน่านฟ้า 3 ชั่วโมง ขอเก็บไว้ใช้เที่ยวในประเทศไทยดีกว่า “การท�ารายการมันต่างจากการไปเที่ยวนะ เพราะต้องมีเนื้อหาด้วย เวลาไปเทีย่วเราไม่ได้ท�าอะไรเยอะแบบนี ้แค่ไปกนิ ไปนอน คณุอาจไม่ได้ไปมิวเซียมถ้าคุณไม่ได้เป็นคนชอบศิลปะ คุณอาจไม่ได้ไปวัดหรือโบราณสถาน ถ้าคุณไม่ชอบประวัติศาสตร์ คุณไม่ได้ไปทุกมิติของทุกแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่หรอก เพราะแต่ละคนมีทางของตัวเอง “ส่วนพวกเราค้นพบว่าถ้าถ่ายท�าในเมอืงใหญ่เราจะหาเนือ้ไม่เจอ มนัเหมือนกันหมดทุกเมือง โครงสร้างพื้นฐานของเมืองใหญ่มันเท่ากัน นิวยอร์กก็เหมือนกรุงเทพฯ มีพิพิธภัณฑ์ มีแลนด์มาร์ก มีร้านอาหาร มีรถไฟใต้ดนิ มชีกิบตูคิเหมอืนกนัหมด อย่างลอนดอน ปารสี ไปไม่เป็นเลย ไม่รู้จะถ่ายอะไร แต่ถ้าเป็นนอกเมือง พวกเมืองเล็กๆ มันมีที่เดียว ที่อื่นไม่มีแน่ๆ” เปเล่เดินทางไปครึ่งโลก เกือบห้าสิบประเทศ ไม่เกินสามครั้งที่ในมือเขาไม่มีกล้องวีดิโอบันทึกการเดินทางส�าหรับรายการของเขา “ผมเดินทางไปหลายประเทศเพราะงานล้วนๆ เลย จนกลายเป็นว่าเวลาเราไม่ได้ไปท�างานมนัรูส้กึแปลกๆ อธบิายไม่ถกู มนัเบาๆ หววิๆ รูส้กึว่าตัวเองไม่มีค่า ขาดอะไรในชีวิตไปด้วยซ�้า “ผมท�ารายการท่องเทีย่วทีม่คีวามจ�าเป็นต้องใช้วธิคีดิและการท�างานคล้ายเรียลลิตี้ ทุกนาที ทุกโมเมนต์ส�าคัญ เมื่อมันมาแล้วจะไม่กลับมาอีก

มันเลี่ยงไม่ได้ อย่าหันหลังใส่ ยืดอกแล้วบอกไปเลยว่าฉันมาจากตรงนี้ มนัน่าภาคภมูใิจกว่า มนัเป็นการปลดลอ็กตวัเอง ท�าให้คณุเป็นอะไรได้อีกหลากหลายเลย “ผมปลดล็อกตัวเองในเรื่องของการเป็นคนผิวสี เรื่องของการเป็นนิกเกอร์และความเป็นลูกอีสานไปแล้ว เมื่อเราปลดปล่อยอะไรที่มันเกาะกินหัวใจเราออกไป เราก็เดินเหินได้สบายใจ มีแต่ทัศนคติที่ดี “ผมกลับมองว่าคนที่ล้อคนอื่นน่าสงสาร แสดงว่าเขาไม่เคยได้มีประสบการณ์หรือไม่เคยเห็นคนผิวสี มันท�าให้เห็นว่าโลกเขาแคบมาก ก็ต้องเข้าใจ ให้อภัย ยกโทษให้” ฟังดูเหมือนค�าสอนของศาสนาพุทธออกมาจากปากชาวต่างชาติ “เมื่อก่อนผมเป็นคริสต์เพราะแม่บอก แม่นับถือศาสนาคริสต์โปรเตสแตนต์ สกลนครเป็นเมืองคริสต์ครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมไปทางพุทธมากกว่า อาจเพราะสังคมหล่อหลอม ผมจะเป็นคริสต์ได้ยังไงในเมื่อคนพุทธรอบด้านขนาดนี้ “ผมคิดว่าคนเราเลื่อมใสในหลากหลายศาสนาได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครถามว่าผมนับถือศาสนาอะไร ผมจะบอกว่าผมไม่มีศาสนา แต่ค่อนข้างจะมีความรู้มากที่สุดเกี่ยวกับศาสนาพุทธ”

3. ตลอดการสนทนาในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาย�้ามาตลอดว่าเขาไม่ชอบอเมริกา และไม่อินในความเป็นอเมริกัน! เขาหันหลังให้มหานครนิวยอร์กยามที่เขามีโอกาสจะได้ใช้ชีวิตในฐานะนักศึกษาศิลปะคูลๆ ที่นั่น เขาตอบว่าเป็นคนไทยเมื่อมีฝรั่งถามว่า What’s your nationality? เขาเที่ยวอเมริกาไม่เก่งเท่ารามค�าแหง เขาตื่นเต้นและภูมิใจในสายเลือดสกลนครจากแม่มากกว่าสัญชาติอเมริกันของพ่อ “ผมไม่สนใจวัฒนธรรมอเมริกัน มันเป็นวัฒนธรรมน่าสงสาร เขาไม่มีวัฒนธรรมกันเลยด้วยซ�้า ไม่มีความน่าภาคภูมิใจเลย ไม่มีก�าพืดของตัวเองแท้ๆ แถมยังดูถูกคนอื่นด้วยซ�้า มันเป็นชนชาติที่เอาตัวเองเป็นทีต่ัง้ของจกัรวาลและคดิว่าทกุคนในโลกนีต่้อท้ายแถวเขา ซึง่วธิคีดิแบบนี้เป็นวิธีคิดที่โลกแคบมาก” แต่เขาไม่อาจปฏิเสธสัญชาติอเมริกันจากพ่อและสายเลือดชาวสกลนครของแม่ที่ไหลเวียนในตัวเองได้ นั่นคือที่มาของการถือพาสปอร์ตน�้าเงินเข้มหนึ่งเล่มและสีแดงเลือดหมูหนึ่งเล่ม นีเ่ป็นเรือ่งของสญัชาต ิไม่ใช่การเมอืงทีเ่ราต้องคอยฟันธงเลอืกข้าง ระหว่างไมเคิล แจ๊กสันกับพระนารายณ์ เขาเป็นได้ทั้งสองอย่าง “ตอนเดก็ๆ ผมได้ยนิมาว่าต้องเลอืก แต่หลกัๆ กบ็อกกนัว่าถอืสองสัญชาติได้นะ จริงๆ แล้วถ้ามองตามเหตุและผล คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย

“วัฒนธรรมอเมริกัน มันเป ็น

วัฒนธรรมน่าสงสาร เขาไม ่มี

วัฒนธรรมกันเลยด้วยซ�้า”

Page 4: A Full Story of Half Blood Boy

8 MARS AUGUST 2010

INTERVIEW M

AUGUST 2010 MARS 9

INTERVIEWM

เราท�าซ�้าไม่ได้ เราต้องจับจ้องทุกอย่างแล้วบันทึกลงเทป เอามาถ่ายทอดให้ผู้ชมดู เช่น นกก�าลังบินบนฟ้า เรือก�าลังแล่น แสงของพระอาทิตย์ส่องลงมาพอดีมาก จังหวะแบบนี้ถ้าไม่มีกล้อง ผมจะดิ้นตายให้ได้เลย” ห่างจากบ้านหลายพนัไมล์ เวลาต่างกนัราวฟ้ากบัดนิ พลงังานย่อมหดหายง่ายกว่าการท�างานหน้าจอคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ “พวกเราพลังตกไม่ได้เลยนะ ต้องคอยฉุดกันขึ้นมา เพราะว่าผมกับเรไปกันแค่สองคน เราท�างานด้วยกันบนความเป็นเพื่อนและด้วยความกล้า สิง่ทีเ่ราท�าอยูไ่ม่มใีครตรวจ มนัเป็นความรบัผดิชอบของเราเอง ถ่ายไม่ถ่ายไม่มีใครรู้ จะเหนื่อย จะพัก จะอู้ก็ไม่มีใครเห็น แต่ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเลย มีแต่ถ่ายๆๆ เรารู้สึกว่าโมเมนต์ที่เราไปอยู่ต่างประเทศมนัมค่ีา คงประหลาดแน่ถ้าเรานัง่ปล่อยให้ทกุอย่างผ่านไป เราก็เลยใส่ๆๆ “แต่หลังๆ เริ่มมองหน้ากันแล้ว ต่างชะลอลงเพื่อเซฟแรง แล้วลุกขึ้นมาท�าต่อได้เต็มที่ เราบ้าบิ่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เรามีการจัดตาราง มวีนักลางๆ เพือ่พกัหรอืเดนิทาง มกีารวางแผนให้เหมาะสมกบัวยั และมนัไม่สามารถสดได้เหมอืนเมือ่ก่อน เพราะเราไปมาเยอะจรงิๆ หลายที่เริ่มซ�้าแล้ว” เมือ่ความสดหดหาย พวกเขาเอาความเก๋าเข้าช่วย มเีรือ่งเล่า ภาพสวยๆ พร้อมด้วยลลีาการพดูของพธิกีรหนุม่ลกูครึง่องักฤษคนเดมิแบบเป็นกันเอง เราทึ่งกับชีวิตการท�างานและการเดินทาง 52 วันด้วยรถไฟในต่างแดนเพื่อบันทึกเป็นรายการ Roaming แต่การพาผู้ชมท่องเที่ยวเมืองไทยในรายการ Journey Thailand ต่างหากทีเ่ปเล่บอกว่าโคตรยากเลย! “ผมต้องพาผู้ชมไปเที่ยวไทย แม่-รู้กันหมดแล้ว ไปมากันหมดแล้ว แล้วท�ายงัไงให้แม่-ดสูถานทีท่ีเ่คยไปกนัมาแล้ววะ ผมมอีาวธุอย่างหนึง่คือเร แมคโดนัลด์ ซึ่งเป็นลูกครึ่งที่ตื่นเต้นกับการเที่ยวไทย สอง ผมใช้เทคนคิทีม่อียูแ่ละเป็นทีย่อมรบัในวงการเอม็ว ีคอื ภาพสวย เพลงเพราะ

จังหวะตัดดี มาช่วยในการเล่าเรื่อง และเราไม่อยากให้มีสคริปต์ตายตัว เพราะคนเขียนก็ไม่เคยอยู่ตรงนั้นหรอก”

6. สองชัว่โมงผ่านไป เปเล่ขออนญุาตเบรกดืม่น�า้ชา เขาสัง่ชาสตรอว์เบอร์รี.่.. “คุยต่อ ก�าลังสนุกเลย ผมคุยได้เรื่อยๆ เป็นคนพูดเยอะ ชอบคุย จนเพื่อนมันร�าคาญ เมื่อก่อนพูดไม่เก่งแบบนี้ด้วย ตอนเด็กๆ ร้องไห้อย่างเดียวเลย พอโตมาแล้วมันหล่อหลอมของมันเอง ถ้าผมพูดเยอะเกินไป คุณต้องเบรกผมนะ แล้วคุณจะคล้อยตามผมไปด้วย” ก็คงจริง ถ้าเปเล่เป็นพ่อค้าขายตรงเราคงหมดตัว เผลอสั่งซื้อสินค้าในแค็ตตาล็อกของเขาหมด คนอะไร เล่าเรื่องได้มันส์เป็นบ้า! “เหน็แบบนีเ้มือ่ก่อนผมพดูภาษาองักฤษไม่ได้นะ ผมพดูภาษาไทยได้ภาษาแรก ส่วนอีสานพอฟังได้ แต่พูดไม่ได้ ทุกวันนี้ยังอยากให้ตัวเองพูดเป็น ผมรู้สึกว่าพูดอีสานได้มันเท่” เท่แน่นอน หนุ่มผิวสีเว้าอีสาน! เราได้ยินค�าว่า ‘แก่’ จากปากเขามากกว่า 5 ครั้งในการสนทนาครั้งนี้ อะไรท�าให้เขาคิดว่าเขาแก่! “ผมรูส้กึแก่นะ ผมไม่คดิว่าตวัเองเป็นบคุลากรส�าคญัในวงการโทรทศัน์ของประเทศนะ มันมีคนที่อุทิศได้มากกว่าผม มันก็ต้องเป็นไปตามวาระ อย่างที่บอกผมใช้ชีวิตเร็วมาก เร็วกว่าคนอื่น ผมกินเหล้าตั้งแต่อายุสิบสาม สิบสี่แล้ว ผมเป็นคนเข้มข้นในทุกอย่าง work hard, play hard ด้วย ท�างานเต็มที่ เล่นเต็มที่ เมาเต็มที่ ใช้พลังชีวิตไปเยอะมาก” ว่าแล้วเขาหันมาสะดุดตาและตื่นเต้นกับเครื่องอัดเสียงโบราณเครื่องเลก็ ยงัมคีนใช้เครือ่งอดัรุน่นีอ้กีหรอืในยคุทีข้่าวของเครือ่งใช้มตีวัเลขแบบดิจิตอลหมดแล้ว เรานกึถงึอเีมลฉบบัล่าสดุทีเ่ราตดิต่อกบัเขา เขาออกตวัว่าเป็นคนคอนเซอร์เวทีฟ “คงเหมือนที่คุณใช้เครื่องอัดแบบนั้นแหละ ผมอาจจะหัวสมัยใหม่ในแง่ของวธิกีาร แต่วธิคีดิผมคอนเซอร์เวทฟีเลย ผมยงัคดิว่าการชงิสกุก่อน

ห่ามมนัไม่ดนีะส�าหรบัสงัคมไทย เฉพาะวธิคีดิ แต่วธิที�าผมหวัก้าวหน้าเลย “เช่นการท�ารายการท่องเที่ยวของผม ถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องเอาขึ้นก่อนเป็นอย่างแรกเลย แล้วค่อยไปเที่ยวตามใจชอบ เป็นการเริ่มต้นที่ดี เป็นขวญัก�าลงัใจส�าหรบัการเดนิทาง เช่น ถ้าไปเชยีงใหม่ ผมต้องถ่ายพระธาตดุอยสเุทพก่อน เรารูอ้ยูแ่ล้วว่าพระธาตดุอยสเุทพคอือะไร กต้็องท�าให้แตกต่างเวลาสือ่สารออกไป ท�าให้มนัเท่ๆ นัน่แหละความเป็นหวัก้าวหน้าแต่คอนเซอร์เวทีฟในความคิด” นอกจากการเดินทาง เขาชอบประวัติศาสตร์และงานศิลปะ ยามพูดถึงการท�างานศิลป์ของตัวเอง เขาสงวนถ้อยค�าและท่าที “ผมรู้สึกว่าผมไม่ใช่ศิลปิน มันเป็นค�าที่สูงมากส�าหรับผมนะ วาดรูปก็ไม่เป็น ทฤษฎีพื้นฐานก็ไม่มี เป็นแค่คนที่ชอบเสพเฉยๆ ถ้าท�างานศิลปะ ส่วนมากก็เป็นงาน Video Installation และตอ้งไม่ติสต์ ไม่ลกึมาก และขอท�าหน้าที่ที่ศิลปินละเลยกันไป คือการน�าศิลปะเข้ามาใกล้ ท�าให้มันไม่น่ากลวัเกนิไปส�าหรบัผูบ้รโิภคบ้านเรา งานศลิปะของผมจะไม่อยูใ่นแกลเลอรี่ แต่จะท�าให้คนรูส้กึกลมกลนื ผมไม่ท�างานศลิปะทีส่งูส่งหรอืควรค่าแก่การเก็บรักษา งานวีดิโอของผมแค่ดึงปลั๊กออกก็จบแล้ว” เช่นเดียวกับหนังสั้นที่เขาเคยท�า ‘ใกล้เกลือกินด่าง’ เขาเลือกบริเวณหน้ารามค�าแหงเป็นโลเคชั่น “รามค�าแหงเป็นชีวิตจิตใจของผมเลย เป็นเพชรในตม ถ้าผมอยู่ในวงการภาพยนตร์จะเขียนบทให้เด็กใต้ขึ้นมาปฏิวัติ มันแปลกดี สามารถฉายภาพความเป็นชุมชนได้ แต่ไม่ใช่สลัม มีความดิบนิดๆ ถ้ามองลึกๆ พวกเด็กใต้ขึ้นมาเช่าหออยู่ เอาของจากเบตงมาขาย ขายกางเกงยีนส์แบกะดิน ไอ้คนที่มีความรู้หน่อยก็เขียนเอกสารติวข้อสอบ อยู่ไหนก็เอาของไปขาย ซึ่งมันสะท้อนภาพฮิปปี้ดี “บ้านผมอยู่ซอยเทพลีลา ผมยังเคยคุยกับเรว่าให้ผมย้ายไปไหนก็ไม่ไป ต่อให้อยูฟ่รกีไ็ม่ไป เพราะอยูไ่ม่ได้ ผมชอบรามค�าแหง มนัมบีรรยากาศที่ลึกซึ้งมาก อธิบายไม่ถูก มันมีความง่ายๆ จริงใจ คุณลองไปอยู่วัชรพลสิ พวกหมู่บ้านจัดสรร มีรปภ. มีการแลกบัตร อย่างกับโชว์รูม ต่างคนต่างอยู่ มันไม่ใช่บรรยากาศบ้านแบบที่เรารู้จัก”