วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3...

20
OST Science Review สำนักงานที ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน วิทย์ปริทัศน์ วิทย์ปริทัศน์ เดือนกรกฎาคม 2562 ฉบับที 7/2562 Biotech เทคโนโลยีสำคัญ สำหรับไทยและโลกในอนาคต Biotech เทคโนโลยีสำคัญ สำหรับไทยและโลกในอนาคต

Upload: others

Post on 15-Jul-2020

0 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

OST Science Reviewสำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

วิทย์ปริทัศน์วิทย์ปริทัศน์เดือนกรกฎาคม 2562 ฉบับที่ 7/2562

Biotechเทคโนโลยีสำคัญ

สำหรับไทยและโลกในอนาคต

Biotechเทคโนโลยีสำคัญ

สำหรับไทยและโลกในอนาคต

Page 2: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

รายงานข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากวอชิงตันฉบับที่ 11/2561 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561

บรรณาธิการที่ปรึกษา:ดร.เศรษฐพันธ์ กระจ่างวงษ์

ผู้ช่วยทูตฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กองบรรณาธิการ:นางสาวบุณยเกียรติ รักษาแพ่ง

นางสาวดวงกมล เพิ่มพูลทวีทรัพย์นายอิศรา ปทุมานนท์

จัดทำโดยสำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

1024 Wisconsin Ave., N.W. Suite 104Washington, D.C. 20007

โทรศัพท์: +1 (202)-944-5200Email: [email protected]

ติดต่อคณะผู้จัดทำได้ที่

Website: http://www.ost.thaiembdc.orgEmail: [email protected]

Facebook: https://www.facebook.com/ostsci/

วิทย์ปริทัศน์ l OST Science Reviewเดือนกรกฎาคม 2562

ฉบับที่ 7/2562

บรรณาธิการที่ปรึกษา:ดร.เศรษฐพันธ์ กระจ่างวงษ์

ผู้ช่วยทูตฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กองบรรณาธิการ:นางสาวบุณยเกียรติ รักษาแพ่ง

นางสาวดวงกมล เพิ่มพูลทวีทรัพย์นายอิศรา ปทุมานนท์

จัดทำโดยสำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

1024 Wisconsin Ave., N.W. Suite 104Washington, D.C. 20007

โทรศัพท์: +1 (202)-944-5200Email: [email protected]

ติดต่อคณะผู้จัดทำได้ที่

Website: http://www.ost.thaiembdc.orgEmail: [email protected]

Facebook: https://www.facebook.com/ostsci/

Page 3: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

สวัสดีทานผูอานที่รักและเคารพทุกทาน

ปจจุบัน Biotechnology หรือเทคโนโลยีชีวภาพเปน

หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด เพราะเทคโนโลยีนี้เกี่ยวของ

กับชีวิตของเราตั้งแตเกิดจนตาย นอกจากนั้น เทคโนโลยี-

ชีวภาพยังเปนปจจัยสำคัญตอเศรษฐกิจและความกาวหนา

ของประเทศ

ศนูยความเปนเลิศดานชีววิทยาศาสตร (TCELS) เปน

หนวยงานในสังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร วิจัย

และนวัตกรรม (อว.) และเปนหนวยประสานงานหลัก

สำหรับธุรกิจดานชีววิทยาศาสตร การวิจัย และการลงทุน

ในประเทศไทย ไดเดินทางมารวมเปดแสดงในงาน Bio

International Convention 2019 ณ รัฐ Philadelphia

สหรัฐอเมริกา ระหวางวันที่ 3 – 6 มิถุนายน 2562 ซึ่งเปน

หนึ่งในความพยายามแสดงศักยภาพดานเทคโนโลยีชีวภาพ

ของไทยใหนานาประเทศไดประจักษ และเปนการผลัดดัน

ใหเกิดความรวมมือระหวางประเทศดาน วทน. (อานราย-

ละเอียดหนา 3)

ดวยความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี

ชีวภาพ รัฐบาลไทยจึงไดริเริ่มรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ

แบบใหมที ่ใชเทคโนโลยีชีวภาพเปนเทคโนโลยีพื ิ ้นฐาน

ซึ่งมีชื่อวา BCG Model (อานราย ละเอียดหนา 6)

นอกจากนี้ สำนักงานที่ปรึกษาฯ ขอนำเสนอขาว

ความคืบหนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพใหมๆ ที่นาสนใจ

สามารถติดตามอานไดในเลมครับ

ทีมบรรณาธิการสำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25622

สารบัญ3 TCELS และงาน BIO International Convention 2019

6ประเทศไทยก้าวไกลด้วย BCG Model

8วัคซีน

11ความเชื่อมั่นในวัคซีนในประเทศต่างๆ

13แคปซูลสุดไฮเทคที่จะมาแทนที่

การฉีดยา!

15เทคโนโลยีชีวภาพสามารถลดสาเหตุของปัญหาClimate Change ได้อย่างน่าสนใจ

18ข่าวดีนักวิจัยพบหนทางกำจัดเชื้อ HIV แล้ว!

Page 4: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25623

งาน BIO International Convention 2019งาน BIO International Convention 2019เปาหมายของแผนยุทธศาสตร ปงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2566- เกิดอุตสาหกรรมยาและ biologics ที่มีฐานนวัตกรรม สามารถขึ้นทะเบียนและจำหนายไดโดยบริษัทไทยชั้นนำ- ประเทศไทยเปนเจาของเทคโนโลยีบางสวน/มีทักษะ หรือ มีการผลิตกลุมผลิตภัณฑหรือวิธีการรักษาชนิด cell and gene therapy รวมถึง regenerative medicine เพื่อ นำไปใชทดสอบหรือการใชประโยชนเบื้องตนทางคลินิก- มหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยในประเทศไทยสามารถคนหา ตัวยา (drug discovery) /drug leadsจากฐานความ หลากหลายทางชีวภาพของประเทศ และเกิดการถายทอด เทคโนโลยีเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย- ประเทศไทยเปนศูนยกลางของการทำวิจัยทางคลินิกของ ภูมิภาค โดยมีระบบสนับสนุน Clinical Research ที่เขมแข็ง- การวิจัยจีโนมการแพทย มีความพรอมใชในวงกวาง เพื่อสกัดกั้น Adverse Drug Reaction เขาสูการแพทย เฉพาะบุคคล และวางแผนจัดตั้ง Thailand Gene and Genome Bank- ประเทศไทยมีบทบาทเปนเจาของ/ผูผลิตในอุตสาหกรรม เครื่องมือแพทย หุนยนตทางการแพทย ไดรับการยอมรับ สามารถขึ้นทะเบียนและสงออกแขงขันในตลาดโลกได

ศูนยความเปนเลิศดานชีววิทยาศาสตร (TCELS)

ศูนยความเปนเลิศดานชีววิทยาศาสตร (TCELS)

ผูอำนวยการ คือ ดร.นเรศ ดำรงชัย กอตั้งขึ้นในป 2004

จากนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งใจจะเชื่อมโยงศูนยกลางของ

นวัตกรรมและการลงทุนเพื ่ออำนวยความสะดวกใหกับ

พันธมิตรทั้งในและตางประเทศ ศูนยความเปนเลิศดาน

ชีววิทยาศาสตร (TCELS) เปนองคการมหาชนภายใตการ

กำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร วิจัย

และนวัตกรรม และเปนหนวยประสานงานหลักสำหรับ

ธุรกิจดานชีววิทยาศาสตร การวิจัย และการลงทุนใน

ประเทศไทย วิสัยทัศนของ TCELS คือ "ขับเคลื่อน

วิทยาศาสตรการแพทยและสุขภาพใหสรางมูลคาทาง

เศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้นเปน 1 ใน 10 อุตสาห-

กรรมสูงสุด ภายใน ป 2580"

Page 5: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25624

งาน BIO International Convention 2019งาน BIO International Convention 2019

งาน Bio International Convention เปนงานจัดแสดง

บริษัทดานเทคโนโลยีชีวภาพที่ใหญที่สุดในโลก โดยมีทั้งบริษัท

เอกชน สถาบันการศึกษา และภาครัฐจากทั้งในสหรัฐอเมริกา

และ 30 ประเทศทั่วโลก มาจัดแสดงและรวม การประชุม

สัมมนาตางๆ ในงาน งาน Bio International Convention 2019

จัดขึ้นระหวางวันที่ 3 – 6 มิถุนายน 2562 ณ รัฐ Philadelphia

สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหนวยงานที่เปนตัวแทนจากประเทศไทย

มาจัดแสดงคือ ศูนยความเปนเลิศดานชีว-วิทยาศาสตร (Thailand

Center of Excellence for Life Sciences – TCELS)

สมาชิกของ BIO ประกอบดวยหนวยงานและบริษัทตางๆ เชน

บริษัทเกิดใหม (Emerging companies) หรือบริษัทขนาดเล็กถึงขนาดกลางทีสินคาและบริการหลักของบริษัท

ยังไมไดรับการยอมรับและอยูในตลาด องคกร BIO มีสวนชวยในการผลักดันใหเกิดนโยบายตางๆ ที่สนับสนุน

นวัตกรรม เชน นโยบายดานภาษี และการลงทุน

Health Biotechnology องคกร BIO ใหการสนับสนุนนวัตกรรมดานชีวเวชศาสตรโดยการพัฒนาและสนับสนุน

นโยบายสาธารณะที่เกี่ยวของกับการแพทยและสุขภาพของสาธารณะ เชน ระบบการชดเชยหรือการชำระเงินคืนใน

ระบบประกันสุขภาพ การเตรียมความพรอมกับโรคระบาดและ biodefense การใหการสนับสนุนการวิจัย

และการรักษาเฉพาะบุคคล

เทคโนโลยีชีวภาพดานอุตสาหกรรมและสิ่งแวดลอม องคกร BIO ใหการสนับสนุนการใชเอนไซมเพื่ออุตสาหกรรม

การเปลี่ยนสะสารทางชีวภาพเปนพลังงานและสารเคมี รวมถึงสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมทำความสะอาด

สิ่งแวดลอมและอุตสาหกรรมตางๆ องคกร BIO ทำงานรวมกับรัฐสภาของสหรัฐฯ หนวยงานภาครัฐ และหนวยงาน

จากตางประเทศเพื่อผลักดันใหเกิดการพัฒนา

Page 6: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25625

งาน BIO International Convention 2019งาน BIO International Convention 2019

ในป 2562 ศูนยความเปนเลิศดานชีววิทยาศาสตร (TCELS) รวมกับสำนักงานคณะกรรมการ

สงเสริมการลงทุน (BOI) ไดนำคณะที่เปนเครือขายพันธมิตรจากมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย

และภาคเอกชนในอุตสาหกรรมจากประเทศไทยกวา 60 คน ประชาสัมพันธประเทศไทยและสราง

เครือขายในงาน BIO International Convention (BIO 2019) ที่ Pennsylvania Convention

Center ณ นครฟลาเดลเฟย รัฐเพนซิลเวเนีย เพื่อสงเสริมการเปนฐานอุตสาหกรรมดานชีว-

วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และผลักดันความรวมมือทั้งทางดานการวิจัยและดานธุรกิจ

ชีววิทยาศาสตรระหวางไทยกับตางประเทศอยางตอเนื่อง ประเทศไทยเปนประเทศตน ๆ ในเอเชีย

ที่เขารวมงาน BIO มาตั้งแตป 2548 และเปนประเทศเดียวในอาเซียนที่มี Pavilion ในงานดังกลาว

โดยวันที่ 4 มิถุนายน 2562 อุปทูตบุศรา กาญจนาลัย ดร.เศรษฐพันธ กระจางวงษ

อัครราชทูตที่ปรึกษาฝายวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี พรอมดวยเจาหนาที่สถานทูต ณ กรุงวอชิงตัน

รวมพิธีเปด Thai Pavilion “THAILAND Innovation Hub of ASEAN”

งาน BIO International Convention เปนงานสัมมนาและงานแสดงนิทรรศการดานธุรกิจ

เทคโนโลยีชีวภาพที่ใหญที่สุดในโลก จัดขึ้นเปนประจำทุกปที่สหรัฐฯ งาน Bioฯ ดึงดูดบุคลากรและ

องคกรที่มีชื่อเสียงทางดานเทคโนโลยีชีวภาพมารวมพบปะ สรางพันธมิตรทางธุรกิจ ใหความรู

ขาวสารและแรงบันดาลใจในอุตสาหกรรม ผูบรรยาย ผูเขารวมแสดง ผูเขาชมนิทรรศการเปนกลุม

ผูบริหารระดับสูงจากภาครัฐ ผูบริหารบริษัทเอกชน นักวิทยาศาสตรชั้นนำจากทั่วโลก โดยในปนี้

มีผูเขารวมงานมากกวา 16,000 คน จาก 67 ประเทศ ประเทศไทยจะยังคงเขารวมงาน BIO

อยางตอเนื่องในปหนา โดย BIO 2020 จะจัดขึ้นระหวางวันที่ 8-11 มิถุนายน 2563

ที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอรเนีย

Page 7: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25626

BCG Model: Bio-Economy /

Circular Economy /G Green Economy

ประเทศไทยก้าวไกลด้วย BCG Model

ทำไมต้อง BCG Model: พัฒนาเศรษฐกิจบนฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน สงเสริม

ใหเศรษฐกิจเติบโตโดยไมทิ้งใครไวขางหลัง สรางสิ่งแวดลอม

ของประเทศใหกลับมาอุดมสมบูรณอยางยั่งยืน และเพิ่ม GDP

เปน 4.3 ลานลานบาทภายใน 5 ป

องค์ประกอบของ BCG: พัฒนาเศรษฐกิจบนฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน สงเสริมให

เศรษฐกิจเติบโตโดยไมทิ้งใครไวขางหลัง สรางสิ่งแวดลอม

ของประเทศใหกลับมาอุดมสมบูรณอยางยั่งยืน และเพิ่ม GDP

เปน 4.3 ลานลานบาทภายใน 5 ป

ที่มา: กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร วิจัย และนวัตกรรม

Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน: การนำทรัพยากรมาใชใหเกิดประโยชนสูงสุด (การเดิน

หนาเศรษฐกิจหมุนเวียน) ลดปริมาณของเสียใหนอยลงหรือ

เทากับศูนยโดยปรับกระบวนการผลิตใหมีประสิทธิภาพสูงสุด

Green Economy เศรษฐกิจสีเขียว: การพัฒนาที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดลอมการใช

ทรัพยากรที่เหมาะสมและความรับผิดชอบตอสิ่งแวดลอม เชน

การใชเอมไซมจากจุลินทรียเพื่อการฟอกกระดาษ การใช

ชีวภัณฑกำจัดแมลงศัตรูพืชทดแทนการใชสารเคม

Page 8: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25627

Page 9: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25628

วัคซีน วัคซีน (Vaccine) โดยนิยามคือชีววัตถุหรือสารที่เตรียมขึ้นจากเชื้อจุลินทรียหรือสวนของเชื้อจุลินทรีย

ซึ่งจะมีกลไกชักนำใหรางกายสรางภูมิคุมกันที่จำเพาะตอจุลินทรียชนิดนั้นๆ กลาวคือมีฤทธิ์ชักนำการสราง

ภูมิคุมกันอันจำเพาะกับโรค วัคซีนโดยทั่วไปจะประกอบดวยสวนประกอบของจุลินทรียที่เปนสาเหตุของโรค

(แอนติเจน) ซึ่งถูกทำใหออนฤทธิ์ลง ตาย หรือการใชสวนที่เปนพิษที่ออนฤทธิ์ลง (toxoid) โดยวัคซีนจะกระตุน

ระบบภูมิคุมกันของรางกายและสามารถจดจำไดวาเปนสารกอโรคซึ่งจะมีกลไกการทำลายตอไป คุณสมบัติ

การจดจำแอนติเจนของระบบภูมิคุมกันของรางกายทำใหรางกายสามารถกำจัดแอนติเจนหากเมื่อไดรับอีกใน

ภายหลังไดรวดเร็วยิ่งขึ้น

วัคซีนเริ่มมีการพัฒนาในราวคริสตทศวรรษ 1770 โดยเอดเวิรด เจนเนอร นักวิทยาศาสตรชาวอังกฤษ

ประสบความสำเร็จในการสกัดเชื้อ cowpox เพื่อปองกันโรคฝดาษ (small pox) ในมนุษยได วัคซีนในระยะเริ่ม

แรกเปนการนำเชื้อมาทำใหตายหรือการใชเชื้อที่ออนฤทธิ์เทานั้น คำวา "วัคซีน" (vaccine) ก็มีรากศัพททีมี

ความหมายจากคำวา วัว (vacca ในภาษาละติน) โดยเขาทราบเรื่องของหญิงเลี้ยงวัวที่ไมเคยปวยโดย

โรคฝดาษเลย ภายหลังเธอปวยดวยโรค cowpox ซึ่งเธอติดเชื้อดังกลาวจากวัวที่เธอเลี้ยง และเปนโรคที่อาการ

ไมรุนแรงนักในมนุษย ในป ค.ศ. 1796 เจนเนอรสกัดนำเชื้อ cowpox จากสตรีผูนั้นแลวใหแกเด็กชาย

(ที่ไมไดเลี้ยงแกะ) วัย 8 ป หลังจากนั้น 6 สัปดาหเขาไดใหเชื้อฝดาษ (small pox) แกเด็กชายผูนั้น

พบวาเด็กชายไมปวยหรือมีอาการสำแดงถึงโรคฝดาษ แตท่ีนาเศราคือภายหลังความคิดน้ีถูกส่ังหามในป ค.ศ. 1840

วัคซีน

ตอมา หลุยส ปาสเตอร นักวิทยาศาสตรชาวฝรั่งเศส

ไดนำแนวความคิดของเจนเนอรไปประยุกตกับวัคซีน

ปองกันอหิวา-ตกโรคจากสัตวปกจำพวกเปด-ไก โดยเขา

แยกเชื้อและนำมาเพาะเลี้ยงในหองปฏิบัติการ ทำใหเชื้อ

ออนฤทธิ์ลงและฉีดเขากับเด็ก ผลปรากฏวาเด็กมีแนวโนม

ตานทานตอเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งแนวคิดนี้เปนแนวคิดพื้น

ฐานตอการผลิตวัคซีนในระยะหลัง และทำใหโลกในยุค

ศตวรรษที่ 18 มีการประชากรออกเปน 2 จำพวกใน

มิติทางการแพทย คือพวกมีภูมิตานทาน และพวก

ไมมีภูมิตานทาน ดังนั้น เมื่อชาวยุโรปเขาครอบครอง

ทวีปอเมริกา พวกเขาก็มาพรอมเชื้อและไดใชเปนสวนหนึ่ง

ในการตอสูกับ ชนพื้นเมืองเดิมที่ไมรูจักและไมเคยเปน

โรคหลายอยางมากอน ไดลมตายจากการติดเชื้อโรคที่

Page 10: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/25629

รู้จักกับ Vacineปองกันไดในเวลาตอมาเหลานี้ ในราวคริสตศตวรรษที่ 19 วัคซีนไดรับการผลักดันจนมีความสำคัญระดับชาติซึ่งมีกฎหมายวัคซีน

บังคับขึ้นใชในหลายประเทศ และมีการแจกจายวัคซีนตาง ๆ ไปทั่วโรค อาทิ วัคซีนปองกันโรคไขทรพิษ, โรคโปลิโอ, โรคไอกรน

เปนตน

ในคริสตศตวรรษที่ 20 มีการพัฒนาวัคซีนและประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ โรคคอตีบ, โรคหัด, โรคคางทูม

และโรคหัดเยอรมัน โดยวัคซีนเหลานี้สวนมากไดใชองคความรูและแนวคิดการพัฒนามาจากวัคซีนปองกันโรคโปลิโอใน

คริสตศตวรรษที่ 1950 และการพัฒนาวัคซีนโรคฝดาษในราวคริสตทศวรรษ 1960 และ 1970 ปจจุบันมีการ พัฒนากระบวนการ

ผลิตวัคซีนโดยอาศัยองคความรูทางชีววิทยาระดับโมเลกุลและเทคโนโลยีรีคอมบีแนนตพัฒนาวัคซีนขึ้น อาทิ recombinant

hepatitis B vaccine ซึ่งถือเปนวัคซีนรุนที่สอง และในอนาคตมีความพยายามพัฒนาวัคซีนขึ้น โดยการสังเคราะหแอนติเจน

ผานกระบวนการทางเคมีและฟสิกสในหลอดทดลอง (in vitro) โดยผลิตซับยูนิตวัคซีน อาทิ peptide synthetic vaccine

หรืออาศัยความรูทางชีววิทยาระดับโมเลกุลรวมกัน อาทิ แอนแทรกซวัคซีนและ recombinant synthetic เพื่อปองกันโรคเอดส

ที่กำลังมีความพยายามทดลองอยู อยางไรก็ดี วัคซีนในปจจุบันยังไมครอบคลุมถึงโรคสำคัญอีกหลายโรค อาทิ โรคมาลาเรียและ

ไขเลือดออก ซึ่งกำลังอยูในขั้นตอนศึกษาวิจัยคิดคนพัฒนา จนมีผูกลาวเสมอวา เมื่อพบวัคซีนที่ปองกัน โรคขึ้นมาโรคหนึ่ง

ก็มักจะมีโรคอุบัติใหมเกิดชึ้นมาใหมนุษยตองตอสูตอไปเสมอ

ชนิดของวัคซีน วัคซีนในปจจุบันสามารถแบงไดสองเกณฑจำแนกคือ เกณฑจำแนกทางการใหยา แบงไดสองประเภทคือการกินและการฉีด

อีกเกณฑจำแนกคือลักษณะของแอนติเจนที่ใหซึ่งแบงออกไดเปนวัคซีนชนิดเปนและชนิดตาย รวมถึงยังมีทอกซอยดอีกดวย

วัคซีนชนิดตัวตาย (Killed Vaccine) เปนวัคซีนวิธีการแรก ๆ ที่นำมาใชในการผลิตวัคซีน ซึ่งประกอบดวยจุลินทรียตายทั้งตัว

หรือสวนประกอบของจุลินทรียที่มีคุณสมบัติเปนแอนติเจน อาทิ แคปซูล ฟลิ หรือไรโบโซม วัคซีนชนิดนี้ผานการเลี้ยงเชื้อ

ในสภาวะที่มีความรุนแรงสูงและนำจุลินทรียมาฆาดวยวิธีการตางๆ อาทิ การใชความรอน การใชแสงอัลตราไวโอเลต และการใช

สารเคมีอยาง ฟนอลหรือฟอรมาลิน การใชวัคซีนชนิดนี้ตองมีขนาดการใชสูงเนื่องจากเชื้อจุลินทรียตายแลวและ ไมอาจเพิ่ม

ปริมาณในรางกายผูใหวัคซีนได รวมถึงการออกฤทธิ์วัคซีนประเภทนี้จะสั้นซึ่งสามารถปองกันไดโดยการใชสารจำพวกแอตจูแวนต

(Adjuvant) หรือใชวิธีการฉีดกระตุนใหระดับแอนติบอดีสูงพอที่จะปองกันโรคได

Page 11: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256210

รู้จักกับ Vacine วัคซีนตัวตายทำนำสวนใดสวนหนึ่งของจุลินทรียมาทำเปนวัคซีนนั้นเรียกวาซับยูนิตวัคซีน

(subunit vaccine) สามารถแบงตามลักษณะการไดมาของแอนติเจนอาทิการสกัดแอนติเจน

(antigen extract),การผลิตแอนติเจนโดยกระบวนการเทคโนโลยีรีคอมบีแนนต และการสังเคราะห

แอนติเจนในหลอดทดลอง นอกจากนี้ยังมีการนำยีนของเชื้อที่กอโรคมาสกัดนำยีนควบคุมลักษณะ

การสรางแอนติเจนมากระตุนใหเกิดแอนติบอดีขึ้น ซึ่งยีนนั้นจะมีสวนของโปรตีนกระตุนภูมิคุมกันตอ

โรคโดยการนำยีนสอดแทรกเขาไปในดีเอ็นเอของเชื้อกอโรคนั้นดวย

อนึ่ง ทอกซอยดซึ่งเปนผลิตภัณฑอันเปนพิษของแบคทีเรียก็ไดจัดกลุมเปนสวนหนึ่งของวัคซีน

ชนิดตัวตายดวย โดยนำสารพิษ (toxin) มาทำใหความเปนพิษหมดไปแตยังสามารถกระตุนภูมิคุมกัน

ของโรคไดซึ่งจะเปนสวนของสารประเภทโปรตีนในทอกซิน การหมดพิษไปของทอกซินอาจตั้งทิ้งไว

ชวงระยะเวลาหนึ่งหรือการใชความรอนและสารเคมีในเชิงเภสัชอุตสาหกรรม การใชวิธีการทำให

หมดฤทธิ์วิธีการใดจำเปนตองตระหนักถึงความทนสภาพของแอนติเจนที่จะไมหมดฤทธิ์ตามพิษนั้น

ไปดวย ทอกซอยดที่ไดนิยมนำไปตกตะกอนดวยอะลัมเพื่อใหดูดซึมในรางกายอยางชา ๆ โดยฉีกเขา

ทางกลามเนื้อ ปจจุบันมีทอกซอยดสองชนิดเทานั้นคือทอกซอยดปองกันโรคคอตีบ และโรค

บาดทะยัก

วัคซีนชนิดตัวเปน (Live Attenuated Vaccine) ประกอบดวยจุลินทรียที่ยังมีชีวิตแตถูกทำให

ออนฤทธิ์ลง ไมกอโรคในรางกายมนุษยแตสามารถกระตุนภูมิคุมกันไดโดยการคัดเลือกตัวผาเหลา

ของจุลินทรียที่มีความรุนแรงต่ำโดยผานกระบวนการตางๆ อาทิ การทำใหแหง, การเลี้ยงในสภาวะ

ผิดปกตินอกโฮสต, การเลี้ยงจนออนฤทธิ์และการใชเทคโนโลยีรีคอมบีแนนตเขารวม ซึ่งขอดีของ

วัคซีนชนิดนี้ประการหนึ่งคือการสามารถเจริญและเพิ่มจำนวนในรางกายได ทำใหสามารถกระตุน

ภูมิคุมกันในรางกายไดเปนเวลานานและระดับภูมิคุมกันสูงกวาในวัคซีนชนิดตัวตาย สามารถให

ในปริมาณที่นอยไดและยังเปนการเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติอีกดวย

อยางไรก็ดีวัคซีนชนิดตัวเปนยังมีปญหาหลายประการ อาทิ ความรุนแรงในการออนฤทธิ์ของ

ไวรัส คือตองมีขนาดพอเหมาะ ความรุนแรงต่ำตองไมต่ำจนกระทั่งไมสามารถกระตุนภูมิคุมกันได

คือสูญเสียคุณสมบัติแอนติเจน และเชื้อผาเหลาที่ไดรับการคัดเลือกจำตองมีความคงตัว นอกจากนี้

ปญหาการปนเปอนไวรัสจากการเลี้ยงเชื้อในสภาวะอื่นอาจมีไวรัสปะปนในเซลลที่นำมาเลี้ยง อาทิ

WI-38 ซึ่งเปนเซลลของมนุษยนำมาเลี้ยงแทนเซลลเนื้อไตลิงที่มีปญหาการปนเปอนไวรัสสูง หากแต

ยังมิไดรับการยอมรับในหลายประเทศ

การใหวัคซีนชนิดตัวเปนสองหนิดขึ้นไปในเวลาใกลเคียงกันอาจกอใหเกิดปญหา "Interference

Phenomenon" ขึ้น จากการไมตอบสนองตอบของรางกายตอวัคซีนตัวหลังที่ใหเพราะวัตซีนตัวแรก

กอใหเกิดการสรางภูมิคุมกันรางกายที่ออกฤทธิ์ปองกันการติดเชื้อไวรัสอยางไมจำเพาะเจาะจงทำให

ปองกันวัคซีนตัวหลังที่ใหดวย นอกจากนี้การเก็บรักษาวัคซีนประเภทนี้ตองเก็บในตูเย็นหรือที่

ควบคุมอุณหภูมิในชวง 2 - 8 องศาเซลเซียสเทานั้น

ที่มา:

http://vet.kku.ac.th/vetphar

maco/document/pharmacy

/%C7%D1%A4%AB%D5%B

9%E1%C5%D0%A1%D2%C

3%E3%AA%E9.pdf

https://th.wikipedia.org/wiki

/%E0%B8%A7%E0%B8%B1

%E0%B8%84%E0%B8%8B

%E0%B8%B5%E0%B8%99

Page 12: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256211

บริษัทวิจัยดานชีวการแพทย Wellcome Trust จากประเทศอังกฤษ ไดทำการสำรวจในกลุมตัวอยางจำนวน 140,000 คน

จาก 140 ประเทศ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความคิดเห็นของประชากรโลกตอประเด็นทางการแพทย วิทยาศาสตร และความเชื่อมั่น

ในนักวิทยาศาสตรและแพทย

ผลจากการสำรวจพบวา ความเชื่อมั่นในวัคซีนของประชากรโลกมีความแตกตางกันในแตละประเทศ โดยรอยละ 79

ของกลุมตัวอยางทั้งหมดเชื่อวาการใหวัคซีนนั้นปลอดภัย และรอยละ 84 เชื่อวาวัคซีนสามารถชวยปองกันโรคไดจริง อยางไรก็ตาม

แมวาจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตรจำนวนมากยืนยันถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน กลุมตัวอยางรอยละ 7

ไมเชื่อวาวัคซีนปลอดภัย และรอยละ 5 ไมเชื่อวาวัคซีนสามารถปองกันโรคได

ผลจากการสำรวจที่นาสนใจอยางหนึ่งคือ ประชากรจากประเทศที่ร่ำรวยมีแนวโนมที่จะไมเชื่อในวัคซีนมากกวาประชากร

จากประเทศที่ยากจน เชน กลุมตัวอยางที่เชื่อวาวัคซีนปลอดภัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดามีเพียงรอยละ 72 และยุโรป-

ตะวันตกมีเพียงรอยละ 59 ทั้งที่เปนประเทศตนกำเนิดวิทยาการดานวัคซีนปองกันโรค

ฝรั่งเศสเปนหนึ่งในประเทศที่ประสบปญหาการระบาดของโรคหัด (Measles) โดยพบผูปวยมากถึง 3 พันรายในป 2561

จากการสำรวจพบวา กลุมตัวอยางจากฝรั่งเศสมากถึง 1 ใน 3 ไมเชื่อในความปลอดภัยของวัคซีน และ 1 ใน 5

ไมเชื่อวาวัคซีนมีประสิทธิภาพ โดยนักวิจัยไมพบความแตกตางทางดานระดับการศึกษาในกลุมผูที่ไมมีความเชื่อมั่นในวัคซีน

ที่มา : Which Regions Of The World Have The Lowest Trust And Belief In Vaccines? โดย

Victoria Forster Forbes วันที่ 19 มิ.ย. 2562 และ http://guruvaccine.com/herd-immunity/

ความเชื่อมั่นในวัคซีนในประเทศต่างๆ

ปจจุบัน การใหวัคซีนในเด็กไดกลายเปนประเด็นที่ไดรับ

ความสนใจจากหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจาก มีหลักฐาน

พบเด็กที่ปวยจากโรคที่ปองกันไดดวยวัคซีนมีจำนวนมากขึ้น

โรคหลายๆ อยางที่เคยหายไปในบางพื้นที่ก็กลับปรากฏ

ใหเห็น อาทิ โรคหัดซึ่งองคกรอนามัยโลกเคยไดประกาศวา

สามารถควบคุมไดตั้งแตป พ.ศ. 2543 ในขณะที่วิทยาศาสตร

การแพทยมีการพัฒนาอยางตอเนื่องและวัคซีนถูกพัฒนาขึ้น

เพื่อปกปองประชากรจากโรคระบาดบางอยางที่เคยคราชีวิต

ผูติดเชื้อ คนบางกลุมกลับตั้งคำถามและขาดความศรัทธาในการ

พัฒนานี้ กลุมเคลื่อนไหวตอตานวัคซีน หรือ anti-vaccination

movement อางวา วัคซีนนั้นไมตางจากยาพิษที่มีสวนประกอบที่

อันตรายและกอใหเกิดผลเสียตางๆ แกผูไดรับวัคซีน เชน โรคออทิสติก (Autistic

Disorder) หรือ ออทิสซึม (Autism)

ความเชื่อมั่นในวัคซีนในประเทศต่างๆ

Page 13: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256212

ในทางกลับกัน กลุมตัวอยางในประเทศที่มีรายไดปานกลางขั้นต่ำสวนใหญมีความเชื่อในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ

วัคซีนสูงกวา โดยนับเปนรอยละ 90 ในแอฟริกาตะวันออก และรอยละ 99 ในประเทศรวันดา ประเทศในทวีปยุโรปที่ปรากฏ

กลุมเปาหมายเชื่อในวัคซีนมากกวารอยละ 90 มีเพียง 3 ประเทศคือ ไอซแลนด (97%) นอรเวย (93%) ซึ่งอยูนอก EU และไซปรัส

(เหนือ) (92%)

องคการอนามัยโลก ระบุวา การลังเลและปฏิเสธวัคซีน (Vaccine hesitancy) เปนหนึ่งในภัยคุกคามสาธารณสุขโลกในป

2562 การระบาดของโรคหัดและโรคระบาดบางประเภทซ่ึงปรากฏข้ึนในหลายๆ ประเทศท่ัวโลกเปนหลักฐานหน่ึงท่ีทำใหเจาหนาท่ี

และผูที่เกี่ยวของตระหนักถึงปญหาและพยายามที่จะโนมนาวใหคนมีความเชื่อมั่นในวัคซีนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนในประเทศ

ที่ร่ำรวย

Dr. Edsel Maurice Salvana ผูบริหารของ the Institute of Molecular Biology and Biotechnology at the National

Institutes of Health ประเทศฟลิปปนสกลาววา “ประชากรในหลายประเทศ ยึดมั่นในความเชื่อทางศาสนามากกวาวิทยาศาสตร

แตในทวีปยุโรป ปจจัยสำคัญที่กอใหเกิดกระแสตอตานวัคซีน คือ pseudoscience หรือวิทยาศาสตรเทียม ซึ่งเปนความเชื่อที่

มีลักษณะปฏิพากยกับวิทยาศาสตรมาผสมผสานกับองคความรู เชน การคุมกำเนิดเปนบาป การปรับแตงยีนเปนการฝนธรรมชาติ

เปนตน ซึ่งที่จริงแลว หลายๆ ศาสนา ใหความรวมมือกับเจาหนาที่รัฐในการใหความรูที่ถูกตองเกี่ยวกับวัคซีน ดังนั้น การแกไข

ความเช่ือท่ีเก่ียวของกับศาสนาจึงไมใชปญหาท่ียากนักเม่ือเปรียบเทียบกับการแกไขความเช่ือท่ีบิดเบือนท่ีเกิดจากวิทยาศาสตรเทียม”

ตัวอยาง pseudoscience ที่โดงดังหนึ่งคือ ปญหาการระบาดของโรคหัดในเขตนิวยอรก ซึ่งแมวาภาครัฐจะพยายามให

ความรูความเขาใจที่ถูกตอง และแกไขกฎขอบังคับตางๆ ที่เกี่ยวของกับวัคซีน แตก็ยังมีคนนิวยอรกจำนวนมากที่ยังเชื่อวาการ

รับวัคซีนนอกจากจะมีความเสี่ยงแลว ยังไมสามารถปองกันโรคไดจริง ไมวาจะเปนขอมูลทางวิทยาศาสตร ตัวเลขเชิงสถิติ

หรือเด็กที่ปวยจากโรคระบาด ก็ไมสามารถลบลางความเชื่อที่บิดเบือนนี้ได คำถามที่ผูที่เกี่ยวของพยายามหาคำตอบในขณะนี้คือ

อะไรที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่เกิดจากวิทยาศาสตรเทียมได?

ภูมิคุ้มกันโรคในชุมชนหรือที่เรียกว่า Herd Immunity ภูมิคุมกันโรคในชุมชน เกิดจากการที่มีจำนวนประชากรในชุมชนที่ไดรับวัคซีนมีมากพอที่จะทำใหโรคไมสามารถกระจายไปยัง

คนอื่นๆ ในชุมชนได ภาพดานลางจำลองการระบาดของโลกในชุมชนที่มีจำนวนผูที่ไดรับวัคซีนในสัดสวนตางๆ ซึ่งโดยสวนใหญ

ควรจะมีประชากรที่ไดรับวัคซีนอยางนองรอยละ 75 เพื่อใหคนสวนใหญในชุมชนปลอดภัยจากโรคระบาด โดยโรคระบาดแตละ

โรค ตองการสัดสวนของผูที่ไดรับวัคซีนที่แตกตางกันเพื่อรักษาชุมชนใหปลอดภัย เชน โรคหัด ตองมีประชากรในชุมชนไดรับ

วัคซีนรอยละ 83 – 94 โรคคอตีบ ตองมีประชากรในชุมชนไดรับวัคซีนรอยละ 85 ฯลฯ

ความเชื่อมั่นในวัคซีนในประเทศต่างๆ

Page 14: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256213

เทคโนโลยีชีวภาพเมื่อบวกกับเทคนิคดานเคมีและ ฟสิกสก็บทบาทสำคัญในดานอุตสาหกรรมการแพทย

ไมนอยไปกวาดานอื่นๆ มีการศึกษา คิดคน วิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีชีวภาพและการแพทยควบคูกันไป

อยางตอเนื่อง จนลาสุดทีมนักวิจัยสามารถประดิษฐคิดคนแคปซูลยาสุด ไฮเทคที่สามารถรักษาอาการของ

ผูปวยแทนการฉีดยาไดแลว

และนี่คือโฉมหนาของแคปซูลจิ๋วสุดไฮเทคที่ทำหนาที่ฉีดอินซูลิน (Insulin) ไปที่ผนังกระเพาะอาหารของ

ผูปวยได ทำใหผูปวยสามารถรับสารไดโดยตรง งายดาย และไมตองเจ็บตัวจากการถูกฉีดยาซ้ำๆ อีกดวย

ทำไมต้องแคปซูลไฮเทค? ทานผูอานอาจจะสงสัยวาแคปซูลไฮเทคตัวนี้ตางจากแคปซูลปกติหรือยาเม็ดทั่วไปอยางไร เรามีคำตอบมา

ใหทานแลว

ยาในรูปแบบเม็ดทั่วๆไปอาจมีโมเลกุลยาที่มีขนาดใหญเกินกวาจะถูกดูดซึมผาน

กระเพราะอาหารหรือลำไสของเราได และเนื่องจากมนุษยมีระบบการยอยอาหารที่ซับซอน

ตัวยาอาจออนกำลังลงกอนจะเขาสูกระแสเลือดเสียอีก ทำใหยาไมสามารถออกฤทธิ์ได

อยางมีประสิทธิภาพ ทีมนักวิจัยในสหรัฐฯจึงมีการประดิษฐแคปซูลที่สามารถฉีดตัวยาไป

ที่ผนังกระเพราะอาหาร และซึมเขากระแสเลือดไดโดยตรง โดยรูปรางหนาตาของ

อุปกรณขนาดจิ๋วที่บรรจุในแคปซูลนั้นไดรับแรงบันดาลใจมาจากกระดองเตาเสือดาวนั่นเอง

แคปซูลสุดไฮเทคท่ีจะมาแทนท่ีการฉีดยา!

โดย: น.ส. พิยดา นุมนวล นักศึกษาฝกงาน สำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

Page 15: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256214

ทำไมต้องกระดองเต่าเสือดาว?

ทีมนักวิจัยใหเหตุผลวากระดองของเตาเสือดาว (Leopard Tortoise) มีลักษณะโคงเวาพิเศษที่ชวยให

เตาสามารถพลิกตัวกลับเองไดงายไมวาเตาจะลมกลิ้งทาไหนก็ตาม ดวยลักษณะธรรมชาติของเตาดังกลาว

ทำใหทีมนักวิจัยนำไปประยุกตใชในการออกแบบอุปกรณจิ๋วที่บรรจุในแคปซูล เจาอุปกรณจิ๋วจะทำงานไดก็

ตอเมื่อผูปวยกลืนแคปซูลลงไป และเมื่ออุปกรณจิ๋วตกถึงกระเพาะอาหารและวางตัวประชิดกับผนังใน

ตำแหนงที่ถูกตองแลว ก็จะทำการยิงอินซูลินเขาไปในผนังกระเพาะอาหารดวยตัวของมันเอง สวนของแคปซูล

ที่ยอยสลายไมไดก็จะถูกขับออกมาโดยระบบขับถายตามธรรมชาติ

ดังนั้นทีมนักวิจัยจึงใหความสำคัญกับการออกแบบอุปกรณจิ๋วเปนอยางมาก เพราะถาอุปกรณไมสามารถ

ไปวางตัวอยูบนผนังกระเพาะอาหารไดอยางถูกตอง การยิงอินซูลินเขาสูอวัยวะภายในอาจไมเปนผลสำเร็จ

การยิงอินซูลินไปยังกระเพาะอาหารโดยตรงจากอุปกรณ์จิ ๋วให้ความรู ้สึกเหมือนการฉีดยา ปกติหรือไม่?

ทีมนักวิจัยใหคำตอบวากระเพาะอาหารของเรามีเสนประสาทสัมผัสอยูนอยมากๆเมื่อเทียบกับอวัยวะ

สวนอื่นๆของรางกาย ดังนั้นเราจึงไมรูสึกอะไรเลยจากเข็มเล็กๆ บนอุปกรณจิ๋วในแคปซูล

ทีมนักวิจัยนำโดย Alex Abramsonไดทำการทดสอบใชแคปซูลไฮเทคกับหมูและหนูทดลอง พบวา

รางกายสัตวสามารถรับอินซูลินไดในปริมาณที่ไมตางไปจากการฉีดยาบนผิวหนังทั่วไป และที่สำคัญกระเพาะ

ตองไมมีการยอยอาหารอื่นๆอยูเพื่อที่จะใหรางกายรับสารไดอยางเต็มประสิทธิภาพ

อยางไรก็ตามแมวามีการประดิษฐแคปซูลไฮเทคออกมาแลว การทดลองใชงานก็ยังคงตองดำเนินไปอยาง

ตอเนื่องเพื่อที่จะใหแนใจไดวาเจาอุปกรณจิ ๋วในแคปซูลจะไมไปทำใหผนังกระเพาะอาหารเกิดบาดแผล

และทีมนักวิจัยก็ตองพัฒนาตัวแคปซูลตอเพื่อใหรองรับตัวยาชนิดอื่นๆ อีกดวย ไมเพียงแตอินซูลินเทานั้นเพื่อที่

จะสามารถรักษาโรคตางๆไดอยางกวางขวางมากขึ้น

ที่มา:https://www.nytimes.com/2019/02/07/health/oral-pill-insulin.html?rref=collection%2Fti

mestopic%2FBiotechnology

โดย: น.ส. พิยดา นุมนวล นักศึกษาฝกงาน สำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

Page 16: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256215

1. ช่วยลดขยะพลาสติก

ปจจุบันนี้โลกของเราเต็มไปดวยขยะพลาสติกทุกแหงหน แมแตในมหาสมุทรของเราก็มีขยะพลาสติก

ลองลอยอยูมากถึง 12.7 ลานตัน แลวจะไมใหขยะพลาสติกมีปริมาณมากเพียงนี้ไดอยางไรเมื่อในแตละป

มนุษยเรามีการผลิตพลาสติกไวใชมากถึง 300 ลานตันเลยทีเดียว ซึ่งแนนอนวาตองมีผลกระทบตอการ

เปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ไมมากก็นอย และการกำจัดขยะพลาสติกใหหมด

ไปอยางสิ้นเชิงคงเปนไปไดยาก แตดวยการวิจัยคนควาของนักวิทยาศาสตรทำใหมีการประยุกตนำเทคโนโลยี

ทางชีวภาพมาใชผลิต bio-based plastic หรือที่เรียกวาพลาสติกชีวภาพนั่นเอง

ซึ่งพลาสติกชีวภาพจะผลิตจากชีวมวลที่มีสวนประกอบจากธรรมชาติ เชน ขาวโพด มันฝรั่ง ขาว ถั่วเหลือง

ออย หรือน้ำมันพืช เปนตน จึงทำใหพลาสติกชีวภาพสามารถนำไปรีไซเคิลและสามารถยอยสลายไดเอง

ตามธรรมชาติภายในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน อีกทั้งยังปลอยกาซเรือนกระจกไดนอยกวามากเมื่อเทียบ

กับพลาสติกธรรมดาทั่วไปที่ผลิตจากน้ำมัน กาซธรรมชาติ หรือถานหินที่อาจตองใชเวลายอยสลายมากถึง 450

– 1,000 ป

โดย: น.ส. พิยดา นุมนวล นักศึกษาฝกงาน สำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

เทคโนโลยีชีวภาพสามารถลดสาเหตุของปัญหา Climate Change ได้อย่างน่าสนใจ

เทคโนโลยีชีวภาพสามารถลดสาเหตุของปัญหา Climate Change ได้อย่างน่าสนใจ

Page 17: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256216

โดย: น.ส. พิยดา นุมนวล นักศึกษาฝกงาน สำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

เทคโนโลยีชีวภาพสามารถลดสาเหตุของปัญหา Climate Change ได้อย่างน่าสนใจ

ขณะนี้บริษัทยักษใหญอยาง Coca-Cola

และ Ford ก็เริ่มหันมาใชพลาสติกชีวภาพใน

การผลิตบรรจุภัณฑ หรือเบาะนั่งรถยนตแลว

ซึ่งถือเปนแบบอยางที่ดีใหบริษัทอื่นๆเดินรอย

ตามและอาจจะชวยลดปริมาณขยะพลาสติก

ลงไปไดมากในระยะยาว

ขอดีของเชื้อเพลิงชีวภาพคือจะไมขับกาซคารบอนไดออกไซดออกมาในปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิง

ทั่วไป แตเชื้อเพลิงชีวภาพก็มีขีดจำกัดอยูเพราะไมสามารถนำไปใชกับยานพาหนะไดอยางกวางนัก

แตอยางนอยก็ทำใหเรามีทางเลือกในการผลิตพลังงานมากขึ้นสำหรับการดำรงคชีวิต และอาจจะชวยลดปญหา

การผลิตกาซคารบอนไดออกไซดลงไปได

2. ช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นผลพวงจากการผลิตพลังงาน

สาเหตุหลักๆ ของกาซเรือนกระจกมาจากเชื้อเพลิงที่ใชในการคมนาคมขนสงไมวาจะเปนทางบก ทางทะเล

หรือบนนานฟา กลาวอยางงายๆคือมนุษยเราใชพลังงานเชื้อเพลิงเพื่อการขับเคลื่อนรถยนต เครื่องบิน

หรือเรือเดินสมุทรตางๆในปริมาณที่มากถึง 50 ลานบาเรลตอวัน ปริมาณคารบอนไดออกไซดที่ถูกขับออกมา

จากการผลิตพลังงานเหลานั้นก็จะถูกสะสมใหมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจสงผลรายตอสภาพแวดลอมและ

สิ่งมีชีวิตนอยใหญตางๆ อยางไรก็ตามนักวิทยาศาสตรก็มีการคิดคนเชื้อเพลิงชีวภาพขึ้นมา ซึ่งมีกรรมวิธีการ

ผลิตโดยอาศัยสวนประกอบของธรรมชาติ เชน ขาวโพด

ขอดีของเชื้อเพลิงชีวภาพคือจะไมขับกาซคารบอนไดออกไซดออกมาในปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิง

ทั่วไป แตเชื้อเพลิงชีวภาพก็มีขีดจำกัดอยูเพราะไมสามารถนำไปใชกับยานพาหนะไดอยางกวางนัก

แตอยางนอยก็ทำใหเรามีทางเลือกในการผลิตพลังงานมากขึ้นสำหรับการดำรงคชีวิต และอาจจะชวยลดปญหา

การผลิตกาซคารบอนไดออกไซดลงไปได

Page 18: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256217

ที่มา: https://www.biotech-now.org/environmental-industrial/2018/11/innovations-in-biotechnology-to-save-the-climate https://waste-management-world.com/a/guest-blog-the-difference-between-biobased-biodegradable-plastics

เทคโนโลยีชีวภาพสามารถลดสาเหตุของปัญหา Climate Change ได้อย่างน่าสนใจ

3. ช่วยเพิ่มพูนผลผลิตทางการเกษตร

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีชีวภาพมีบทบาทสำคัญอยางยิ่งในการเพิ่มพูนผลผลิตทางการเกษตรโดยไมกอ

ใหเกิดมลภาวะตอสิ่งแวดลอม ซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพสามารถนำมาประยุกตใชกับการเกษตรได เชนปรับเปลี่ยน

พันธุกรรมพันธุพืชใหทนตอความแหงแลง หรือทนตอโรคพืชตางๆโดยไมตองใชสารเคมี

ตั้งแตมีการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกตใชกับการเกษตร ปริมาณการใชยาฆาแมลงก็ลดลงอยาง

ตอเนื่อง และลดการขับกาซคารบอนไดออกไซดไดมากถึง 27.1 พันลานกิโลกรัมตอป ซึ่งเทียบเทากับการลด

ปริมาณรถยนตบนทองถนนไดถึง 16.7 ลานคันเลยทีเดียว

เทคโนโลยีจุลชีวภาพ (Microbial Biotechnology) ก็เปนสวนหนึ่งของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีบทบาท

สำคัญทางการเกษตร เพราะในชั้นดินนั้นเปยมไปดวยจุลินทรียนับหลายลานชีวิต มีหนาที่ในการยอยสลายธาตุ

อาหารที่สำคัญที่จำเปนตอการเจริญเติบโตของพืช อีกทั้งยังชวยปรับปรุงดูแลสภาพแวดลอมที่พืชอาศัยอยู

ดังนั้นการประยุกตใชเทคโนโลยีชีวภาพคัดเลือกจุลินทรียที่เหมาะสมกับพืชของเราจะชวยสงเสริมการเจริญเติบ

โตของพืชและใหพืชนั้นสรางผลผลิตไดในปริมาณที่มากขึ้นไมตองพึ่งพาสารเคมีนั่นเอง

อยางไรก็ตาม เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีชีวภาพในการแกปญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอยางเดียวไมได ตัวเราเองก็ตอง

มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคูกันไปดวย เชนลดการถุงพลาสติก รีไซเคิลวัตถุที่สามารถนำไปใชใหมได หรือใชบริการขนสง

สาธารณะ เพื่อลดปริมาณคารบอนฟุตพริ้นท (Carbon Footprint) หรือปริมาณกาซเรือนกระจกที่ถูกปลอยออกมา การตระหนัก

ถึงผลที่อาจตามมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และการรวมมือกันแกไขปญหาอยางตอเนื่องจะชวยทำใหโลกนาอยู

ไปไดอีกนาน

Page 19: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256218

อยางที่ทานผูอานทราบกันดีวา HIV (Human Immunodeficiency) เปนเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุมกันของรางกาย

ซึ่งก็คือเซลลเม็ดเลือดขาวที่ทำหนาที่ตอสูกับเชื้อโรคและปองกันรางกายจากการติดเชื้อตางๆ และถาหากติดเชื้อ HIV แลว เชื้อจะ

อยูในรางกายตลอดไป ถึงแมที่ผานมาจะยังไมมีวิธีรักษาผูปวย HIV ใหหายขาด แตยาตานไวรัสจะชวยใหผูปวยสุขภาพ

แข็งแรงขึ้นและสามารถใชชีวิตไดอยางปกติเหมือนคน ทั่วไปได

อยางไรก็ตามความหวังที่จะกำจัดเชื้อไวรัส HIV ใหหายไปอยางสิ้นเชิงเริ่มใกลเขามาทุกทีเมื่อทีมนักวิจัยจาก Temple Univer-

sity และ University of Nebraska Medical Center ของสหรัฐฯไดคนพบวิธีกำจัดไวรัส HIV ในหนูทดลองไดสำเร็จ

ทีมนักวิจัยนำโดย Dr. Khalili มีการใชเทคโนโลยีสองประเภทรวมกันในการกำจัดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งไดแกระบบคริสเปอร-

แคสไนน (CRISPR-Cas9) ซึ่งเปนการปรับแตงแกไขจีโนม (Genome) โดยใชวิธีการสงนิวเคลียสแคสไนนเขาไปในเซลล

เพื่อเพิ่มยีนใหมเขาไปหรือเพื่อกำจัดยีนเจาปญหาออกไป และผลงานวิจัยลาสุดของทีมคือยาตานไวรัสแบบออกฤทธิ์ชาๆ (LASER

ART) ซึ่งหนาที่ของ LASER ART คือสามารถควบคุมการกระจายตัวของเชื้อไวรัส HIV ในรางกายไดนานขึ้น สงผลใหเชื้อไวรัสลดลง

เมื่อใชเทคโนโลยีทั้งสองประเภทควบคูกันก็จะทำใหกำจัดเชื้อไวรัส HIV ไดอยางมีประสิทธิภาพ

ผลการทดลองลาสุดก็พบวาเมื่อใชเทคโนโลยีทั้งสองประเภทรวมกัน สามารถกำจัดเชื้อไวรัส HIV ในหนูทดลองไดถึง 1 ใน 3

ซึ่งบงบอกถึงสัญญาณที่ดี และเปนสิ่งที่นาภาคภูมิใจสำหรับทีมนักวิจัยอยางยิ่งที่ไดสรางความหวังใหมใหกับผูปวยทั่วโลก

อยางไรก็ตามการคนควาวิจัยก็คงตองดำเนินตอไปอยางตอเนื่อง เพราะกระบวนการรักษาจะประสบความสำเร็จไดก็ตอเมื่อ

สามารถกำจัดเชื้อไวรัส HIV ในหนูไดทุกตัว นอกจากนั้นยังตองมีการศึกษาปจจัยอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อปรับเปลี่ยนการบวนการรักษา

ใหเหมาะสมกับรางกายของมนุษย

โดย: น.ส. พิยดา นุมนวล นักศึกษาฝกงาน สำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

ข่าวดี นักวิจัยพบหนทางกำจัดเชื้อ HIV แล้ว!

ที่มา: https://www.sciencedaily.com/releases/2019/07/190702112844.htm

Page 20: วิทย์ปริทัศน์ost.thaiembdc.org/th1/wp-content/uploads/2019/10/... · 3 วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่

วิทย์ปริทัศน์ | OST Science Review ฉบับที่ 7/256219

เทคนิคการพิมพ 3 มิติคงไมไดมีบทบาทเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตอยางเดียวอีกตอไป แตจะมีบทบาท

สำคัญมากขึ้นในขอบเขตของเวชศาสตรฟนฟูภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) เพราะไดมีการคิดคนนำ

เทคนิคการพิมพ 3 มิติมาประยุกตใชเพื่อประดิษฐเนื้อเยื่อชีวภาพเพื่อทดแทนหรือซอมแซมเนื้อเยื่อในรางกายของ

มนุษยที่ไดรับความเสียหาย

เมื่อป 2011 บริษัท Invetech ซึ่งเปนบริษัทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสัญชาติออสเตรเลียสามารถ

ผลิตเครื่องพิมพชีวภาพ 3 มิติ (3D Bioprinting) เครื่องแรกของโลกใหบริษัท Organovo ไดสำเร็จ

ซึ่งเครื่องพิมพดังกลาวสามารถพิมพเนื้อเยื่อมนุษยไดจากการนำเซลลที่มีชีวิตมาเรียงซอนกันใหมีลักษณะเปน 3

มิติ นับเปนการเปดโอกาสทางการแพทยในการประดิษฐเนื้อเยื่อทดแทน หรือซอมแซมเนื้อเยื่อของมนุษย

ที่ไดรับความเสียหาย รวมไปถึงการพิมพอวัยวะมนุษยเพื่อใชในการเปลี่ยนถายอวัยวะ

ความนิยมใน 3D Bioprinting ในวงการแพทยมีมากขึ้นและไดรับการพัฒนาอยางตอเนื่อง จนกระทั่งในป

2015 ก็มีรายงานวา บริษัทผูผลิตเครื่องสำอางคสัญชาติฝรั่งเศสอยาง L'Oréal จับมือกับบริษัท Organovo

พัฒนาเครื่อง 3D Bioprinting เพื่อพิมพผิวหนังมนุษยขึ้น เพื่อใชทดสอบผลิตภัณฑแทนการทดสอบกับ

คนหรือสัตวอยางที่เคยเปนมา นวัตกรรม 3D Bioprinting ทำให L'Oréal ทดสอบผลิตภัณฑไดอยางมี

ประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งเอื้อตอการใชทางการทดลองรักษาทางการแพทยผิวหนังโดยเฉพาะเรื่องของการ

รักษาผิวหนังไหม

ดวยศักยภาพของ 3D Printing ที่เปดโอกาสใหวงการแพทยพัฒนาทางเลือกในการรักษาไดมากขึ้นผาน

นวัตกรรม 3D Bioprinting ไมวาจะเปนการผลิตเนื้อเยื่อ หรือการผลิตอวัยวะ จึงไมนาแปลกใจที่ 3D Printing

จะไดรับการกลาวขานวาเปนนวัตกรรมที่สรางแรงสั่นสะเทือนใหแกโลกแหงการผลิตในปจจุบัน

โดย: น.ส. พิยดา นุมนวล นักศึกษาฝกงาน สำนักงานที่ปรึกษาดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

การพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) มิติใหม่แห่งวงการแพทย์

ที่มา: http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci7/?p=22817