สุนทรียภาพด้านนาฏศิลป์ และ การ...

Post on 02-Feb-2020

3 Views

Category:

Documents

0 Downloads

Preview:

Click to see full reader

TRANSCRIPT

บทที ่8

สุนทรียภาพด้านนาฏศลิป์

และ การละคร

ความรู้ทัว่ไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์และการละครไทย

พจนานกุรมฉบบัราชบณัฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายวา่

นาฏศิลป์หมายถงึศิลปะการละครหรือ การฟอ้นรําหรือหลายสํานวนที่

สามารถสื่อความหมายนาฏศิลป์ เช่น ร้องรําทําเพลงหรือร้องเต้นเลน่ละคร

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย

นาฏศิลป์เป็นศิลปะการฟ้อนรําที่มนษุย์สร้างขึน้ด้วยความประณีต

งดงามเพื่อให้ความบนัเทิงให้ผู้ดมูีความรู้สกึคอยตาม การร่ายรําต้อง

ประกอบไปด้วยศิลปะ 3 ประการคือ การฟอ้นรํา การดนตรีและการขบัร้อง

รวมเข้าด้วยกนั เช่น การฟอ้นรํา ระบํา โขน ซึง่แตล่ะท้องถิ่นจะมีชื่อเรียก

และมีลีลาการแสดงที่ตา่งกนัไป สาเหตหุลกัมาจากภมูิอากาศ ภมูิประเทศ

ความเชื่อ ศาสนา ภาษา นิสยัใจคอของผู้คน ชีวิตความเป็นอยู่

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย (ต่อ)

นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดขึน้จากสาเหตตุามแนวคิดตา่งๆ

1. เกิดจากการเลียนเสียงแบบธรรมชาติแบง่ออกเป็น 3 ชัน้

2. เกิดจากความเชื่อในสิง่ศกัดิ์สทิธิ์เช่นการรําแก้บน

3. ได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดีย

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย (ต่อ)

1. เกดิจากการเลียนแบบธรรมชาต ิแบง่ออกเป็น 3 ขัน้ดงันี ้

ข ัน้ท ี่ 1 เกิดจากอปุนิสยัของมนษุย์และสตัว์ เมื่อเกิดสขุเวทนาหรือทกุขเวทนาก็

แสดงออกมาให้เหน็ปรากฏ เชน่ เดก็ทารกเมื่อพอใจก็หวัเราะตบมือกระโดดโลด

เต้น เมื่อไมพ่อใจก็ร้องไห้ ดิน้รน

ขัน้ท ี่ 2 เมื่อมนษุย์รู้ความหมายของกิริยาทา่ทางมากขึน้ ใช้กริยาเหลา่นัน้เป็น

ภาษาสื่อความหมายให้ผู้ อื่นรู้ความรู้สกึและความประสงค์เชน่ต้องการแสดง

ความเสนห่าก็ยิม้แย้มกรุ้มกริ่ม ชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทําหน้าตา

ถมงึทงึ กระทืบ กระแทกแล้วนํามาปรับประยกุต์ด้วยการเอากริยาทา่ทางตา่งๆ

มาเรียบเรียงสอดคล้อง ตดิตอ่กนัเป็นขบวนฟอ้นรําให้สวยงาม

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย (ต่อ)

ขัน้ท ี่ 3 มนษุย์สร้างศิลปะการแสดงโดยเลียนแบบธรรมชาติของมนษุย์และ

สตัว์

ท่านาฏศลิป์ท ี่เกดิจากการเลียนแบบธรรมชาติ

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย (ต่อ)

2. เกดิจากความเชื่อในสิ่งศักดิ์ส ิทธ ิ์มนษุย์ในสมยัโบราณมีความเชื่อในสิง่ศกัดิ์สทิธิ์ จงึมีการบชูาเช่น สรวง เพื่อ

ขอให้สิง่ศกัดิ์สทิธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจดัปัดเป่าสิง่ที่

ตนไมป่รารถนาให้สิน้ไป

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย (ต่อ)

ท่านาฏศิลป์ที่เกิดจากความเชื่อในสิ่งศกัดิ์สิทธ์

กําเนิดนาฏศิลป์ไทย (ต่อ)

3.ได้รับอารยธรรมจากประเทศอินเดยีการรับอารยธรรมจากประเทศอินเดีย เมื่อไทยมาอยูใ่นสวุรรณภมูิใหม ่ๆ มี

ชนชาติมอญและชนชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยูก่่อน ซึง่ชาติทัง้สองได้รับอารย

ธรรมของประเทศอินเดีย เมื่อไทยได้มีติดตอ่กบัชนชาติมอญและชนชาติ

ขอมอยา่งใกล้ชิด จงึได้รับอารยธรรมของประเทศอินเดียด้วย เช่นภาษา

ประเพณี ศิลปะการละคร ได้แก่ ระบํา ละคร และโขน

ศวินาฏราช พระศวิะร่ายรําเพ ื่อปราบอสูร

พระศิวะ (พระอิศวร) เป็นบิดาของพระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อมุาเทวีภาคศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้ เป็นใหญ่ในจกัรวาล หนึง่ในตรีมรูติ หรือ 3 มหาเทพสงูสดุแหง่ศาสนาพราหมณ์ฮินด ู(พระพรหม พระวิษณ ุพระศิวะ) และทรงเป็นเทพแหง่คีตา คือเทพเจ้าแหง่การดนตรี และการร่ายรําระบําฟอ้น

ศิวนาฏราชเป็นปางหนึง่ของพระศิวะ เป็นบรมครูของศิลปะการร่ายรําหรือนาฏยศาสตร์ของอินเดีย ความเชื่อวา่การเต้นรําของพระศิวะก่อให้เกิดปฏิกิริยาของการสร้างโลกและมนษุย์ศิวนาฏราชจะปรากฏให้ทา่ยา่งสามขมุ (ตรีวิกลม) ซึง่เป็น 1 ใน 108 ทา่ที่ออกแบบโดยพระศิวะ โดยมี สญัลกัษณ์ที่ปกรณ์ขวาถือกลองคือการสร้างโลก พระกรสายถือเปลวเพลงิล้อมเป็นกรอบคือการสิน้สดุที่ไฟจะเผาผลาญโลก

พระศิวะได้ทรงพนนักบัพระอมุาวา่โลกที่สร้างใหมแ่ขง็แรงหรือไมโ่ดยพระ

ศิวะทรงยืนขาเดียวบนก้อนหิน โดยที่ขาต้องไมต่ก ในขณะที่พญานาคแขวง

ลําตวัวิดนํา้ในมหาสมทุร ให้สะเทือนพระศิวะทรงชนะพระองค์ทรงสร้าง

โลกใหมด่้วยการเต้นรําบนก้อนหินนัน้ ในระหวา่งที่ทรงเต้นรําเกิดเปลวไฟ

และ นํา้หลัง่ไหลจากพระวรกายเป็นสิง่หลอ่เลีย้งชีวิต

พระศิวะในฐานะของบรมครูองค์แรกแหง่การร่ายรํา พระหตัถ์ขวา

ด้านบนทรงถือครองรูปร่างคล้ายๆนาฬิกาทรายกลอ่งเลก็ๆใบนีใ้ห้จงัหวะ

ประกอบการฟอ้นรําของพระศิวะและที่สําคญัไมแ่พ้กนัก็คือเสียงกลองเป็น

สญัลกัษณ์แทนธาตแุรกที่ถือกําเนิดขึน้ในจกัรวาลนัน้คือกองเป็น

สญัลกัษณ์แหง่การสร้างสรรค์สิง่ตา่งๆทัง้มวล

พระหตัถ์ซ้ายด้านบนถืออคันีเป็นสญัลกัษณ์แหง่การทําลายล้าง

โดยคําวา่ทําลายล้างในที่นีห้มายถงึล้างความชัว่ล้างอวิชาให้หมดไป เพื่อ

เปิดทางการสร้างสรรค์สิง่ตา่งๆขึน้มาใหม่

พระกรณ์และพระหตัถ์คูซ่้ายขวาซึง่แทนการสร้างสรรค์และการ

ทําลายล้างนีก้ลางออกไปในระดบัเสมอกนัอนับง่บอกถงึความหมายที่วา่

มีเกิดก็ยอ่มมีดบั นัน่เอง

พระหตัถ์ขวาด้านลา่งแบออก เรียกวา่ปางอภยัซึง่มีความหมายวา่

จงอยา่ได้กลวัเลยเพราะไมม่ีภยัใดๆจะมากลํา้กรายทา่นีบ้ง่วา่พระศิวะเป็น

ผู้ปกปอ้งอีกด้วย

สว่นพระบาทขวานัน้เหยียบอยูบ่นอสรูมลูาคนี ซึง่เป็นตวัแทนขอ

งอวิชาเมื่อเอาวิชาถกูเหยียบไมใ่ห้ผมขึน้มาบดบงัความจริงความรู้แจ้ง ก็จะ

ปรากฏขึน้นัน่เอง

วงกลมกลมที่หลอ่พระศิวะอยูก่็คือ ขอบเขตแหง่การร่ายรําอนัเป็น

ตวัแทนของจกัรวาลทัง้มวล โดยมีขอบด้านนอกเป็นเปลวไฟและมีขอบด้าน

ในเป็นนํา้ในมหาสมทุร พระศิวะในปางนาฏราชนีย้งัแสดงคูต่รงกนัข้ามกนั

เช่นกอง = สร้าง ไฟ = ทําลาย แม้พระศิวจะร่ายรําขยบัมือ ขยบัเท้าและแขนอยา่งตอ่เนื่อง แตพ่ระหตัถ์กบัสงบนิ่งเฉย เหมือนไร้ความรู้สกึซึง่เป็น

เสมือนการสอนวา่การเกิดดบัของสรรพสิง่ที่เกิดขึน้อยูโ่ดยตลอด

พระเกศาของพระศิวะยาวสยาย ปลวิสะบดัยื่นออกไปทางซ้ายขวา

เป็นสญัลกัษณ์แทนผู้ละทิง้ชีวิตทางโลก แตก่็มีพระคงคาและพระจนัทร์เป็น

เทพเพศชาย อ้างจากหนงัสือเทวะกําเนิด

พระพฆิเนศ

พระพฆิเนศ (ต่อ)

เชื่อกนัวา่พระพิฆเนศเป็นโอรสของพระศิวะ กบัพระศรีมหาอมุา

เทวีหรือพระแมอ่มุา พระพิฆเนศมีกายเป็นมนษุย์ มีเศียรเป็นช้าง อีกชื่อ

หนึง่จงึเรียกวา่ คชานนท์ มีงาช้างเดียว อ้วนเตีย้ ท้องพลุ้ย หยูาน พระ

วรกายสีแดง สขีาว สีเหลือง นุ่งหม่ภษูาแดง มี 4 กร ถือบว่งบาศ ขอสบัช้าง

และมีเทพศสัตราวธุอีกหลายชนิด ซึง่ได้รับประทานจากพระศิวะมี พาหนะ

บริวารคือหน ูนามวา่มสุกิะ

พระพฆิเนศ (ต่อ)

พระพิฆเนศเป็นมหาเทพผู้ทรงภมูิปัญญายิ่งใหญ่ ผู้ขจดัอปุสรรค

และอํานวยความสําเร็จในทกุสิง่ พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแหง่สากล ที่มีผู้

เคารพนบัถือมากที่สดุองค์หนึง่ในทัว่โลก ไมว่า่ในอินเดีย เนปาล ภฏูาน

ทิเบต มองโกล จีน ญี่ปุ่ น เกาหลี พมา่ ไทย เขมร อินโดนีเซีย พระพิฆเนศ

คือเทพเจ้าที่มีปรีชาชาญเฉลียวฉลาด มีฤทธานภุาพมากและทรงคณุธรรม

คอยปราบภยัพาลและอภิบาลคนดี อีกทัง้ยงัเป็นเทพผู้กตญัญถูงึพร้อมด้วย

ความดีงาม

พระพฆิเนศ (ต่อ)

พระพิฆเนศด้วยกายเป็นมหาเทพที่เกี่ยวข้องกบัวิถีชีวิตของคนไทย

มากองหนึง่นบัถือให้ทา่นเป็นประธานในการประกอบพิธีกรรมตา่งๆ เป็น

สญัลกัษณ์ประจํากรมศิลปากร วิทยาลยัช่างศิลป์ และสถาบนับณัฑิต

พฒันศิลป์ พิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ โขน ละคร พิธีไหว้ครูของควาญช้าง พิธี

ครอบครูเรียนสรรพวิชาตา่งๆ พิธีเปิดกล้องถ่ายภาพยนตร์ ต้องกลา่วบชูา

พระพิฆเนศก่อนจงึจะเป็นสิริมงคลและทํากิจการงานหรือเลา่เรียนสําเร็จ

พระพรตฤาษีพระพทมนุีเป็นมหาฤษี ผู้แตง่ตําราฟอ้นรําเป็นครูนาฏศิลป์ ผู้

รวบรวมทา่รําของพระศิวะ 108 ทา่พระพรหมมนุี ผู้รจนาคมัภีร์นาฏย

ศาสตร์ เป็นประโยชน์แก่การศกึษา การฟอ้นรํา ในอินเดียและประเทศ

ตา่งๆในภาคพืน้เอเชียอาคเนย์ซึง่มีประวตัิตามตํานานดงันี ้

พระพรตฤาษ ี(ต่อ)

ตํานานการฟอ้นรําของอินเดียตามที่ปรากฏใน โกยิ่ลปรุา ฉบบัอินเดียได้ กลา่ว ๆ ไว้วา่ในการหนึง่ฤๅษีกลุม่หนึง่ที่ตัง้อาศรมบําเพญ็พรตอยู ่กบัภรรยาในป่า ตาระคา ฤาษีพวกนีผ้ิดบตุรธิดา ภรรยาและสามีของกนัและกนั ซึง่เป็นการฝ่าฝืนเทวบญัญตั ิร้อนถงึพระอิศวรต้องชวนพระนารายณ์ลงมาปราบ พระอิศวรทรงแปลงเป็นโยคีหนุม่รูปงามพระนารายณ์ทรงแตงเป็นสาวแสนสวยภรรยาของโยคีหนุม่ ทัง้นีเ้พื่อลอ่ให้พวกฤาษีและภรรยาเกิดความหลงใหลในความงามด้วยอํานาจ ราคาจิต จนเกิดทะเลาะววิาทแยง่ชิงกนัในหมูฤ่าษีและภรรยานัน่เอง แตพ่ระเป็นเจ้าทัง้สองไมป่ลงใจด้วย เมื่อพวกฤาษีและภรรยาไม่ประสบความสําเร็จจงึบนัดาลโทสะกลา่วคําสาปพระเป็นเจ้าทัง้สอง แตพ่ระองค์หาได้รับอนัตรายแตอ่ยา่งใด พวกฤาษีจงึเนรมิต เสือขึน้เพื่อจะฆา่โยคีปลอมและภรรยาให้ตาย พระอิศวรฆา่เสือแล้วถลกหนงัมาทําเครื่องฉลองพระองค์เสีย

พระพรตฤาษ ี(ต่อ)

พวกฤาษีพากนัเนรมิตพญานาคขึน้อีกเพื่อพน่พิษใสโ่ยคีหนุ่มและ

ภรรยาพระอิศวรทรงจบัพญานาคนัน้มาพนัเป็นสงัวาลประดบัพระองค์

ตอ่จากนัน้ทรง กระทําปาฏิหาริย์ด้วยการเต้นรําอยูไ่ปมา แตพ่วกฤาษียงัไม่

สิน้ฤทธิ์เนรมิตยกัษ์คอ่มมีกายสีดําสนิทขึน้ตนหนึง่ชื่อ อสรูมยูะละคะ พระ

อิศวรเห็นดงันัน้ จงึใช้พระบาทขวาเหยียบยกัษ์ มยูะลาคะจนหลงัหกัแล้ว

ทรงฟอ้นรําอยูบ่นหลงัยกัษ์ตอนนัน้ตอ่ไปจนหมดขบวนฟ้อนรําที่ ฤๅษี เห็น

การ เปลี่ยนเป็นดงันีก้็สิน้ทิฐิ ยอมรับผิดทลูขอขมาโทษและให้สญัญาวา่จะ

ปฏิบตัิตนอยูใ่นเทวบญัญตัิอยา่งเคร่งครัดตอ่ไป

พระพรตฤาษ ี(ต่อ)

ในกาลสมยัตอ่มาพระอิศวรมีพระประสงค์ที่จะแสดงการฟอ้นรําให้

ปรากฏเป็นแบบฉบบัตามคําทลูขอของพระพรตมนุี ซึง่เป็นผู้ ได้รับพระ

บญัชามาจากพระพรม ให้เป็นผู้รวบรวมตําราการฟอ้นรําขึน้ในครัง้นี ้พระ

อิศวรเชิญพระอมุามาเป็นประธานเสดจ็ประทบัเหนือสวุรรณบลัลงัก์ ให้

พระสรุัสวดีดีดพิณ พระอินทร์เป่าขลุย่ พระพรหมตีฉิ่ง พระลกัษณ์มีขบัร้อง

และพระนารายณ์ตีโทนและพระอิศวรทรงฟ้อนรํา พระพรหมมนุีทรงบนัทกึ

ทา่ฟอ้นรําของภาคสว่นในทกุกระบวนทา่เพื่อเป็นตําราการฟ้อนรําแก่

มนษุย์สืบไป

พระพรตฤาษ ี(ต่อ)

ตํานานที่กลา่วมานีจ้ะเห็นได้วา่พระอิศวรทรงเป็นผู้ เชี่ยวชาญการ

ฟอ้นรําเป็นอยา่งยิ่ง ด้วยเหตนุีช้าวอินเดียจงึนบัถือพระอิศวรวา่ทรงเป็น

นาฏราช ในประเทศอินเดียที่ เมืองจิทมัพร มีเทวาลยัแหง่หนึง่ชื่อติทําพรแต่

ชาวบ้านนิยมเรียกเทวาลยัศิวะนาคราชสร้างขึน้ตัง้แตพ่.ศ. 1800 ภายใน

ช่องทางที่เดินเข้าสูต่วัเทวาลยัชัน้ในมีภาพแกะสลกัหินเป็นรูป ตวัระบํา

ผู้หญิงแสดงทา่รําตา่งๆร้อย 108 ทา่ ทา่รําตา่งๆเหลา่นีต้รงกบัที่กลา่วไว้ในตํารา นาฏยศาสตร์ ซึง่รจนาโดยพระพรตมนุีพราหมณ์เหลา่นีเ้ป็นท่ารํา

นาฏศิลป์อินเดียใช้เป็นแบบฉบบัในการฟอ้นรํา

ลักษณะเด่นของนาฏศิลป์ไทย

นาฏศิลป์ไทยเป็นศิลปะแบบอดุมคติ การดรูําไทย โขน ละคร ฟอ้น

รํา ทกุชนิดผู้ชมจะต้องอาศยัจินตนาการเข้าประกอบด้วย จงึจะเกิดความ

สนกุสนานและมีอารมณ์คอยตาม เป็นศิลปะที่มีความบนัเทิงใจ ด้วยการ

ร้องรําทําเพลง สรุปลกัษณะเดน่ได้ดงันี ้

1. มีรูปลักษณ์ด้านทศันศลิป์2. การเคลื่อนไหวมีลักษณะเด่น3. ถ้าเรามีความสัมพนัธ์กับดนตรี4. มีใบหน้าท ี่ใช้สื่อความหมาย

ลักษณะการเคลื่อนไหวของนาฏศิลป์ไทย

แบง่ได้ 2 ลกัษณะคือ

1. ลกัษณะของการเคลื่อนไหวที่ประดิษฐ์เป็นแบบแผนที่เรียกวา่นาฏยศพัท์

ได้แก่ ทา่รําแมบ่ท ทา่รําเพลงช้า เพลงเร็ว รําหน้าพาทย์

2. ลกัษณะของการเคลื่อนไหวที่เลียนแบบ เช่น เลียนแบบจากธรรมชาติ

ของสตัว์ บคุลกิภาพของตวัละครในวรรณคดีเรียกวา่ ภาษาทา่ทาง

นาฏศิลป์

นาฏยศัพท์

นาฏยศพัท์หมายถงึ คําที่เรียกใช้ในวงการนาฏศลิป์ไทย สามารถสื่อสารความหมายกนัได้ทกุฝ่ายในการแสดงตา่งๆ นาฏยศพัท์ ในนาฏศลิป์ไทยมีมากมาย และบางคําก็มีความหมายรู้การเฉพาะตวัแสดงพวกเดียวกนัเทา่นัน้เชน่ ในพวกมนษุย์ ตวัพระ ตวันาง ยกัษ์ และลงิ นอกจากนีก้ารแสดงนาฏศลิป์หรือการฟอ้นรํานัน้จะต้องเคลื่อนไหวอวยัวะตา่งๆในร่างกายให้สอดคล้องกลมกลืนกนั ไมว่า่จะเป็น ศีรษะ แขน ขา มือ และเท้า ซึง่อวยัวะแตล่ะสว่นก็จะมีนาฏยศพัท์โดยเฉพาะ ถ้าผู้ศกึษาหรือผู้ชมรู้นาฏยศพัท์ ก็จะชว่ยให้เข้าใจหรือรู้จกัลีลาที่งดงามของนาฏศลิป์ได้ เพราะผู้ ที่รํางามก็คือผู้ ที่ได้รําทําถ้าได้ถกูลกัษณะที่กําหนดไว้ตามนาฏยศพัท์นนัน้ ๆ และการเรียนรู้นาฏยศาสตร์จะต้องอาศยัการเรียนโดยการปฏิบตัปิระกอบด้วยจงึจะได้ผลดีที่สดุ

ประเภทของนาฏศิลป์ไทย

ราชบณัฑิตยสถาน ได้แบง่ประเภทของนาฏศิลป์ไทยออกเป็น 2

ประเภทคือ

1. ระบํา เป็นการร่ายรําตามจงัหวะเพลงที่พร้อมเพียงงดงามดแูล้ว

เพลดิเพลนิสนกุสนานมีระบําเดี่ยวระบําคูแ่ละระบําหมู่

2. ละคร คือการแสดงรําที่เป็นเรื่องราวดําเนินไปโดยลําดบั แบง่เป็นละคร

ไทยแท้ ละครโนราห์ ละครนอก ละครใน ละครพนัทางละครดกึดําบรรพ์

และโขนละครที่รับอิทธิพลจากทางประเทศตะวนัตก ละครร้อง ละครพดู

ละครพดูสลบัลําและละครสงัคี ในที่นีจ้ะนําเสนอแบง่ออกเป็น 3 หวัเรื่องคือ

ประเภทของนาฏศิลป์ไทย(ต่อ)

1. รําและระบํา ไดแ้ก่ รําเดี่ยว รําคู่ รําหมู่ และรําอาวธุ ส่วนระบาํ

ไดแ้ก่ ระบาํมาตรฐาน ระบาํเบด็เตลด็และระบาํพื้นเมือง

2. ละคร ไดแ้ก่ ละครแบบมาตรฐาน ละครปรับปรุง

3. โขน ประเภทต่างๆ

ระบํา

ระบํา คือการแสดงเป็นชดุเป็นหมูไ่มไ่ด้แสดงเป็นเรื่องราวทา่รําคํานงึถงึความประสานกลมกลืนและความพร้อมเพรียง

ระบํา ธรรมชาตขิองมนษุย์เ มื่อดีใจมากทํากิริยากระโดดโลดเต้นไปมาเ ชน่ แสดงความดีใจในชยัชนะกบัสิง่ใดสิง่หนึง่ ในบางครัง้ก็จดัเฉลมิฉลองในความสําเร็จ คนไทยแตเ่ดมิคงผกูพนักบัธรรมชาตแิละสิง่นอกเหนือธรรมชาติดงันัน้ เพื่อเป็นการเอาใจธรรมชาตหิรือการแสดงการเคารพบชูาตอ่สิง่ที่ตนนบัถือ ก็จะมีการแสดงระบํา รํา ฟอ้น เพื่อบวงสรวงที่ได้รับความสําเร็จและความสขุตามมาที่ปรารถนา ในขัน้ต้นการแสดงระบําเพื่อบชูาสิง่ศกัดิส์ทิธิ์คงไมพ่ิถีพิถนัเทา่ไหร่นกั ตอ่มาจงึปรับปรุงให้งามขึน้จนเป็นสิง่ที่มีไว้ในสงัคมมนษุย์เพื่อดเูลน่และความเพลนิใจ

ลักษณะของระบํา

การแสดงระบํามีลกัษณะที่สําคญัดงันีเ้ ป็นการแสดงหมู ่คือตัง้แต ่2 คนขึน้ไปกระบวนทา่รําสมบรูณ์ในตวัเอง ในแตล่ะชดุโดยไมต่้องแสดงเป็นเรื่อง กระบวนทา่รําจะมีทา่ทางหลากหลายแตใ่นบางครัง้ ทําทา่เดมิซํา้อยูห่ลายจงัหวดั เชน่ ระบําโบราณคดีระบําสตัว์ตา่งๆ

การแสดงรื่นเริง เชน่ ระบําไกรลาศสําเริง ระบําดาวดงึส์

แสดงกิริยาอาการของสตัว์ เชน่ ระบําไก่ ระบําม้า ระบําวมิานภิรมย์

แสดงความสมัพนัธ์ระหวา่งประเทศเพื่อนบ้าน เชน่ ระบําจีน – ไทยไมตรี ระบําพมา่‐ไทยอธิษฐาน และ

แสดงความเข้มแขง็และฮกึเหิมในการเตรียมพร้อม เชน่ระบําวีรชยัเสนยกัษ์ ระบํากราววีรสตรี

ลักษณะของระบํา(ต่อ)

กระบวนทา่รํามกัจะเริ่มจากจงัหวะช้า ตอนท้ายจะเป็นจงัหวะเร็ว กระบวน

ทา่รําจะอาศยัการเปลี่ยนแปรแถวมาก เช่น การเข้าวงรวมกลุม่แยกกลุม่

ยอ่ยเดินสลบัซ้ายขวา

ประเภทของระบําจดัเป็น 3 ประเภทคือ

1. ระบํามาตรฐาน หมายถงึ การแสดงที่มีลกัษณะการแตง่กายแบบยืนเครื่อง ตวัพระและตวันาง ตลอดจนทา่รํา เพลงร้อง และดนตรีที่มี

กําหนดไว้เป็นแบบแผนลกัษณะเฉพาะตวั เช่น ระบําสี่บท ระบํายอ่งหงิด

ระบําดาวดงึส์ ระบํากฤดาภินิหาร ระบําเทพบนัเทิง ซึง่ระบําเหลา่นีเ้ป็น

ระบําที่มีทา่รําพิถีพิถนัเพราะแตง่กายเป็นเทวดานางฟา้เสมือนวา่ผู้ นําไมใ่ช่

มนษุย์ธรรมดา จงึได้ชื่อวา่ระบํามาตรฐาน

ประเภทของระบําจดัเป็น 3 ประเภท

2. ระบําเบ็ดเตล็ด หมายถงึ การแสดงที่มีการแตง่กายตาม

รูปลกัษณ์ของการแสดงนัน้หรือการแสดงเฉพาะท้องถิ่น เช่น ระบํากินรีร่อน

ระบําชมุนมุเผา่ไทย ระบําสตัว์ตา่งๆ ระบํามิตรสมัพนัธ์กบัประเทศตา่งๆ

เป็นต้น

ประเภทของระบําจดัเป็น 3 ประเภท

3. ระบําพืน้เมือง หมายถงึ ศิลปะการแสดงที่สะท้อนให้เห็นภาพ

ความเป็นอยูว่ิถีชีวิตคา่นิยมความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณี สภาพ

เศรษฐกิจสงัคมของแตล่ะท้องถิ่นซึง่มีความแตกตา่งกนัออกไป ตาม

ลกัษณะภมูิประเทศ สามารถบง่บอกเอกลกัษณ์ได้อยา่งชดัเจนในปัจจบุนัมี

การปรับปรุงเพื่อให้เหมาะกบัการแสดงบนเวที ลกัษณะระบําพืน้เมือง 4

ภาคมีดงันี ้

ภาคเหนือ

ภาคเหนือมีลกัษณะ รามเน้นให้เห็นถงึความออ่นช้อยนุ่มนวล

ทว่งทํานองเพลงและจงัหวะคอ่นข้างช้า ตามลกัษณะภมูิภาคซึง่มี

บรรยากาศอบอุน่ การเคลื่อนไหวสมํ่าเสมอ ก้าวเท้าไปเรื่อยๆ มือเปลี่ยนไป

เรื่อยๆ เช่น ฟอ้นเงีย้ว ฟอ้นสาวไหม ฟอ้นเลบ็ ฟอ้นเทียน และระบําเก็บใบ

ชาเป็นต้น

ภาคเหนือ

ฟ้อนเล็บ

ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือ

ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือ ภมูิประเทศเป็นที่ราบสงูอากาศร้อน การ

ดําเนินชีวิตต้องรวดเร็ วการแสดงจงึเน้นความสนกุสนาน ดนตรีมีจงัหวะเร้า

ใจเคลื่อนไหวด้วยสะโพกและทกุสว่นของร่างกาย เช่น การเซิง้ตา่งๆ เซิง้

สวิง และฟอ้นภไูทเป็นต้น

ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือ

รําเซิ้ง

ภาคกลาง

ภาคกลาง ภมูิประเทศเป็นที่ราบลุม่ใกล้แมน่ํา้การแสดงสว่นใหญ่

แสดงตามฤดกูาลตา่งๆ และสะท้อนภาพความเป็นอยู ่เช่น รําเกี่ยวข้าว

รําเหยอ่ย รํากลองยาว

ภาคใต้

ภาคใต้ ภมูิประเทศอยูใ่กล้ทะเลมี ภเูขา ป่าไม้ การแสดงเน้น

จงัหวะหนกัชดัเจนกระชบั เช่น โนราหนงัตะลงุ และจากที่ได้รับอิทธิพลจาก

ประเทศเพื่อนบ้านจงึมีการแสดงที่ตา่งออกไปซึง่เน้นจงัหวะการเต้น เช่น

รองเง็งตารีกีปัสหรือการแสดงในลกัษณะศิลปาชีพเป็นต้น

ละคร

ละครเรื่องอิเหนา ตอนลานางจินตหรา

ละคร

ละครมีบทบาทในชีวิตมนษุย์มาแตโ่บราณ นบัแตม่นษุย์เริ่มพฒันาการขัน้พืน้ฐานเริ่มรู้จกัแสดงออกด้วยทา่ทางการเคลื่อนไหวนํา้เสียงเริ่มเห็นความสําคญัของการอยูเ่ป็นหมูเ่หลา่

อริสโตเติลกลา่วถงึ สญัชาตญาณหรือความสามารถพิเศษในการเรียนแบบของมนษุย์ซึง่เขาถือวา่เป็นบอ่เกิดของละครไว้ในหนงัสือเรื่อง politics เป็นใจความวา่ มนษุย์มีสญัชาตญาณเรียนแบบมาแตก่ําเนิดซึง่ทําให้มนษุย์มีความเป็นเลิศเหนือสตัว์ทัง้ปวง และสามารถเรียนรู้สิง่ตา่งๆในชีวิตได้ฉะนัน้มนษุย์ จงึมีความชื่นชมในผลงานที่เกิดขึน้จากความสามารถในการเรียนแบบนี ้

ละคร

นอกจากมนษุย์จะมีความสามารถสงูในการเรียนแบบแล้ว มนษุย์

อยา่งจะชอบแสดงออก เช่น ในสมยัก่อนประวตัิศาสตร์มนษุย์ก็สามารถนํา

ความสามารถในการแสดงออกไปใช้ประโยชน์ในการดํารงชีวิตหลาย

ประการ เช่น

1. ใช้ประโยชน์ในการเลา่เรื่องแทนภาษาพดูที่ยงัไมส่มบรูณ์

2. ใช้ในพิธีศกัดิ์สทิธิ์ตา่งๆเพื่อสร้างขวญัและกําลงัใจ

3 .ใช้ในการแสดงอารมณ์เพื่อเฉลมิฉลองและยกยอ่ง

ความหมายของละคร

ความหมายของละคร ศิลปะการละครเป็นคําที่มีความหมายกว้าง

และได้รวมเอาศิลปะการแสดงประเภทตา่งๆผสมผสานเข้าด้วยกนั ซึง่คํา

นิยามของละครนัน้ สรุปได้วา่ละครคือการแสดงรูปแบบหนึง่เป็นรูปประ

ธรรมมีเรื่องราวที่ชดัเจนสามารถสื่อให้ผู้ รับชมเข้าใจและเข้าถงึความหมาย

ที่ต้องการจะ บอกเพื่อให้คนดเูกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและ

พฤติกรรมในทางที่ดีขึน้กบัชีวิตและสงัคมของตน

คุณค่าและความสําคญัของละคร

ละครถือได้วา่มีความสําคญตัง้แตอ่ดีต โดยพระบาทสมเดจ็พระ

มงกฎุเกล้าเจ้าอยูห่วั ได้นําเอาละครมาใช้สื่อเพื่อสร้างคา่นิยมเผยแพร่

แนวคิดที่มีประโยชน์ให้ประชาชนได้ชม ในสมยัจอมพล ป. พิบลูสงครามได้

สง่เสริมและสนบัสนนุการใช้สื่อละครเพื่อการเมืองอยา่งมากโดยให้หลวง

วิจิตรวาทการ แตง่บทละครตา่งๆเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างชาติและแทรก

แนวคิดชาตินิยมจงึมีอิทธิพลตอ่การสร้างวฒันธรรมชาตินิยมและยงัคงสืบ

ทอดมาถงึปัจจบุนัคือเพลงปลกุใจและสํานวนตา่งๆในบทละครตลอดจน

แนวความคิดในการทําละครอิงประวตัิศาสตร์ในปัจจบุนั

คุณค่าและความสําคญัของละคร

คณุคา่และประโยชน์ของละคร คือทําให้เกิดความบนัเทิงเพลดิเพลนิสนกุสนาน คลายความเครียดมีความสขุ สมองแจม่ใส จิตใจร่าเริง และชว่ยให้ความรื่นรมย์แก่ผู้ชมในแงค่ดิด้านตา่งๆในการดําเนินชีวติ จะเหน็ได้วา่ละครเป็นการรวมศลิปะหลายแขนงเข้าด้วยกนั นบัตัง้แตศ่ลิปะการประชาสมัพนัธ์การแสดงการกํากบัการแสดงการออกแบบสร้างฉากและเครื่องแตง่กายการออกแบบและจดัแสงศลิปะด้านดนตรีการร่ายรําหรือการเต้นรําตามแตล่กัษณะของละคร ลกัษณะที่ขาดไมไ่ด้ของศลิปะการละครคือการสื่อสารกนัในระดบัความรู้สกึซึง่ยากตอ่การตีความวเิคราะห์และถ่ายทอดด้วยภาษาสอนเพราะมนัเป็นภาษาที่เกิดขึน้ในปัจจกัแจ้งก่อนหน้าตอ่ตา สมัพนัธ์ในทนัที ของกระบวนการความสมัพนัธ์ของมนษุย์ ผู้ดผูู้แสดงโดยไมม่ีสื่อใดมาขวางกัน้

ประเภทของละคร

ละครเป็นสิง่ที่มนษุย์เป็นผู้สร้างขึน้มีรูปแบบการเลน่หรือการแสดง

ที่มีลกัษณะเป็นขัน้ตอน กระบวนการ เพื่อสื่อสารให้มนษุย์ด้วยกนัเองรับรู้

เรื่องราวความเป็นไปที่เกี่ยวข้องกบัเทพเจ้า มนษุย์ สงัคม ประวตัิศาสตร์

วฒันธรรม ความเชื่อ คา่นิยม โดยผา่นการแสดงหรือการกระทําของผู้ เเสดง

ขณะเดียวกนั ก็สอดแทรกความสนกุสนานเพลิดเพลนิให้แก่ผู้ชมไปด้วยซึง่

แบง่ประเภทละครไว้ดงันี ้

ประเภทของละคร

1. ละครรํา คือละครที่ใช้ศลิปะการร่ายรําในการดําเนินเรื่องแบง่เป็น 2 ประเภทคือ

1.1 ละครแบบดัง้เดมิหรือละครมาตรฐานเป็นละครที่เกิดขึน้มานานและเป็นแบบแผนในการพฒันาไปสูล่ะครยคุตอ่มามี 3 ชนิดคือ ละครชาตรี ละครนอกละครใน

1.2 ละครที่ปรับปรุงขึน้ใหมเ่ป็นละครที่ปรับปรุงขึน้มาเมื่อภายหลงัสว่นใหญ่จะเกิดใน สมยัรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 รอรับอิทธิพลจากตะวนัตกมี 3 ชนิดคือ

1. ละครดกึดําบรรพ์

2. ละครพนัทาง

3. ละครเสภา

ประเภทของละคร

2. ละครร้อง คือละครที่ใช้ศิลปะการร้องดําเนินเรื่องเป็นละครแบบใหมท่ี่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวนัตกมี 2 ชนิดคือ

2.1 ละครร้องสลบัพดูมีทัง้บทร้องและบทพดูเช่น เรื่อง ตุ๊กตายอดรักและภารตะ

2.2 ละครร้องล้วนล้วน ๆ ดําเนินเรื่องด้วยการร้องเพลงล้วน ๆไมม่ีบทพดูแทรก เช่นเรื่องสาวิตรี สาวเครือฟา้ ละครร้อง เป็นละครของเอกชนเกิดขึน้ภายหลงัการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ. ศ. 2475 โดยปรับปรุงจากเพลงไทยเดิมทํานองเลื่อนมาเป็นเพลงไทยสากลไมม่ีทํานองเลื่อนบรรเลงด้วยวงดนตรีสากล

ประเภทของละคร

3. ละครสังคตี ดําเนินเรื่องด้วยการร้องและพดูมีความสําคญั

เทา่กนัตดัอยา่งใดอยา่งหนึง่ออกไมไ่ด้จะทําให้เนือ้ขาดไป เช่นเรื่องวิวาห์

พระสมทุร วงัตี

ในรัชกาลที่ 5 ดําเนินเรื่องด้วยการพดูแล้วล้วนกิริยาท่าทางอยา่งธรรมชาติ

ประเภทของละคร

4. ละครพูด เกิดขึน้ในรัชกาลที่ ๕ ดําเนินเรื่องด้วยการพดูล้วนล้วนๆใช้กิริยาทา่ทางอยา่งธรรมชาติ

5. ละครเวท ีคือรูปแบบหนึง่ของการแสดงสดประพนัธ์โดยนกัเขียนบทละครเป็นรูปแบบของวรรณกรรม โดยมากมกัจะมีบทพดูกนัระหวา่งตวัละครซึง่มีลกัษณะการแสดงมากกวา่การอา่น คาดกนัวา่ละครเวทีมีตัง้แต่สมยักรีก อริสโตเติลบนัทกึไว้วา่ ละครของกรีกเริ่มต้นขึน้จากการกลา่วคําบชูาเทพเจ้า ไดโอนีซสุเทพเจ้าแหง่ไวน์และความอดุมสมบรูณ์จดุเดน่ของละครเวที คือการสื่อสารระหวา่งผู้ชมกบันกัแสดงการสื่อสารระหวา่งผู้ชมและนกัแสดงเกิดขึน้ไปพร้อม ๆ กนั

ประเภทของละคร

องค์ประกอบของละครเว ทีคือการแสดงสดบนเวทีที่มีฉาก แสง สี

เสียง ประกอบและบทละคร คือสว่นที่สําคญัที่สดุในการทําละครทกุชนิด

โดยเฉพาะอยา่งยิ่งละครเวทีเพราะมนัคือตวักําหนดองค์ประกอบทกุอยา่ง

ในละครไมว่า่จะเป็นโครงของเรื่อ งสีสนัของฉาก ของเสือ้ผ้าและรวมไปถงึ

การแสดงของนกัแสดง ตวัอยา่งละครเวทีเช่น เรื่องผ้าหม่ผืนสดุท้ายแสดงที่

เมืองไทยรัชดาลยัเธียเตอร์ เรื่องเพื่อชาติแสดงที่สถาบนัปรีดี พนมยงค์

เรื่องมานีและชใูจ แสดงที่โรงละครอกัษราคิงพาวเวอร์

โขน

โขน

โขน เป็นศิลปะโบราณของไทย มีมาตัง้แตร่าวพทุธศตวรรษที่ 20 โดยถือกําเนิดมาจากการแสดง ชกันาคดกึดําบรรพ์ หนงัใหญ่และการเลน่กระบี่กระบองแตเ่ดิมผู้แสดงทกุตวัสวมหวัโขน เป็นหน้ากากปิดหน้าหมดทัง้หน้า ในการเลน่โขนจงึต้องมีผู้ออกเสียงแทนผู้แสดงเรียกวา่ คนพากย์เจรจา ผู้แสดงต้องทําทา่เต้นรําทําอริยบทไปตามคําพากย์คําเจรจา และบทขบัร้องและตอ่มาการเลน่โขนได้วิวฒันาการให้ผู้แสดงเป็นผู้มนษุย์ชายหญิง เทวดา นางฟา้ สวมแตง่เครื่องประดบัศีรษะ ไมใ่ช้หน้ากากปิดหน้าอยา่งผู้แสดงตวัยกัษ์และลงิ ก็ยงันิยมให้ผู้ภาพเป็นคนออกเสียงแทนผู้แสดงอยูอ่ยา่งเดิม เรื่องที่แสดงคือ รามเกียรติ์ ใช้วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการแสดง

โขน

เอกลกัษณ์ของโขนไทย สนันิษฐานวา่ได้แบบอยา่งมาจากศิลปะ

การละเลน่ 3 อยา่ง คือ การละเลน่ชกันาคดกึดําบรรพ์ โขนได้แบบอยา่ง

เครื่องแตง่กายซึง่มีทัง้เทวดารวมมนษุย์ชาย หญิง ยกัษ์ ลงิ มาใช้หนงัใหญ่

โขนได้แบบอยา่งการเต้นการยกขาให้เข้ากบัทว่งทํานองจงัหวะของเพลงมา

ใช้และการเลน่กระบี่กระบองโขนได้แบบอยา่งทา่ทางการตอ่สู้มาใช้โขน

แบง่ประเภทได้ดงันี ้

โขน

โขนกลางแปลง คือ โขนที่เกิดขึน้ในยคุแรก คงจะเลน่กนักลาง

สนาม เช่นเดียวกบัการเลน่ชกันาคดกึดําบรรพ์เป็นโขนที่เรียกกนัในชัน้หลงั

วา่โขนกลางแปลงกลา่วคือเป็นการแสดงโขน บนพืน้ดินกลางสนามไมต่้อง

สร้างโรงเลน่นิยมแสดงแตต่อนยกทพัมารบกนั ระหวา่งฝ่ายพระรามและ

ฝ่ายทศกณัฐ์ มีบทพากย์บทเจรจาแตม่ีบทร้อง

โขน

โขนโรงนอกหรือโขนนั่ งราว คือโขนโรงนอกเป็นโขนที่จดัแสดง

บนโรงไมม่ีเตียงสําหรับตวันายโรงนัง่ มีราวผ้าตามสว่นยาวของโรงตรงหน้า

ฉากมีทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบแล้ว ตวัโรงมกัมีหลงัคาตวัโขนแสดงบทบาท

ของตนแล้วก็ไปนัง่ประจําที่บนราวไมม่ีบทขบัร้อง มีแตบ่ทพากย์และบท

เจรจาเพราะต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์มากจงึใช้วงปี่พาทย์ 2 วง วงหนึง่

ตัง้หวัโรง วงหนึง่ตัง้ท้ายโรง หรือต้องทางซ้ายและทางขวาของโรงจงึเรียกปี่

พาทย์ 2 โมงนีว้า่วงหวัวงท้าย หรือวงซ้ายลงขวา

โขน

โขนหน้าจอ คือโขนที่เลน่ตรงหน้าจอหนงัใหญ่ซึง่แตเ่ดิมถงึไว้

สําหรับเลน่หนงัใหญ่ ซึง่เวลาตอนบา่ยมกันิยมเลน่ หนงัจบัระบําหน้าจอ

ตอ่มาภายหลงัเมื่อใช้จอนีเ้ป็นที่แสดงโขนแล้วก็มีการพฒันาจอ โดยนิยม

ทําเป็น จอแขวะ คือจอทัง้สองข้างทําเป็นช่องประตเูข้าออกวาดรูปเป็นซุ้ม

ประตดู้านขวาของผู้ดวูา่เป็นรูปปราสาทราชวงั สมมตุิเป็นกรุงลงกา

ด้านซ้ายวาดเป็นรูปคา่ยพลบัพลาของพระรามมีรัว้ลกูกรงล้อมรอบไปเขต

กัน้คนดมูีให้ขึน้ไป เกาะแกะคนเลน่

โขน

โขนโรงใน คือคนที่ได้รับการปรับปรุงผสมผสานกบัการแสดง

ละครใน มีทางทา่รําเต้นและมีบทพากย์บทเจรจาตามแบบโขนอีกทัง้นํา

เพลงขบัร้องและเพลงประกอบกิริยากลางของดนตรีแบบละครใน และ

ระบํารําฟอ้นมาผสมด้วย ก่อนที่กรมศิลปากรนําออกแสดงในปัจจบุนันีล้้วน

แตม่ีลกัษณะเป็นโขนโรงในทัง้สิน้หรือที่นําออกไปเลน่กลางแจ้งบนโรง

หน้าจอเป็นครัง้คราวก็แบบโขนในโรงใน

โขน

โขนในฉาก คือการจดัฉากเป็นศิลปะที่ไทยรับมาจากตะวนัตก

โขนฉากจงึเกิดขึน้สมยัรัชกาลที่๕เองโดยมีผู้ คิดสร้างฉากประกอบการแสดง

โขนบนเวทีขึน้คล้ายกบัละครดกึดําบรรพ์ และผู้แรกเริ่มคิดจดัฉากเข้าใจกนั

วา่คือสมเดจ็พระเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานวุดัติวงศ์มีการเขียนบทโดย

แบง่เป็นฉากเป็นองค์การประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึน้ให้เข้ากบัเหตกุารณ์และ

สถานที่ในท้องเรื่อง แตเ่รื่องที่ใช้สําหรับเลน่โขนตามที่รู้จกักนัแพร่หลาย

มากจนบดันีค้ือเรื่องรามเกียรติ์

ความรู้ทัว่ไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์สากล

นาฏศิลป์สากล คือนาฏศิลป์ที่มีพืน้ฐานจากการแสดงบลัเลต่์ เป็น

หลกัซึง่เกิดขึน้ในทวีปยโุรปและเผยแพร่พฒันาไปสูแ่ถบทวีปอเมริกาซึง่

นาฏศิลป์สากลนี ้มีขอบขา่ยถงึการแสดงพืน้เมืองของประเทศตา่งๆด้วยซึง่

เป็นรูปแบบการพฒันาการศนูย์นาฏศิลป์สากลในปัจจบุนั

ทีม่าของนาฏศิลป์สากล

นาฏศิลป์สากลเน้นการเต้น ซึง่เป็นศิลปะที่เก่าแก่ที่สดุแหง่หนึง่

ของโลกพฒันามาตัง้แตส่มยัก่อนประวตัิศาสตร์ ในรูปแบบของการแสดง

ความรู้สกึและปฏิกิริยาตอบโต้ มนษุย์ดกึดําบรรพ์แสดงทา่ล้อเลียนสตัว์

และปรากฏการณ์ตา่งๆทางธรรมชาติ กระโดดเป็นจงัหวะเพื่อเป็นการเอา

ใจหรือบวงสรวงบชูาหรือพลีกรรมตอ่พลงัอาถรรพณ์ของธรรมชาติ การ

เต้นรําในสมยันัน้มกัจะมีเนือ้หาเกี่ยวกบัสงครามการตอ่สู้หรือทกุข์ผีปีศาจ

ทีม่าของนาฏศิลป์สากล

จะกลา่วได้วา่พฒันาควบคูไ่ปกบัการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของ

โลกแม้แตใ่นคมัภีร์ไบเบิลยงัมีหลายบทหลายตอนที่กลา่วถงึการเต้นรําและ

เช่นเดียวกนั อารยธรรมกรีกโบราณได้ใช้การเต้นรําเป็นสื่อแสดงออกของ

จิตใจและร่างกายอยา่งสมดลุ การเต้นรําได้กลายมาเป็นสว่นสําคญัในการ

ฉลองการแตง่งาน พิธีทาง ศาสนา กองทพัหรือแม้กระทัง่งานศพเป็นสิง่ที่

ก่อให้เกิดความเป็นอนัหนึง่อนัเดียวกนัหรือเป็นศนูย์รวมที่สําคญัของมนษุย์

ประเภทของนาฏศิลป์สากล

นาฏศิลป์สากลที่จะกลา่วถงึในที่นีแ้บง่ออกเป็น 3 ประเภทคือ

1. บนัเลต์

2. การเต้นร่วมสมยั

3. การเต้นพืน้เมือง

บัลเล่ต์

บัลเล่ต์

บลัเลต่์หรือระบําปลายเท้ามีรากฐานมาจากภาษาอิตาเลียน แตท่ี่

ใช้ในปัจจบุนัเป็นภาษาฝรั่งเศส สืบเนื่องมาจากพฒันาการทาง

ประวตัิศาสตร์ที่เริ่มมีขึน้ในราชสํานกัอิตาลีมาเจริญเติบโตในประเทศ

ฝรั่งเศส ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 เกิดการแสดงแพร่หลายในราชสํานกั

มีรูปแบบเป็นการแสดงชดุสัน้ ๆ ซึง่ประกอบด้วยนกัร้องและนกัเต้น การ

เคลื่อนไหวของบลัเลต่์

บัลเล่ต์

ทา่พืน้ฐานทา่ทางมี 5 ทา่ทา่แขนมี 7 ทา่ทิศทางใช้ทัง้ 8 ทิศการยืนในมมุ

ตา่งๆบนเวทีมี 2 ลกัษณะ คือ หนัหน้าไปหาคนดแูละหนัหน้าไปหามมุท่า

ศีรษะมี 5 ลกัษณะคือศีรษะตัง้ตรงศีรษะเวียนศีรษะไปด้านซ้ายเงยศีรษะ

และก้มศีรษะประเภทของบลัเลต่์แบง่ประเภทของบลัเลต่์ไว้ 3 ประเภทคือ

โรแมนติกบลัเลต่์ คลาสสคิ บลัเลต่์ และ โมเดิร์นบลัเลต่์

การเต้นร่วมสมยั

ศตวรรษที่ 20 สว่นใหญ่เกิดขึน้ในอเมริกามีเทคนิควิธีการเต้น

แตกตา่งกนัออกไปแตส่ว่นใหญ่อาศยัพืน้ฐานของการเต้นบลัเลต่์ ซึง่มี

มากมายหลายประเภทจงึนําเสนอในที่นีม้ีดงันี ้คอนเทมโพลารีดานซ์ ลีลาศ

เต้นแจ๊ส เต้นแท็ป

คอนเทมโพลารีดานซ์

คอนเทมโพลารีดานซ์

เป็นรูปแบบการเต้นสมยัใหม ่โดยอาศยัพืน้ฐานจากบลัเลต่์ ลด

ความยากของบลัเลต่์ลง ซึง่เกิดขึน้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ลกัษณะการ

เต้นประเภทนีเ้น้นลีลา เพลงความยืดหยุน่ โดยใช้นกัเต้นผู้ออกแบบฉาก

เครื่องแตง่กาย คีตกวีมาเป็นผู้สร้างสรรค์งานให้สมดลุในแนวทางของ

ตนเองมีจงัหวะทา่ทางแสดงท่าที่สะท้อนถงึอารมณ์การเต้นรํามีความ

แตกตา่งในเรื่องเพศ คือ ผู้ชายที่เคลื่อนไหวได้อยา่งเปิดเผยมากกวา่ผู้หญิง

การแตง่กายในการแตง่กายแนบเนือ้หรือเสือ้ผ้าที่เรียบงา่ยสว่นการ

ออกแบบฉากหนึง่ความเรียบงา่ยหรือบางครัง้ไมม่ีฉากประกอบอา่นมี

อปุกรณ์ประกอบการแสดง

ลีลาศ

ลีลาศ

การเต้นลีลาศการเต้นรํา ที่ถือเป็นกิจกรรมทางสงัคมอยา่งหนึง่ซึง่ถือกําเนิดมาตัง้แตส่มยัโบราณโดยในแตล่ะประเทศก็จะมีจงัหวะการเต้นรําของตวัเองตอ่มาได้มีการรวบรวมการเต้นรําจากหลายประเทศมาวางรูปแบบให้เป็นมาตรฐานและแบง่แยกออกเป็น 2 ประเภทคือ

standard และ Latin American ซึง่มีการใช้แพร่หลายโดยเฉพาะในทวีปยโุรปและมีการรวมกลุม่จดัตัง้องค์กรขึน้มาปัจจบุนัมีศนูย์กลางอยูท่ี่ประเทศองักฤษประเทศเยอรมนัและสวิตเซอร์แลนด์จงัหวะลีลาศที่เป็นที่รู้จกักนัทัว่ คือ วอลส์ เกิดที่ออสเตรเลีย แทงโก้เป็นจงัหวะจากประเทศอาร์เจนตินาสําหรับประเทศไทย ได้แก่ ตะลงุ

การเต้นแจ๊ส

การเต้นแจ๊ส

กลุม่ชาวแอฟริกาอเมริกนั ที่ได้แรงบนัดาลใจมาจากการเต้น

พืน้เมืองของแอฟริกาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 จนถงึปี ค.ศ 1941

ได้รับการพฒันาเป็นรูปแบบของวงดนตรีและการเต้นของคนผิวดําใน

อเมริกาและพฒันา เป็นการเต้นที่ได้รับความนิยมทัง้คนผิวขาวและดําจน

เผยแผไ่ปสูท่วีปยโุรป

การเต้นแท็ปแดนซ์

เป็นการเต้นที่เกิดขึน้ในประเทศสหรัฐอเมริกาแตพ่ฒันาอยา่งสงูสดุ

ที่องักฤษซึง่การเต้น แจ๊ส ในอเมริกานัน้จากประเทศน่าไปตามการเต้นแจ๊ส และการเต้นขององักฤษจะพฒันาตามของชาวไอริส และการเต้นร้อนใน

องักฤษอปุกรณ์ที่สําคญั คือรองเท้าที่ติดโลหะที่เท้า เพื่อให้เกิดเสียงเป็น

จงัหวะ รับกบัดนตรี

การเต้นพืน้เมือง

ระบําพืน้เมือง เป็นระบําที่มีการร่ายรําเหนือการเต้นเกี่ยวกบั

กิจกรรมตามสภาพแวดล้อมภมูิประเทศวฒันธรรมศาสนาซึง่สะท้อนให้เห็น

ถงึขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยูใ่นกลุม่ชนในสงัคม

เหลา่นัน้ เช่น แสดงออกถงึความศรัทธาตอ่ศาสนา อาชีพ การเกีย้วพาราสี

เป็นการเชื่อมโยงระหวา่งอดีตกบัปัจจบุนั เป็นศิลปะการแสดงที่ชาวบ้านคิด

ประดิษฐ์สร้างสรรค์จากแรงบนัดาลใจ ทา่เต้นทา่ร่ายรํา การแตง่กายจงึมี

ความแตกตา่งกนัไปตามสภาพของกลุม่ชนในท้องถิ่นนัน้ๆ

การเต้นพืน้เมือง

รวมกนัทัง้ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงหรืออาจเป็นหญิงล้วนหรือชาย

ล้วนใช้เครื่องดนตรีพืน้เมืองที่มีจงัหวะชดัเจนทํานองงา่ยๆเพื่อความ

พอเพียงในการรําเต้นบทร้องอาจจะมีหรือไมม่ีก็ได้เครื่องประกอบจงัหวะ

ใช้การตบมือหรืออปุกรณ์ที่หาได้งา่ยในท้องถิ่นการเลน่หรือแสดงการตาม

ฤดกูาลในโอกาสตา่งๆเน้นที่ความด้วยเรือสนกุสนาน

ตวัอยา่งเช่น การแสดงพืน้เมืองประเทศโปแลนด์

การเต้นพืน้เมือง

การแสดงเต้นพืน้เมืองโปแลนด์

การเต้นพืน้เมือง

เป็นประเทศที่อยูใ่นทวีปยโุรปตะวนัออกการ แตง่กายด้วยโทนสีขาว ดํา แดง นกัแสดงหญิงจะแตง่กาย สวมเสือ้เชิต้แขนสามสว่น ปลายบาน ตรงปลายมีลายฉลเุดก็น้อย สวมเสือ้กัก๊ดํา ปกลายสีสดใส กระโปรงบานพองสีดํา มีลายปักและมีผ้ากนัเปือ้นลายทางสีแดง มีผ้าคลมุผมสี ตามสีโดยสว่นรวมที่กระโปรง สวมรองเท้าบทู ฝ่ายชายสวมเสือ้เชิต้สีขาวและสวมเสือ้ดําปักลาย ใสก่างเกงลายทางสีเขียวแดง ใสร่องเท้าบทู บางคนก็สวมหมวกการเต้นจะเต้นเป็นวงกลมโดยทา่แรก เป็นการจบัมือกนัโยกไปด้านหน้า และเต้นเข้าวงการมีการลอกเสมอและเดนิแยกคูอ่อกจากกนัด้วย จงัหวะการเต้นมีการกระโดดและกระทืบเป็นระยะดนตรีก็จะเป็นการบรรเลงสด ประกอบด้วยกลุม่เครื่องสายเป็นหลกัและมีกลุม่เครื่องเป่าลมไม้อยู ่2 ชิน้

สุนทรียภาพด้านนาฏศิลป์และการละคร

เพื่อให้เข้าใจเกิดวิจารณญาณในการเข้าชมรวมถงึการอดัถงึ

คณุคา่ของนาฏศิลป์และการละครและเกิดสนุทรียภาพตอ่ชีวิตจงึควรศกึษา

สว่นในตา่ง ๆ ตอ่ไปนี ้

1. การรับรู้สนุทรียภาพด้านนาฏศิลป์และการละคร สามารถจําแนกได้ดงันี ้

1. ระดบัอารมณ์เชื่อกนัวา่ละครหรือการแสดงทกุรูปแบบมี

จดุมุง่หมายที่จะให้ความบนัเทิงแก่มนษุย์ผู้ชมสว่นใหญ่ต้องการไปดลูะคร

หรือการแสดงเพื่อผอ่นคลายความตงึเครียดเป็นการพกัผ่อนหยอ่นใจ

สุนทรียภาพด้านนาฏศิลป์และการละคร

2. ระดบัสมอง นอกจากการตอบสนองทางอารมณ์แล้วละครหรือการ

แสดงอาจทําหน้าที่เป็นอาหารสมองให้กบัผู้ชมเพื่อได้ข้อคดิและใช้สตปิัญญาได้

อีกด้วยการรับรู้ในระดบัสมองนีเ้รียกได้วา่เป็นการทําให้ผู้ชมได้เจริญสตปิัญญา

ไปพร้อมพร้อมกนั

3. ระดบัจิตใจ จดุมุง่หมายขัน้ที่สงูที่สดุของละครคือการให้คณุคา่แก่

จิตใจหรือจิตวญิญาณของมนษุย์กลา่วคือ ละครหรือการแสดงอาจทําให้มนษุย์

ได้เปิดตาสวา่งเข้าใจโลกและธรรมชาต ิเรากลบัได้ชําระล้างจิตวญิญาณให้

สะอาดบริสทุธิ์ได้เชน่กนั และการรับรู้ในรักสดุท้ายนีเ้รียกอีกอยา่งหนึง่ก็คือ

นําพาจิตวญิญาณให้กบัผู้ชมซึง่เป็นระดบัของการรับรู้ในขัน้สงูสดุนัน่เอง

องค์ประกอบของนาฏศิลป์

องค์ประกอบนาฏศิลป์ เป็นลกัษณะพืน้ฐานในการจดัการ

เคลื่อนไหวและจดัการแสดงในนาฏศิลป์โดยมีการวิเคราะห์ จากหลกัการ

ทางทศันศิลป์ ดนตรี และศาสตร์การเคลื่อนไหวโดยมีหลกัการความสมดลุ

สดัสว่นและขนาด พลงั ทา่เต้น ทา่รํา การเคลื่อนไหวรูปแบบการใช้พืน้ที่

วา่ง ระยะสนุทรี พืน้ผิว สี กฎธรรมชาติและความเป็นเอกภาพ ซึง่นําไป

วิเคราะห์ได้ทัง้องค์ประกอบนาฏศิลป์ไทยและสากล

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

1. เข้าใจเกี่ยวกบัทา่รําของนาฏศิลป์ไทย ที่ใช้สื่อความหมายให้

ผู้ชมเข้าใจถงึกริยาอาการความรู้สกึและอารมณ์ของผู้แสดง มีทา่รําตาม

ธรรมชาติและทา่รําที่ประดิษฐ์อยา่งประณีต ออ่นช้อย สวยงามและ

นาฏศิลป์ไทยจะใช้ทา่รําเป็นภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวถ้าเข้าใจ

เรื่องเหลา่นีจ้ะทําให้การเข้าชมการแสดงเกิดความซาบซึง้นัน้ได้อรรถรส

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

2. เข้าใจในบทเพลงหรือคําร้องของบทเพลงตา่ง ๆ เพลงที่ร้องประกอบด้วยคําร้อง หรือเนือ้ร้องสว่นมาก เป็นคําประพนัธ์ประเภทกลอน

แปดหรือกลอนสภุาพ เป็นคําร้องที่แตง่ขึน้ใช้กบัเพลงนาน ๆ โดยเฉพาะ

หรือนํามาจากวรรณคดีไทยตอนใดตอนหนึง่ ก็ได้ผู้ชมจะต้องฟังภาษาที่ใช้

ร้องไห้เข้าใจ ควบคูก่บัการชมการแสดงด้วยจงึจะเข้าใจเรื่องราวที่แสดงอยู่

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

3. เข้าใจเกี่ยวกบัดนตรีและเพลงตา่งๆการแสดงนาฏศิลป์จําเป็นต้องใช้ดนตรีบรรเลง ประกอบขณะแสดงผู้ชมจะต้องเข้าใจถงึลีลา

ทํานองสําเนียงเพลง จงัหวะ ประเภทของเพลงและอารมณ์ของเพลงที่

บรรเลงประกอบการแสดงด้วย จงึจะทําให้เกิดความไพเราะรู้สกึซาบซึง้และ

รู้สกึอิ่มอกอิ่มใจ เพื่อทําให้การเข้าชมนาฏศิลป์ได้เข้าใจและได้อรรถรสของ

การแสดงอยา่งสมบรูณ์

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

4. เข้าใจเกี่ยวกบัการแตง่กาย และ แตง่หน้าของผู้ เเสดง เพราะ

การแสดงนาฏศิลป์ไทยมีลกัษณะการแตง่กายที่หลากหลาย ผู้ชมคนมี

ความรู้ความเข้าใจ จะช่วยทําให้การชมการแสดงเกิดความเข้าใจอยา่ง

ลกึซึง้

5. เข้าใจเกี่ยวกบัการออกแบบฉาก การใช้แสงและเสียงซึง่จะมี

อปุกรณ์ฉากแสงเสียง ประกอบการแสดงเพื่อให้การแสดงมีความสมจริง

ช่วยสร้างบรรยากาศให้กบัการแสดง ถ้าเข้าใจเรื่องเหลา่นีจ้ะทําให้การเข้า

ชมการแสดงเกิดความสนใจตลอดเวลาที่ชมการแสดง

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

6. เข้าใจเกี่ยวกบับทบาทและฐานะของตวัแสดงเช่นพระเอก

นางเอกในโรงพระรองนางรองตวัตลกผู้ ร้ายนัง่ร้ายเป็นต้น

7. เข้าใจเกี่ยวกบัลกัษณะของการแสดงนาฏศิลป์ไทย เช่นการ

แสดงละครในละครดกึดําบรรพ์ โขนจะมีลกัษณะการแสดงที่เป็นแบบแผน

และมีขนบธรรมเนียมในการแสดงที่เคร่งครัดและมีความประณีตในการ

ร่ายรําอยา่งมาก

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

8. เข้าใจเกี่ยวกบัเรื่องราวของการแสดง ผู้ชมชมจะต้องติดตามการแสดงให้ตอ่เนื่องกนัถงึจะเข้าใจถงึเรื่องราวตา่งๆวา่ใครทําอะไรที่ไหน

อยา่งไรทําให้ได้

9. มีอารมณ์ร่วมกบัการแสดงแคส่นกุสนานเฮฮาโศกเศร้าเสียใจ

10. มีมารยาทในการชม การแสดงแงค่ิดคณุคา่เกิดความซาบซึง้

แล้ว ได้อรรถรส

หลักในการชมนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ

11. เข้าชมการแสดงควรแตง่กายให้ถกูต้องตามกาลเทศะ ซึง่จะเป็นการให้เกียรตนิกัแสดง ผู้ชมทา่นอื่น เป็นการให้เกียรตแิละสร้างความมัน่ใจให้กบัตนเอง เมื่อต้องเข้าไปอยูใ่น บรรยายการแสดงนัน้ถือเป็นการสง่เสริมแรงใจและความมัน่ใจรู้สกึภมูิใจและชมการแสดงได้อยา่งมีความสขุและความเพลดิเพลนิ ควรแตง่กายสภุาพเรียบร้อย

12. การศกึษาเกี่ยวกบัสจูิบตัรก่อนชมการแสดง เพื่อจะได้ชมการแสดงอยา่งเข้าใจตัง้แตต่้นจนจบ ถ้าไมม่ีสตูบิตัรควรตัง้ใจฟังผิดทีก่อนบรรยายถงึเรื่องราวตา่งๆที่เกี่ยวกบัการแสดง

13. การไปถงึสถานที่แสดงควรไปถงึก่อนเวลาการแสดง เพื่อที่จะได้เตรียมตวัให้พร้อม มีเวลาเหลือสําหรับทําธรุะสว่นตวั

14. ควรงดใช้เสียงควรปิดเสียงโทรศพัท์

บทสรุป

สนุทรียศาสตร์ด้านนาฏศิลป์และการละคร เป็นเรื่องของความ

เข้าใจในคณุคา่ของนาฏศิลป์และการละครที่จะสง่เสริมให้ผู้นัน้สมัผสัได้ถงึ

อารมณ์ความรู้สกึทางจิตใจ ตลอดจนมีความเข้าใจในพืน้ฐานของ

นาฏศิลป์และการละครอนัจะสง่ผลตอ่ยอดไปถงึการเสริมสร้างความมี

สนุทรียภาพอา่นดําเนินชีวิตตอ่ไป ความซาบซึง้ด้านนาฏศิลป์และการ

ละครมีหลายระดบัถ้าผู้ชมการแสดงมีความรู้ความเข้าใจและมีการ

สนองตอบตอ่นาฏศิลป์ และการละครอยา่งลกึซึง้ผู้นัน้ยอ่มเกิดความ

ซาบซึง้ในนาฏศิลป์และการละครอยา่งแท้จริงดงันัน้ควรทราบซึง้จงึเป็นสิง่ที่

บทสรุป

สามารถพฒันาได้โดยที่ผู้นัน้มีโอกาสได้ศกึษาทําความเข้าใจกบันาฏศิลป์

องค์ประกอบของการแสดง มีโอกาสได้เข้าชมหรือมีประสบการณ์ด้าน

นาฏศิลป์และการละคร เพื่อให้เกิดการสนองตอบทําความรู้สกึซึง่ยิ่งมี

โอกาสสมัผสัด้านนาฏศิลป์และการละครมากเทา่ไหร่ ความซาบซึง้ด้าน

นาฏศิลป์และการละครก็จะมากขึน้เรื่อยๆ อยา่งไรก็ตามความซาบซึง้ด้าน

นาฏศิลป์และการละครเพิ่งยดึหลกัปฏิบตัิในการชมนาฏศิลป์และการละคร

โดยการปฏิบตัิตนให้เป็นบคุคลที่มีความซาบซึง้เห็นคณุคา่และชื่นชมความ

งามคิดจินตนาการด้านนาฏศิลป์และการละค รอยา่งมีอรรถรสได้สมบรูณ์

ขอบคุณครับ

...................................

top related