japan special

24
Japan S p e c i a l 七 月七日は七夕です。天の川 を隔てて、離れ離れになってしまっ た織姫と彦星が、一年に一度だけ七 月七日に会う事ができるという伝説 由来されるお祭りです。 ตะลุยแดนอาทิตย์อุทัย

Upload: teerawat-raksat

Post on 30-Mar-2016

213 views

Category:

Documents


1 download

DESCRIPTION

Japan Special.

TRANSCRIPT

Page 1: Japan Special

JapanS p e c i a l 日本特別

七 月七日は七夕です。天の川を隔てて、離れ離れになってしまった織姫と彦星が、一年に一度だけ七月七日に会う事ができるという伝説由来されるお祭りです。

ตะลุยแดนอาทิตย์อุทัย

Page 2: Japan Special

Contents3

วิถีแห่งซากุระญี่ปุ่น

7Sushi Varieties

11มาจัดสวนแบบญี่ปุ่นกันเถอะ

13ชาเขียวญี่ปุ่นเปลี่ยนไปแล้ว...

15ปูยักษ์ฮอกไกโด Tabara & Abura

18จักรยาน

พาหนะที่คนญี่ปุ่นไม่เคยคิดจะลืม

Japan Special

Page 3: Japan Special

富士山。富士山周围有很多适合摄影的地方。 一月我们开车,富士山转一圈,拍照片了。 冬天是天晴的可能性最大的。 富士山周围的地图 1. 天亮的时...

Page 4: Japan Special

วิถีแห่งซากุระญี่ปุ่นเรื่องโดย The 8th Ronin

SomeiYoshinoเป็นซากุระที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่นมีดอกที่แทบจะเรียกได้ว่า“ขาวบริสุทธิ์ แต้มด้วยสีชมพูจางๆ เวลาบานก็จะขาวโพลนไปทั้งต้น ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไปก็จะมี Yaezaku-ra ซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมืองของญี่ปุ่น มีดอกใหญ่สีชมพูพาสเทลสดใส Yamazakura หรือซากุระป่า ที่เห็นได้ตามหุบเขา กลีบค่อนข้างเล็กมีสีชมพูอ่อน และที่ดูเท่าไรก็ไม่เบื่อ เห็นจะเป็น Shidaresakura กิ่งของมันจะโน้มลงสู่พื้นดิน มีดอกสีชมพู เวลาบานจะคล้ายกับน้ำตกซากุระดูแล้วได้อารมณ์กวีแบบสุดๆ

พอ ปลายฤดูหนาวจะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ชาวญี่ปุ่นจะตั้งตารอฟังข่าวการบานของดอกซากุระทางทีวี ซึ่งสื่อก็จะ โหมประโคมข่าวกันอย่างบ้าคลั่ง ที่ไหนจะบานก่อน ที่โน่นจะบานเมื่อไร ที่นั่นจะโรยตอนไหน รายงานกันละเอียดยิบชนิดวันต่อวันตลอดฤดูซากุระ

แอบอิจฉาคนที่กำลังวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นกันอยู่และเชื่อเลยว่าต้องมีหลายคนตั้งอกตั้งใจจะไปให้ตรงกับช่วง ซากุระ (Sakura) บานแบบเป๊ะๆ แทบจะเรียกได้ว่าดูฤกษ์ดูยามกันเลยทีเดียว ก็นี่จะเข้าเทศกาลชมดอกซากุระ หรือ Hanami กันแล้วนี่นา...

หน้า 3

Page 5: Japan Special

เรื่องโดย The 8th Ronin

จริงๆแล้ววัฒนธรรมการชมดอกซากุระของชาวญี่ปุ่นก็มีมาไม่นานมากนักแต่เชื่อว่าเพราะชาวจีนมีวัฒน ธรรมการชมดอกเหมย (ดอกบ๊วย) ซากุระนั้นสวยก็จริง แต่ชาวญี่ปุ่นมองมันลึกซึ้งกว่านั้น...

ซากุระเลือกที่จะผลิดอกก่อนที่จะเริ่มผลิใบ แต่มันเป็นดอกไม้บอบบางที่เปรียบได้กับผู้หญิงมีความงามอารมณ์อ่อนไหวให้ความสดชื่น และถูกทำลายได้ง่ายดายมากดอกจะบานเต็มที ่ได้เพียงแค่1สัปดาห์ แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเจอฝนนอกฤดูหรือลมกรรโชกเพียง ระยะเวลา สั้นๆ ชีวิตของมันก็จะจบลงได้อย่างรวดเร็ว มันจะเริ่มทิ้งกลีบกลายเป็นพรมดอกไม้อยู่รอบต้น และบางส่วนก็ปลิวไปกับสายลม เป็นภาพที่สวย งามและน่าสะเทือนใจ

คนญี่ปุ่นนั้นเปรียบเทียบการบานของดอกซากุระเป็นเหมือนกับชีวิตมนุษย์ที่ไม่แน่นอนฤดูกาลของซากุระจะคอยย้ำเตือนว่าชีวิตนั้นดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็วเตือนสติว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าและทำให้เราต้องทบทวนการกระทำที่ผ่านมา และวางแผนวิถีชีวิตของตนเองในอนาคต ที่สำคัญซากุระยังทำให้ระลึกได้ ว่า ชีวิตมนุษย์นั้นสั้น มีเกิด มีแก่ และดับไป แต่เมื่อซากุระทิ้งดอก มันก็จะเริ่มแตกใบอ่อน ทำให้รู้สึกชื่นใจเหมือนกับการได้เห็นนก ฟีนิกซ์ถือกำเนิดใหม่

ก่อนถึงฤดูซากุระหนึ่งเดือนเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของหลายๆชีวิตในญี่ปุ่น นักเรียนจะจบการศึกษาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือสมัครงาน บริษัทก็จะต้องปิดบัญชีตามปีงบประมาณให้ทันเป็นช่วงเวลาที่ หนักหนาสาหัสของใครหลายๆ คน แต่พอเข้าฤดูซากุระบาน ก็เป็นช่วงเริ่มต้นปี การศึกษาใหม่ บางคนก็เริ่มต้นชีวิตพนักงานบริษัท ดังนั้นการชมดอกซากุระจึงเป็น เวลาแห่งความสุข เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเริ่มต้นชีวิตใหม่และจะได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับปีที่กำลังจะมาถึงชาวนา ชาวไร่ต่างก็ตื่นเต้นและชื่นใจ ทุกครั้งที่เห็นซากุระบาน เพราะมันเป็นสัญลักษณ์การมาถึงของฤดู เพาะปลูกแถมยังถือเป็นการทำนายความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตที่จะได้รับด้วย

หน้า 4

Page 6: Japan Special

ราวกับเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณ และชีวิตของพวกเขาก็ผูกพันธ์อยู่กับซากุระใช้ตั้งชื่อคนทำเป็นอาหารอยู่ในวรรณกรรม เกี่ยวพันกับศาสนา ศิลปะ,วัฒนธรรม,ดนตรี,การ์ตูน,ถ้วยชาม,ลวดลายบนกิโมโนลวด,ลายบนเหรียญ 100 เยนและแม้แต่ทหารราชองครักษ์ก็ยังใช้ตราดอกซากุระ ที่หมายถึงการอุทิศตนให้กับหน้าที่ แม้ชีวิตอาจจะสั้นและไม่แน่นอนก็ตาม ราวกับเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณ และชีวิตของพวกเขาก็ผูกพันธ์อยู่กับซากุระ ใช้ตั้งชื่อคน ทำเป็นอาหาร อยู่ในวรรณกรรม เกี่ยวพันกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การ์ตูน ถ้วยชาม ลวดลายบนกิโมโน ลวดลายบนเหรียญ 100 เยน และแม้แต่ ทหารราชองครักษ์ก็ยังใช้ตราดอกซากุระที่หมายถึงการอุทิศตนให้กับหน้าที่ แม้ชีวิตอาจจะสั้นและไม่แน่นอนก็ตาม ราวกับเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณและชีวิตของพวกเขาก็ผูกพันธ์อยู่กับซากุระใช้ตั้งชื่อคน ทำเป็นอาหารอยู่ในวรรณกรรม เกี่ยวพันกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การ์ตูน ถ้วยชาม ลวดลายบนกิโมโน ลวดลายบนเหรียญ 100 เยน และแม้แต่ ทหารราชองครักษ์ก็ยังใช้ ตราดอกซากุระ ที่หมายถึงการอุทิศตนให้กับหน้าที่ แม้ชีวิตอาจจะสั้นและไม่แน่นอนก็ตาม

หน้า 5

Page 7: Japan Special

Hanami อาจจะแปลว่าการชมดอกไม้ (hana=ดอกไม้,mi=ดู) แต่ชาวญี่ปุ่นทุกคนก็รู้กันดีว่าดอกไม้นั้นคือดอกซากุระทุกปีในเดือนกุมภา พันธ์ถึงเดือนพฤษภาคมซากุระจะทยอยกันบาน จากทางใต้ขึ้นสู่ทางเหนือพ่อ แม่จะเตรียมตัวพาลูกๆไปสนุกสนานกันนอกบ้านเด็กมหาวิทยาลัยจะมาร์ค วันชมซากุระไว้บนปฏิทิน ส่วนบริษัทต่างๆ ก็จะวางแผนจองสถานที่ชมซากุระไว้ให้กับพนักงานแม้ว่าพนักงานน้องใหม่อาจจะต้องทดลองงานโดยการ ตื่นแต่เช้าไปนั่งตากแดดจองที่ไว้ทั้งวันจนกว่าหัวหน้าและรุ่นพี่คนอื่นๆ จะเลิกงานมาร่วมฉลองได้ผู้คนจะจับกลุ่มนั่งสบายๆใต้ต้นซากุระ

หน้า 6

Page 8: Japan Special

Varieties..

Sushi (すし、寿司) อาหารจานเด็ดจานด่วนของประเทศญี่ปุ่น ที่ใครๆต่างก็รู้ว่าเป็นอาหารที่ประกอบด้วยของสดที่วางอยู่บน ข้าว สวยที่ปั้นพอดีคำ รสชาติเน้นความเป็นธรรมชาติของวัตถุดิบที่นำ มาประกอบกัน ทานพร้อมวาซาบิและโชยุ เป็นรายการโปรดของหลายๆ คนเลยก็ว่าได้แท้จริงนั้น ซูชิตามแบบฉบับของญี่ปุ่นหมายถึง ข้าวหน้าปลาดิบและรสชาติเปรี้ยว นั่นเอง

ซูชิแบบดั้งเดิมเน้นการผสมผสานของข้าวปลาและเกลือเกิดขึ้นในยุคมุโระมาจิเริ่มต้นจากการคิดริเริ่มในการถนอมอาหารที่สามารถเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสียโดยเปล่าประโยชน์ด้วยการหมักดองซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนำมาดัดแปลงนั่นเองด้วย วิธีNarezushi ก็คือการนำปลาสดมาล้างให้สะอาด เ อ า เ ห งื อ ก แ ล ะ ไ ส้ ป ล า อ อ ก ม า ยัดเกลือเข้าไปหมักทิ้งไว้ 1-3 ปี จากนั้นนำมาปลาออกมาหมักกับข้าวที่หุงแล้วอีกครั้งทิ้ง

ไว้อีก1-2ปีหมักไว้ในภาชนะที่สะอาดแบบสุญญากาศเลยนะแล้วปิดฝาใช้ก้อนหินขนาดพอเหมาะปิดทับไว้พอได้รสชาติที่ (ออกแนวเปรี้ยวมาก)ก็นำออกมาประกอบอาหารอีกทีโดยที่ซูชิชนิดแรก ทำมาจากปลาบุนะไนโกะโร่ เป็นสายพันธุ์หนึ่ง ของตระกูลปลาตะเพียน เป็นปลาน้ำจืดและพบได้ตามนาข้าว มีชื่อว่า FunaZushi เป็นอาหารขึ้นชื่อในแถบทะเลสาบบิวะ จังหวัดชิงะ จะเริ่มทำในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมของทุกปีว่ากันว่าเป็นอาหารที่ ล้ำค่า และใช้เพื่อขอพรจากสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเพราะทำมาจากวัตถุดิบที่หาได้จากธรรมชาติที่เหมือนกับว่าพระเจ้าประทานมา ให้ได้มีกินมีใช้กัน และยัง เป็นอาหารที่เคยเป็นที่นิยมมอบให้เป็นของขวัญซึ่งกันและกันในแวดวงขุน นางในยุคนั้น (เป็นช่วงระบบศักดินา) แถมยังเคย เป็นอาหารที่จัดทำขึ้นเพื่อโชกุนอีกด้วย

หน้า 7

SuShi

Page 9: Japan Special

ต่อจากนั้นในยุคเอโดะก็เริ่มมีความหลากหลายของซูชิมากขึ้นโดยการนำปลาสดและอาหารสดชนิดอื่นๆ มาวางบนข้าวที่ปั้นด้วยมือ โดยการหุงข้าวก็เริ่มใช้ส่วนผสมของ น้ำ ส้มสายชูรวมอยู่ ด้วยเพื่อให้มีรส เปรี้ยวน้อยลงจากการหมักในยุค แรกๆนั่นเอง มารู้จักประเภทของซูชิกันดีกว่า

*** สังเกตกันมั้ย คำว่า sushi เวลาใส่คำบ่งบอกไว้ข้างหน้าเสียงจะเปลี่ยนเป็น zushi นั้นก็เพราะการผันไวยากรณ์ของภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

แบบแรกประเภทข้าวปั้น

Nigirizushi (握り寿司) ข้าวปั้นที่กดข้าว เป็นสี่เหลี่ยมมนๆ ด้วย ฝ่ามือและมีอาหารสดวางอยู่บน ก้อนข้าว มีวาซาบิใส่ไว้นิดหน่อยระหว่างกลาง อาจมีการพันสาหร่ายแผ่นบางๆ ไว้ด้วย วัตถุดิบที่นิยมนำมาทำก็คือ ปลาดิบ ปลาหมึก ปลาไหล ไข่หวาน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หอยเม่น หรืออาหารทะเลอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน

Gunkanmaki ข้าวปั้นรูปไข่ ใช้สาหร่ายพันรอบข้าวและมี อาหารทะเล หรือของสดวางไว้ข้างบน แต้มวาซาบิไว้ข้างในด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ปลา ไข่กุ้ง หอยเม่น เป็นต้น

Temarizushi ข้าวปั้นของเป็นลูกกลมๆ วางหน้าซูชิแต้มวาซาบินิดนึงแล้วห่อกับพลาสติกบีบด้วยฝ่ามือให้เข้ากัน ก็เสร็จเรียบร้อย ก็นิยมใช้อาหารทะเลและอาหารสด อาหารย่างก็ได้เหมือนกัน

หน้า 8

Page 10: Japan Special

แบบที่สอง ซูชิแบบม้วน

Makizushi (巻寿司) หรือ Norimaki หรือ Makimono ซูชิ รูปทรงกระบอกม้วนยาวใช้สาหร่ายแผ่กว้างใส่ข้าวใส่ผักใส่เนื้อหรือปลาลงไปวางบนแผ่นไม่ไผ่ที่ใช่ห่อซูชิแล้วม้วนให้เข้ากันตัดให้พอดีคำFutomakiซูชิทรงกระบอกขนาดใหญ่ใช้สาหร่ายห่อเช่นเดียวกันเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลในแถบคันไซเน้นวัตถุดิบที่เป็นมังสาวิรัติHosomakiซูชิทรงกระบอก ขนาดเล็ก างๆห่อด้วยสาหร่าย ส่วนใหญ่จะมีใส้เพียงอย่างเดียว เช่น แตงกวา ,แครอท,ทูน่า เป็นต้น โดยที่ไส้แตงกวา จะเรียกว่า Kappamakiเป็น ชื่อที่ได้มาจากปีศาจน้ำกัปปะที่ชื่นชอบการกิน แตงกวาเป็นพิเศษและซูชิ ชนิดนี้นิยมทานเพื่อล้างปากระหว่างการทานปลาดิบกับอาหารชนิดอื่นๆ เพื่อที่เราจะได้ เข้าถึงรสชาติของปลาดิบได้มากขึ้นนั่นเอง ส่วน ไส้ทูน่าดิบ เรียกว่า Tekkamaki ไส้ทูน่าผสมมายองเนส เรียกว่า Tsu-namayomakiTemaki ซูชิรูปกรวยนั่นเอง ไส้ต่างๆ ห่อด้วยข้าวและสาหร่าย อีกชั้นพันห่อเป็นรูปกรวย ซูชิแบบนี้ใช้มือหยิบทานจะถนัดกว่าUramaki ซูชิรูปทรงกระบอกขนาดกลางๆ ใช้ข้าวห่อ สาหร่าย แตงกวา มายองเนส อะโวคาโด แครอท เนื้อปู ทูน่า ม้วนและโรยด้วยเมล็ดงา

หน้า 9

Page 11: Japan Special

แบบที่สาม Oshizushi (押し寿司) ข้าวปั้นที่กดจากบล็อกไม้สี่เหลี่ยมแล้วห่อ ด้วยใบไม้ หรือใส่ภาชนะสี่เหลี่ยม ที่โอซาก้าจะหาทานได้ง่ายและเป็นที่นิยมกันมาก

แบบที่สี่ เต้าหู้ทอดยัดไส้Inarizushi (稲荷寿司)เตา้หูท้อดแผน่บางยัดไส้ซูชิเข้าไป มีทั้งข้าว ปลาดิบและผัก บางที่ก็นำไข่บางๆ มาทำเป็นที่ห่อแทนด้วย แต่รสชาติจะหวานกว่า

แบบที่ห้า ซูชิจานโต Chirashizushi(ちらし寿司)ซูชิชนิดนี้มักจะนิยมทานกันในช่วงเทศกาลHinamatsuri ในแถบคันโตเรียกว่าการจัดแบบ EdomaeChirashizushiเป็นการนำข้าวใส่ชามแล้วจัดแต่งเรียงหน้าซูชิหลายๆอย่างให้สวยงามจะเน้นปลาดิบมากกว่าส่วนในแถบคันไซเรียกว่า Gomokuzushiแบบคันไซ ไม่มีการจัดเรียงมากมายตักใส่ข้าวลงในชาม โรยด้วยสาหร่ายและผักตามแต่จะชอบแต่ต้องเป็นของที่ไม่หนักท้องเท่าไหร่ ซูชิชนิดนี้จัดทำในแต่ละ พื้นที่แตกต่างกันไป

หน้า 10

Page 12: Japan Special

มาจัดสวนแบบญี่ปุ่นกันเถอะ

เพื่อนๆ ชาว marumura หลายคนน่าจะเคยเห็นสวนแบบญี่ปุ่นกัน ใช่ไหมคะ สวนญี่ปุ่นเนี่ยไม่ใช่ดูสวยอย่างเดียวนะ ยังมีความสบายตา สงบ ร่มเย็นอีกด้วยค่ะ วันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำหลักการ 6 ข้อในการจัดสวนแบบญี่ปุ่นกันนะคะ เผื่อใครสนใจอยากจะลองจัดตามก็ได้เลย ^^

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สวนญี่ปุ่น เนี่ย มักจะวางตำแหน่งจุดเด่นของสวน (Highlight)ไว้ในที่ซึ่งคนในบ้านสามารถมองเห็นได้ตามคติการจัดสวนแต่โบราณค่ะกล่าวคือเอาคนในบ้านเป็นหลักหรือจะ เรียกได้ว่าจัดสวนเพื่อดู เองดังนั้นมุมมองของสวนญี่ปุ่นจึง เป็นการมองจากภายในสู่ภายนอก ผิดกับสวนของชาวตะวันตกซึ่งมีลักษณะตรงกัน ข้าม คือ จะปลูกต้นไม้ชิดอา คารเพื่อให้อาคารดูดี ดูเด่น และดูสวย โดยไม่คำนึงถึงมุมมองจากในบ้าน แต่คำนึงถึงมุมมองของผู้คนที่อยู่นอกอาคารจะได้ชื่ นชมและทำให้ เจ้ าของบ้ าน ภาคภูมิใจคือจัดโชว์ชาวบ้าน หลักการทั้งสองนี้แตก ต่างกันแบบตรงกันข้ามเลยล่ะค่ะ

1.) สวนญี่ปุ่น มีหลักเกณฑ์แบบแผนแน่นอนมีชื่อเฉพาะในแต่ละแบบ สร้างสวนรอบๆ ตัวบ้าน ไม่นิยมปลูกต้นไม้ติดตัวบ้านนะคะ

หลักการ 6 ข้อ ในการจัดสวนแบบญี่ปุ่น

2.) สวนต้องสร้างทางทิศใต้ของตัวบ้าน เป็นความ เชื่อของชาวญี่ปุ่นเขาล่ะค่ะ

เรื่องโดย : karenchan

หน้า 11

Page 13: Japan Special

3.) กระแสน้ำในลำธารจะต้องไหลจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก เพราะเชื่อว่าทิศตะวันออกเป็นทิศบริสุทธิ์จะนำสิ่งมงคลเข้าบ้าน ส่วนทิศตะวันตกก็จะนำพาสิ่งไม่เป็นมงคล ออกจากตัวบ้านไปค่ะ

4.) สวนญี่ปุ่นจะต้องมีภูเขาหรือเป็นเนินดินสลับกับพื้นที่ราบ อาจจะมีน้ำตก สระน้ำ ลำธาร ฯลฯ โดยย่อส่วนลงมาจัดไว้ ในสวนทั้งหมด และมีตะเกียงหินด้วย

5.) การจัดต้นไม้จะต้องจัดให้เลียนแบบธรรมชาติให้มากที่สุด แต่ไม้พุ่มนิยมตัดแต่งเป็นพุ่มกลมๆ ล้อเลียนลักษณะของหิน

6.) นำประเพณี วัฒนธรรม ปรัชญาต่างๆ ลัทธิทางศาสนา เข้ามารวมอยู่ในสวน เน้นความร่มรื่น เงียบสงบ ไม่ใช้ไม้ดอกที่มีสีสันสะดุดตา นิยมใช้พันธุ์ไม้ที่มีสีเขียวตลอดปี ไม้แคระ และนิยมใช้สนเป็นฉากด้านหลัง

เป็น อย่างไรกันบ้างคะ เพียงแค่นี้เพื่อนๆ ก็สามารถที่จะจัดสวนแบบญี่ปุ่นได้ด้วยตัวเองแล้วนะคะ นอกจากจะทำให้บ้านดูร่มรื่นงามตาแล้วยังช่วยให้จิตใจสงบอีกด้วยนะคะ เรียกได้ว่าสวนญี่ปุ่นเนี่ยช่วยในการผ่อนคลายอย่างแท้จริงเลยล่ะค่ะ

หน้า 12

Page 14: Japan Special

ชาเขยีวญ่ีปุ่ น เปลีย่นไปแลว้...

ชาเขียวนั้นมีวิธีการทำที่ซับซ้อนเริ่มจากต้องนำใบชาที่เก็บมาได้มาทำการหมักแล้วจึงค่อยนำมาอบหลังจากนั้นนำมาขยี้ด้วยมือแล้วตากให้แห้งสิ่งที่เป็นตัวกำหนดความอร่อยของชา นั้นว่ากันว่าอยู่ที่คุณภาพของน้ำที่ใช้อุณหภูมิของน้ำร้อนและ ระยะเวลาในการชงทุกคนทราบไหมค่ะว่าจริงๆแล้วการชงชาให้ อร่อยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เมื่อในปี 1985 หลังจากที่บริษัทอิโตเอ็ง ได้ผลิตชาแบบบรรจุขวด ออกมาจำหน่ายเป็นครั้งแรก ก็ยิ่งทำให้ชาเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวคนญี่ปุ่นเข้าไปอีก ปัจจุบันผู้ผลิต เครื่องดื่มหลายๆ เจ้าในประเทศญี่ปุ่นต่างก็หัน มาผลิตเครื่องดื่มชาเขียวบรรจุขวดกันมากขึ้น (ชาชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากชาเขียวก็มีนะคะ)

หน้า 13

Page 15: Japan Special

“ชาโอยโอะจะ” ของอิโตเอ็ง และ “อะยะตะกะ” ของโคคาโคล่า >>>>

<<<ขวดน้ำชาชนิดต่างๆ ที่วาง ขายอยู่ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต

เมื่อปีที่แล้วแบรนด์โออิชิเค้าได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อว่า“ชากูซ่า” ที่มีการเติมโซดาลงไปในชาเขียว นี่ก็เป็นอีกเรื่องค่ะที่ดิฉันประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าการที่ชาเขียว ของญี่ปุ่นได้ถูกประเทศต่างๆ ทั่วโลกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่ดิฉันดีใจมากค่ะ

แต่ในปี 2004 บริษัทโออิชิที่ทำเกี่ยวกับร้านอาหารก็ได้มีการเปิดตัววางขายชาเขียวเป็นครั้งแรก ดิฉันดีใจมากเลยค่ะ เพราะว่าในที่สุดก็สามารถหาซื้อเครื่องดื่มชาเขียวได้อย่างสะดวก แต่ก็ต้องมาตกใจมาก เพราะว่ามี การเติมน้ำตาลลงไปในชาเขียวด้วย “น้ำตาลกับชาเขียว” สองสิ่งนี้สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะนำมาผสมกัน

ซึ่งทุกคนคงรู้สึกใช่ไหมค่ะว่า “ใส่น้ำตาลลงไปจะอร่อยกว่า” เพิ่งมารู้ในภายหลังนี้เองว่าทั้งที่ประเทศจีน ไต้หวัน หรือแม้ แต่ที่อเมริกาเองก็มีการเติมน้ำตาลหรือพวกน้ำผึ้งลงไปในชากันเป็น เรื่องปกติ ดิฉันซึ่งปกติคิดมาตลอดว่าชา ต้องไม่หวานสิ ก็เลยประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย

หน้า 14

Page 16: Japan Special

ปูยักษ์ฮอกไกโด TAraba & abura

ไปเที่ยวญี่ปุ่นไปดูอะไร ไปกินอะไร ไปเที่ยวที่ไหน ใครๆ ก็สามารถค้นหาข้อมูลทั่วไปในอินเตอร์เนทได้โดยแบบสบายๆ ฤดูหนาวที่ประเทศ ญี่ปุ่นอากาศหนาวจัดเลยทีเดียว ยิ่งทางตอนเหนือ ของประเทศยิ่งหนาวมาก แต่ในความหนาวจัดก็มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย อากาศหนาวก็หาอะไรอร่อยๆ ใส่ท้องกันดีกว่า เวลาไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นหลายคนอยาก ไปสัมผัส รสชาติ ของขาปูยักษ์ฮอกไกโด เจ้าปูยักษ์ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทานกันในมื้อสุดหรูหราในช่วงปีใหม่ เรามาทำความรู้ จักกับเจ้าปูยักษ์กันดีกว่า

เรื่องโดย : KarinSama

หน้า 15

Page 17: Japan Special

King Crab มีสามสายพันธุ์ สามารถจับได้ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม เจ้าปูยักษ์พวกนี้จะถูกพบในพื้นที่ต่างๆ ในแถบอลาสก้า สามสายพันธุ์ที่ว่าก็คือ Red King Crab , Blue King Crab และ Brown King Crab (Golden King Crab) นั่นเอง แต่ที่ญี่ปุ่นจะนิยมแค่สองสายพันธุ์ คือ Red King Crab (ทะระบะกานิ) และ Blue King Crab (อะบุระกานิ) โดยที่ ทะระบะกานิ จะเป็นที่นิยมเป็นอันดับหนึ่งและรองลงมาคือ อะบุระกานิ สองสายพันธุ์นี้มีลักษณะภายนอกคล้ายกันมาก ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่รู้เลย สาเหตุที่จำเป็นต้องสังเกตนั้น ก็เพราะว่าด้วยราคาของเจ้าทะระบะกานิ นั้นมันแพงกว่าอะบุระกานินั่นเอง ไม่อย่าง นั้นจะโดนหลอกขายเอาง่ายๆ มาดูกันว่าเราควรจะสังเกตความแตกต่างตรงไหน ของเจ้าปูยักษ์กันบ้าง

อย่างแรกเลยเวลายังไม่ได้นำมาประกอบอาหาร ทะระบะกานิ ตัวของปูจะมีสีออกน้ำตาลเข้มๆ เกือบดำ ส่วนอะบุระกานิจะมีกระดองและขาสีออกสีน้ำทะเล ก็เลยได้รับฉายา Blue King Crab

จุดที่สองเวลาต้มแล้วสีของ ทะระบะกานิ จะมีสีแดงชัดเจน ก็เลยได้ฉายาว่า Red King Crab ส่วน อะบุระกานิ จะมีสีออกส้มๆ แดงอ่อนๆ ช่วงหน้าของปูก็สั้นยาวไม่เท่ากัน แต่อันนี้ดูยากนะ และจุดที่สังเกตได้ง่ายที่สุด คือ บนส่วนกลางกระดองของเจ้าปูยักษ์มีจุดไม่เหมือนกัน ทะระบะกานิ มี 6 จุด ส่วนอะบุระกานิ มีเพียง 4 จุดเท่านั้น

หน้า 16

Page 18: Japan Special

สุดท้ายก็สังเกตที่ปลายขาปู ทะระบะกานิ จะมีสีแดง ส่วน อะบุระกานิจะมี สีขาว แบบนี้สังเกตได้ง่ายเลยล่ะ

ส่วนนี้สำคัญเลย ราคาของทะระบะกานิ จะแพงกว่าถ้ายังไม่ลดราคา ก็ประมาณตัวละ เจ็ดพันเยนขึ้น ไป ส่วนอะบุระกานิ ก็ราคาประมาณ สามพันเยนขึ้นไป ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลย ทางด้านรสชาติเนื้อปูนั้นถ้าสด มากๆ จะมีรสหวานกลมกล่อม ที่นิยมกันก็จะเป็นส่วนของขาปูจะนำไปทำเมนูย่างบ้าง ทำหม้อไฟบ้าง ทำซูชิ ทำซา ชิมิ ทำซุปมิโสะราคาจะถูกจะแพงก็ขึ้นอยู่กับร้านอาหารว่าเค้าใช้ ทะระบะกานิ หรือ อะบุระกานิ มาเป็นส่วนประกอบ ถ้าอยากทานปูฮอกไกโดสดๆ ต้องไปที่ เมือง Kushiro ไปหาซื้อที่ตลาดหรือกับชาวประมงที่เมืองนั้นได้ มาดูกันดีกว่าเมื่อนำเจ้าปูยักษ์มาประกอบอาหารแล้วหน้าตาจะน่ารับประทานกันขนาดไหน

ทีนี้ได้ทราบกันแล้ว ก็เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยของเจ้าปูยักษ์ที่ไม่ควรมองข้าม จะได้แยกออกว่าเรากำลังกินเจ้าตัวไหนอยู่ ไม่ต้องมานั่งผิดหวังว่ามาถึงที่แล้วแต่กินผิดตัว น่าเสียดายแย่เลย !!

: หลาย คนคงอาจสงสัยว่า ในภาษาญี่ปุ่น Kani แปลว่า ปู ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเรียกว่า Gani ล่ะ นั่นก็เพราะว่าถ้าหากเป็นปูทั้งหมดโดยรวม ไม่ระบุชื่อสายพันธุ์จะใช้คำว่า Kani แต่ถ้าหากกล่าวแยกย่อยไปถึงชื่อสายพันธ์ของปูก็ให้ ใช้ Gani ต่อท้ายแทนลงไป อย่างเช่น TarabaGani , AburaGani เป็นต้น ^^

เกร็ดเล็กเกล็ดน้อย

หน้า 17

Page 19: Japan Special
Page 20: Japan Special

ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะได้พัฒนาไปไกลถึงขนาดไหนแล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นยังคงนิยมใช้เพื่อการเดินทาง ในทุกๆ วัน กลับเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดสิ่งหนึ่งที่เราสามารถที่จะนึกออกได้ง่ายๆ สิ่งนั้นก็คือ “จักรยาน” ยานพาหนะที่ใช้แค่เพียงล้อสองล้อกับคนอีกหนึ่งคน เพื่อเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เป็นสิ่งซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความทันสมัยและความรวดเร็วของรถไฟความเร็ว สูงอย่าง Shinkansen ที่วิ่งได้มากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือรถยนต์ หรือแม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์ที่มีความเร็วกว่าจักรยานมาก

จักรยาน พาหนะที่คนญี่ปุ่นไม่เคยคิดจะลืม

เรื่องโดย : พิมพ์ฝัน

หน้า 18

Page 21: Japan Special

จักรยานที่หลายๆ ประเทศในโลกอาจจะไม่ให้ความสําคัญนัก เพราะคิดว่าไม่เท่ ไม่รวดเร็ว และวุ่นวายหากจะต้องขี่อย่างจริงจังในเมืองใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยสําหรับคนญี่ปุ่น…

คนส่วนใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลก เมื่อถูกถามว่ารู้จักเมืองไหนบ้างที่มีคนขี่จักรยานกันเยอะที่สุดในโลกคนเหล่านี้มักจะนึกถึงประเทศในแถบยุโรปอย่างเช่น เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์เป็นอันดับแรกๆ แต่ก็มีคนจํา นวนน้อยที่รู้ว่าญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นประเทศอันดับที่ 3 ของโลกที่มีคนปันจักรยานเยอะที่สุด เรียกได้ว่า เป็นเมืองแห่งจักรยานที่คนทุกอาชีพขี่ไปไหนมาไหนในชีวิตประจํา วันกันจนเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะให้เล่ากันให้เห็นภาพชัดๆ ก็พูดได้เลยว่ามีตั้งแต่ คนชรา เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ คนทํางาน คนต่างชาติ ยากูซ่า ครู นางพยาบาล นักเรียน ดีไซน์เนอร์ คุณพ่อ คุณแม่ ชาวนา คนส่งของ พ่อครัว ตํารวจ ช่าง พนักงานส่งอุด้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นักสร้างการ์ตูนอนิเมชั่น ไปจนถึงนักธุรกิจ

หน้า 19

Page 22: Japan Special

พวกเขาเหล่านี้ขี่จักรยานกันเป็นปกติทั้งบนทางเท้าและบนถนน ไม่จําเป็นว่าจะต้องใช้จักรยานเท่ๆ ที่ทํามาจากวัสดุอย่างดี หรือต้องแต่งตัวขี่จักรยานครบเครื่องมีหมวกกันน็อค มีเสื้อผ้าที่ทําขึ้นมาสําหรับขี่จักรยานโดย เฉพาะ สําหรับคนญี่ปุ่นแล้วการขี่จักรยานเป็นเรื่องปกติสามารถทําได้ง่ายๆ ขอแค่มีจักรยานซักคันก็สามารถไปไหนมาไหนได้ดั่งใจต้องการแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นพนักงานบริษัทหรือนักธุรกิจ พวกเขาเหล่านั้นก็จะใส่สูทขี่จักรยานไปทํางาน หรือว่านักเรียน นักศึกษาก็จะใส่ชุดยูนิฟอร์มของตัวเองขี่จักรยานไปเรียน ถ้าหากเป็นคุณแม่ลูกสอง จักรยานก็จะมีที่ซ้อนหน้าและซ้อนหลัง เพื่อให้คุณแม่สามารถไปส่งลูกที่ โรงเรียนอนุบาลได้ สําหรับคุณแม่ที่ขี่จักรยานในประเทศญี่ปุ่นก็มีคํา เรียกคุณแม่ที่มีลูกๆ สองคนอยู่บนจักรยานและรวมแม่เข้าไปด้วยว่า Sannin-nori ซึ่ง แปลได้ตรงตัวว่าสามคนบนจักรยาน เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีมาช้านานของคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ สรุปได้ก็คือจักรยานในประเทศญี่ปุ่นก็คือยานพาหนะที่เหมาะสําหรับทุกคน ทุกเพศ และทุกวัย

ในมุมของผู้เขียนนั้น มองว่าการขี่จักรยานสําหรับคนญี่ปุ่นนั้น ให้แง่คิดว่าเราทุกคนไม่ควรลืมความเรียบง่ายของการใช้ชีวิต การขี่จักรยานสําหรับคนญี่ปุ่นไม่จําเป็นต้องคิดมากว่าจะต้องมีองค์ประกอบ อะไรมากมาย แค่มีจักรยานมันก็มากเกินพอแล้วที่จะสามารถทําให้เราไปในที่ๆ เราต้องการไปได้ แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทองมากมายไปกับค่าน้ำมัน ค่ารถสาธารณะ และสิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับในยุคปัจจุบันคือมันทําให้ทุกคนที่ขี่จักรยาน มีเงินเหลือเก็บ มันเป็นการกระทําที่เมื่อมองดูแล้วมันง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อนํามาเปรียบเทียบกับชีวิตผู้คนในปัจจุบันที่มีแต่ความเร่งรีบ มีความซับซ้อนในทุกจังหวะของชีวิตแล้ว “จักรยาน” กับ “ชีวิตของผู้คนปัจจุบัน” ดูเหมือนจะอยู่กันคนละขั้ว แต่สําหรับชาวญี่ปุ่นแล้วจักรยานกับชีวิตมันคือขั้วเดียวกัน มันไปในทิศทางเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นและวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีอะไรที่ซับซ้อนในตัวเองอยู่มากมาย แต่ในทุกๆ รายละเอียดของชีวิตก็ยังคงมีความเรียบง่ายซ่อนอยู่เสมอ เป็นความเรียบง่ายที่ในบางทีก็ยากเกินที่จะเข้าใจ แต่ถ้าหากว่าเราลองมอง อย่างตั้งใจเพื่อหาแง่คิดดีๆ ลองมองหามุมใหม่ๆ เราก็สามารถนําความเรียบง่ายเหล่านี้มาปรับใช้ในการดําเนิน ชีวิตของเราใน ทุกๆ วัน เราก็คงจะได้อะไรบางอย่างกลับมาไม่มากก็น้อย

หน้า 21

Page 23: Japan Special

ผู้เขียนขอปิดท้ายด้วยมุมมองของชาวอังกฤษคนหนึ่งต่อวัฒนธรรมการขี่จักรยานของคน ญี่ปุ่น ที่ผู้เขียนได้อ่านเจอและรู้สึกชอบ เขากล่าวไว้อย่างน่าสนใจและน่าคิดตามว่า “People cycle because it makes sense. And it’s not that they don’t like their cars in Japan. It’s just that cycling makes sense.”

หน้า 21

Page 24: Japan Special