r2r ผศ(พิเศษ)นพ.วัชรพล ภูนวล · high reliability...

138
ผู ้ช่วยศาสตราจารย์(พิเศษ)นายแพทย์วัชรพล ภูนวล. ผู ้อํานวยการศูนย์พัฒนาคุณภาพ TEL. 055-832601-3 , 081-806-2862. [email protected] โรงพยาบาลศ นย์อ ตรดิตถ์.

Upload: others

Post on 25-Mar-2020

1 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

ผ ูช้่วยศาสตราจารย(์พิเศษ)นายแพทยว์ชัรพล ภนูวล.

ผ ูอ้ํานวยการศนูยพ์ฒันาคณุภาพ

TEL. 055-832601-3 , 081-806-2862.

[email protected]

โรงพยาบาลศูนย์อตุรดติถ์.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์(พเิศษ)นายแพทย์วัชรพล ภนูวล

กลุ่มงานห ูคอ จมูก

โรงพยาบาลศูนย์อุตรดติถ์

R2R in O.R.( Routine to Research )

Hospital Safety Quality and Happy.Hospital Safety Quality and Happy.

ตวัอย่าง...ข่าวพาดหัว น.ส.พ.

ฟ้อง ร.พ.ดังผ่าตัดคลอดแม่ตาย ลูกรอด เรียก 150 ล้าน

รพ.ด้อยคุณภาพฉีดยาชาหมดอายุ ฟ้อง 1.6 ล้าน

หมอทาํงามหน้า สลบัลูกกว่า 10 ปี

ผู้ป่วยตกเตียงผ่าตัด ศีรษะฟาดพื2น โคม่า.

ร.พ.เฮงซวยผ่าตัดเสียเลอืดมาก ให้เลอืดเอดส์

ฟ้องรพ.ดมยาสลบแล้วไม่ตื7น เสียชีวติร้องหมอชุ่ย ลมืผ้าก๊อซในท้อง

เหยื7อทนทุกข์กว่า 1/2 ปี

กระแสโลกาภวิฒัน ์ทนุนิยมโลก การคา้เสรีกระแสโลกาภวิฒัน ์ทนุนิยมโลก การคา้เสรี

โครงสรา้งประชากร และการเคลื�อนยา้ย

โครงสรา้งประชากร และการเคลื�อนยา้ย

การระบาดโรคอบุตัิใหม่

การระบาดโรคอบุตัิใหม่

วกิฤตธรรมชาติสิ�งแวดลอ้ม

วกิฤตธรรมชาติสิ�งแวดลอ้ม

วกิฤตสถาบนัทางสงัคม

วกิฤตสถาบนัทางสงัคม

การเปลี�ยนแปลงดา้นการเมืองการบรหิารของภาครฐั

การเปลี�ยนแปลงดา้นการเมืองการบรหิารของภาครฐั

บริบทใหม่

สขุภาวะ

บริบทใหม่

สขุภาวะ

กระแสทนุนิยม บรโิภคนิยม

กระแสทนุนิยม บรโิภคนิยม

ระบาดวทิยา ความรุนแรง

ระบาดวทิยา ความรุนแรง

วบิตัภิยัจากธรรมชาติ

วบิตัภิยัจากธรรมชาติ

High Reliability Organization.

-Service excellence.=บริการเป็นเลศิ

-Clinical excellence.=รักษาโรคเป็นเลศิ-Risk management.=การบริหารความเสี7ยง-Quality management.=การจัดการคุณภาพ

-Healthy employee.=บุคลากรสุขภาพดี-Knowledge management=การจัดการความรู้-R2R,Innovation=งานประจําสู่การวจิัย,นวตักรรม-Learning organization=องค์กรแห่งการเรียนรู้-Sustainable organization=องค์กรที7ยั7งยนื

E - Library

Internet Corner

Environment for Self Learning

Knowledge SharingE - Knowledge

Journal club

Knowledge Theatre

กระดานความคดิ

KM Center: (NOKPCT.NET)

Medical Website

Learning Organization

Knowledge Activities

CQI Activities & R2R

Medical journal

Electronic Board

Communication

7

องคก์รแหง่การเรยีนรู ้

องค์กรบริการสุขภาพที&ยั&งยืน

Sustainable Healthcare OrganizationQuality/Safety, Efficiency, Morale

Spirituality System Wisdom3C - PDSAHealth Promotion

Humanized HCLiving OrganizationNarrative MedicineContemplationAppreciativeAestheticsHealing Environment

ReviewMonitoring

ScoringSPA Gap

AnalysisTracing

Evidence-basedKMData analysis R2R• Qualitative• Quantitative

Lean-R2R

All about Quality ENGAGEMENT

• Engagement & Patient Safety

• Management Engagement

• High Reliability Organization

• Spirituality, Quality, & Health Promotion

• Quality Tools (Lean, BCM, THIP, etc)

• HA for Beginners

• Advance HA (SPA in Action, Quality Outcome)

• Professional Engagement

• Community Engagement

• Engagement for Specific Health Problems(e.g. HIV,

Asthma, High Risk Area )

ความผูกพนัเพื7อคุณภาพความปลอดภยัผู้ป่วย

• ความผูกพนัของบุคลากร (Staff Engagement)

• ความผูกพนัของผู้ป่วยและครอบครัว (Patient and Family

Engagement)

• ความผูกพนัของเครือข่ายบริการ หน่วยงานในพื -นที& องค์กรปกครองส่วนท้องถิ&น (Network and Partnership

Engagement)

• ความผูกพนัของชุมชน (Community Engagement)

• ความผูกพนัขององค์กรวชิาชีพ (Professional

Engagement)

A- AskS - Skills

K-knowledge

4 Evolutionary Stages of Modern Health Care System

Institutional

Care

Managed Care Integrated Care Integral Care

(necessary,

complete)

System centered Outcome

centered

Patient Centered Human centered

Pathogenesis Pathogenesis Pathogenesis Salutogenesis

(saluto—health

genesis—beginning)

AIM@Excellence Cycle

• รูจ้กัตนเอง• หา GAP

ASSESS

• วางแผน/วางระบบ• ทาํตามแผน/ระบบ

IMPROVE

• วดัผลลพัธ์• ปรบัปรุงต่อเนื�อง

MEASURE

@

ดาํเนินการซํ1าแลว้ซํ1าอกี วถิปีกตขิององคก์ร

INPUT PROCESS OUTPUT

REGISTER

EMERGENCY

TRIAGE ASSESSMENT INVESTIGATION

DIAGNOSIS

TREATMENT

FOLLOW UP

DISCHARGE

MEDICATION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

DISCHARGE

ADMIT

IPD TREATMENT

SURGERY

REFER/TRANSFER

MEDICATION

REHABILITATION

INTERVENTION

ACC

AOP

AOP

AOP

AOP

AOPPFR

PFR

PFR

PFR

PFR

PFR

PFR

PFR

ACC

ACC

ACCACC

ACC

ACC

OUTCOME IMPACT

การบรกิาร (Service)

การดแูล (Care)

การรกัษา

(Treatment)

Change happens!

Change is Constant

Shift happens

Is your OR safe ?

Would you want a loved one to be a patient at your OR ?

Would you want to be a patient in the unit where you work?

Can you say with 100 percent certainty that you believe that your OR does everything it can to protect its patients?

มีปัญหาอะไรบา้งที�ต้องการแก้ไขและพฒันา?

การหมุนเวียนอากาศสาํหรับห้องผ่าตดัได้มาตรฐานหรือไม่?

ระบบหมนุเวียนอากาศภายในห้องผา่ตดั

• ระบบปรับอากาศ ต้องสามารถหมุนเวียนอากาศภายในห้องผ่าตดั ได้จาํนวนไม่น้อยกว่า 25 เท่า(วสท)4ของปริมาตรห้องต่อชั&วโมง ( Air

Change per Hour,ACH) หรือ ไม่น้อยกว่า15 ACH (WHO,CDC)

• ระบบปรับอากาศควรสามารถปรับอุณหภูมไิด้ในช่วง 17-27ºC(วสท) โดยอุณหภูมิที&เหมาะสมขณะใช้ งาน 20-22 ºC (WHO) หรือ 20-23 ºC (CDC)

• ควบคุมความชื นสมัพทัธ ์ใหอ้ยู่ในช่วง 45-55%rh (วสท) หรือ 30-60%rh(WHO,CDC)

• หัวจ่ายลมภายในห้อง เป็นแบบจ่ายลมทศิทางเดียว (Unidirectional) มีลักษณะกระแสอากาศที&ราบเรียบ หรือปั& นป่วนน้อยที&สุด และควรจ่ายลมผ่านแผ่นกรองอากาศที&มีประสทิธิภาพสูง7 (High Efficiency Particulate Air) โดยหลีกเลี&ยงหน้ากากจ่ายลมที&มีการเหนี&ยวนําลมสูง

ระบบหมนุเวียนอากาศภายในห้องผา่ตดั

• ต้องรักษาความดนัอากาศของห้องให้เป็นบวกเมื&อเทยีบกับพื -นที&ข้างเคียงและควรเปิดระบบปรับและระบายอากาศตลอดเวลาแม้ไม่มีการใช้งาน เพื&อรักษาระดบัความชื -นและความดนัอากาศให้เป็นบวก โดยสามารถปรับให้อุณหภมูิให้สูงขึ -น ลดอัตราการหมุนเวียนและการระบายอากาศตามความเหมาะสม เพื&อประหยัดพลังงาน

• ท่อลมกลับ (Return Air) ที&มีการผสมกับ Fresh Air ที&เตมิเข้ามา ที&ด้านหลังเครื&อง AHU ต้องผ่านแผ่นกรองอากาศประสทิธิภาพสูงเพื&อกรองอากาศให้บริสุทธ์และป้องกันการสะสม

ฝุ่นละอองและเชื -อโรคที&คอยล์เยน็และถาดรองนํ -า

การระบายอากาศ ของห้องผา่ตดั

• ตอ้งมีเติมอากาศจากภายนอกเขา้หอ้งผ่าตดั จํานวนไม่นอ้ยกว่า 5 เท่า(วสท) ของปริมาตรหอ้งต่อชั :วโมง( Air Change per Hour,ACH) โดยผ่านแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง

• พดัลมดูดอากาศออก ควรต่อท่อออกไปปล่อยในระดบัสูง หรือในทิศทางที:ไม่หวนกลบัเขา้มาหาท่อเติมอากาศ หรือช่องเปิดของอาคาร

• การระบายอากาศโดยการเติมอากาศเขา้และดูดออกยงัคงตอ้งรกัษาระดบัความดนัอากาศสมัพทัธ ์ใหเ้ป็นบวกเสมอ

RRRR2222R (Routine to Research)R (Routine to Research)R (Routine to Research)R (Routine to Research)

การทาํวิจยัในงานประจาํ : กระบวนการแสวงหาความรูด้ว้ยวิธีการทางวิทยาศาสตรข์องผูป้ฏิบตังิานประจาํในการแกไ้ขปัญหาและยกระดบัการพฒันางานที)รบัผิดชอบดาํเนินการอยู่ตามปกต ิโดยจะมีผลลพัธเ์ป็นการพฒันาตนเองและเพื)อนผูร้ว่มงาน อนัจะสง่ผลกระทบในการบรรลเุป้าประสงคส์ูงสุดขององคก์รนั1น

Routine to Research

• Why ?• What types of researches • Who ?• Keys of the success• Funding • Research question, Study design• Minimize Bias• Research Management: Strategies• Publication and implementation

Research

Why ?

Why Routine to Research ?

• To improve quality of health and medical care

• To find a new system or new Rx regimen or guideline or service

• Better efficacy, Less toxic, Less expensive,

• Better compliance

• To get a good publication• Top ten international journals

• To earn a better service position• Aim to be a professional

• To earn an honorarium or income• Other personal reasons

• ทําอยา่งด ีทําใหม้คีณุภาพ �ไดอ้ยา่งไร1. คําถามงานวจิัยที�ดี2. ระเบยีบวธิวีจิัยที�ด/ีเหมาะสม3. ระบบสนับสนุนที�ด ี(รวมที�ปรกึษา)

ยกระดบังานประจาํใหเ้ป็นวจิยั R2R:

การวิจัยทางสขุภาพ

การวิจัย (Research)

= ศึกษา ค้นคว้า หาข้อเท็จจริง หรือเทคโนโลยีที%เหมาะสมภายในขอบเขตที%กาํหนด โดยใช้ระเบยีบวิธีทางวิทยาศาสตร์

การวิจัยทางสขุภาพ

= ............เกี%ยวกับสขุภาพ ทั-งในด้านส่งเสริมสขุภาพ ป้องกันโรค รักษาโรค และการฟื- นฟูสภาพ และการแก้ไขปัญหาการปฏิบตัิงานทางด้านสขุภาพด้วย

R2R ...คอืการวจิัยจากงานประจําโดยการแปลงประสบการณ์ส่วนตวัให้เป็นความรู้สาธารณะ และสามารถถ่ายทอดให้เกดิการแลกเปลี7ยนเรียนรู้กบัผู้อื7นได้

R2R

องค์ประกอบของRoutine to Research

โจทย์วจิัย

การนําผลการวจิยัไปใช้ประโยชน์

ผู้ทาํวจิัย

ผลลัพธ์ของการวจิัย

ต้องมาจากงานประจําแก้ปัญหาหรือพฒันางานประจํา

ต้องเป็นผู้ทาํงานประจาํนั-นเองเป็นผู้แสดงบทบาทหลักของการวจิัย

ต้องวดัที&ผลผลติ(Output)

ต้องวนกลับไปมีผลเปลี&ยนแปลงการทาํงานโดยตรงหรือต่อการบริการโดยตรง เป็นความสาํเร็จระดับผลลัพธ์(Outcome)

การวิจัย:การค้นหาข้อเทจ็จริงเกี&ยวกับปัญหาที&ต้องการหาคาํตอบ โดยใช้แบบแผนทางวิทยาศาสตร์

การวจิัยทั&วไป

1. สังเกต (observation) 2. ปัญหาการวจิัย (Research Question)3. กาํหนดสมมุตฐิาน(Hypothesis)4. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data

Collection)5. การวเิคราะห์เพื&อทดสอบสมมุตฐิาน

(Hypothesis Testing)

Routine to Research

1. สังเกต (Observation)2. ปัญหาการวจิัย (Research Question)3. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)4. การวเิคราะห์ข้อมูล(Data Analysis)5. การเสนอแนะการนําไปใช้ (Valid

Suggestion)

คือ การพฒันางาน พร้อมกับการพฒันาคน

ไม่หลงตดิกับคาํว่า วจิัย

R2R เป็นเครื&องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย

หัวใจของ R2R

แนวทางปฏิบตัิของ R2R อาจเริ&มจากคนเดียว สามารถได้

แตจ่ะมีพลงัมากขึ .นหากร่วมกนัทําเป็นทีม แตท่ี&สําคญัคือ

ต้องมีใจ มีภาวะผู้ นําและมีคนชว่ยยอ่ยความรู้ ให้เกิดการ

ถ่ายทอดความรู้

เงื&อนไขของ R2R• ต้องเริ&มต้นจากปัญหา/คาํถามวจิัยที&ได้จากหน้างาน หรือ งานประจาํที&ตนเองทาํ

และรับผิดชอบดาํเนินการอยู่

• ต้องเป็นการวจิัยจริงๆที&มีความน่าเชื&อถือ

• ต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหา/พัฒนา/ต่อยอด/ขยายผลงานที&ทาํอยู่

อย่างไร

• ไม่ควรจะเน้นที&งบประมาณในการดาํเนินการเป็นการเฉพาะมากนักควรใช้โอกาส

และงบประมาณที&ใช้ทาํงานประจาํอยู่แล้ว

เงื&อนไขของ R2R

• ต้องเริ&มต้นที&ใจอยากทาํ มีทัศนคตทิี&ดีต่อการทาํวจิัย ไม่ควรใช้วธิีการบังคับให้ทาํ

• ควรจะเหน็วธิีการเรียนรู้เพื&อพัฒนาตนเองและทีมงานในกระบวนการทาํ R2R

• ต้องไม่รู้สกึว่าเป็นภาระงานที&เพิ&มขึ -นต้องพจิารณาที& “งานประจาํ” เป็นหลัก เพราะแต่ละคนที&ทาํ R2R ทาํงานต่างตาํแหน่ง บทบาท หรือต่างหน้าที&กัน

• การทาํวจิัยในงานประจาํน่าจะเป็นการคดิแบบ initiation, creation หรือ innovation

R2R

•ไม่จาํเป็นต้องทาํเรื&องที&เป็นองค์ความรู้ใหม่ทั -งหมด แต่ต้อง เป็นการค้นคว้าแล้วมา

ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบท

• ควรมีผลงานที&ตีพมิพ์เผยแพร่เพื&อทาํให้ผู้อื&นร่วมเรียนรู้ได้

• เป็นเครื&องมือในการสร้างระบบพี&เลี -ยงในการทาํวจิัย และเอื -อเฟื-อกันในการทาํงาน

• เป็นเครื&องมือที&ช่วยคนงานในการสร้างความรู้ และสามารถ ย้อนกลับมาช่วยงาน

ประจาํที&ทาํอยู่

RESEARCHTraining

Service

Consultancy

CommunityDevelopment

LocalWisdom Cultural

Conservation & Change

GoodGovernance

KM

CoP

Practice Lab

Theory

Field Work

Efficiency Cost Benefit

IndustrialLink

r5-Rทํานุบํารุงศิลปะ

วฒันธรรม สิ7งแวดล้อม

r = routine R = research

การเริ&มต้นการวจิัยประเดน็สาํคัญคือ

การคดิโจทย์การวจิัย

• ความเห็น ขอ้รอ้งเรยีน ผูร้ับบรกิาร ผูเ้กี�ยวขอ้ง(Survey, Focus group, report, etc.)

• สถติ ิความเสี�ยง (Data, information)• ตวัชีGวัดคณุภาพที�ตอ้งรายงาน• Workflow lean and waste• CQI/Innovation• Goal or Policy• วจิัยองคก์าร• Others

ที�มาของคําถามงานวจิัย

LEAN_R2R

โจทย์วิจยัได้จาก• ความไม่พอใจในสิ&งที&ปฏบิัต ิในปัจจุบัน

– สาํรวจ สังเกต ว่างานปัจจุบันมีปัญหาหรือไม่

– การแก้ปัญหาแบบเดมิๆ จะทาํให้ดีขึ -นได้หรือไม่

– พลกิประเดน็ของการแก้ปัญหา พลกิวกิฤต เป็นโอกาส

• เป้าหมายขององค์กร หน่วยงาน

– ความต้องการของผู้เกี&ยวข้อง สามารถแก้ปัญหา

• การอ่าน หนังสือ วารสาร งานวจิัย ศกึษางานของคนอื&น

• พูดคุย พบปะผู้รู้ Conference

• วจิัยซํ -า (Replication)

การกาํหนดปัญหาวจิัย

• ตั -งคาํถามในสิ&งที&เป็นปัญหา

• อยากรู้เรื&องนั -นในแง่มุมใด

• ตกีรอบของปัญหาให้แคบ

เหมาะสมที&จะปฏบิตัจิริง

กรณีไมม่ปีัญหา:ใชม้ติขิองคณุภาพแทน Q: จะทําอยา่งไรใหค้ณุภาพดยีิ�งขึGน?

• Accessibility • Appropriateness • Acceptability • Competency • Continuity • Coverage

• Effective/ Efficiency

• Equity • Humanized/Holistic

• Responsive • Safety • Timeliness

หลายมิติก็ได้

จัดลําดบัความสําคญัของปัญหา

อะไรคอืปัญหาสําคญั• พดูคยุ ปรกึษากนัในทมี • เริ�มจากปัญหาเรง่ดว่น• ระดมสมอง• ใหค้ะแนน

หวัขอ้ คะแนน(0-5)

Relevance 5

Duplication -

Feasibility 4

Cost-effectiveness -

Timeliness 5

Ethics -

Acceptability -

Application 5

รวม 19/20

5 (5) (10) (15) (20) (25)

4 (4) (8) (12) (16) (20)

3 (3) (6) (9) (12) (15)

2 (2) (4) (6) (8) (10)

1 (1) (2) (3) (4) (5)

1 2 3 4 5

การจัดลําดบัความสําคญัของปัญหา (Risk)

ผล

กระ

ทบ

โอกาสเกดิ

คะแนนLow = 1-2Medium = 3-9High = 10-16 Extreme= 17-25

Problem analysis and statement

• Problem analysis (ทํางานเป็นทีม)

-เพื&อจะหาสาเหตขุองปัญหาให้ครอบคลมุประเดน็หลกัที&จะทําการศกึษา

-ระบขุอบเขตที&จําทําการศกึษาในครั .งนี .

• Problem statement แปลงประเดน็ปัญหาให้เป็นภาษาเขียน

• ปัญหาเกดิจากอะไร• RCA, 5why, ผังกา้งปลา

การคน้หาสาเหตขุองปัญหา

การคน้หาสาเหตขุองปัญหา

ปัญหาทกุอยา่งไมจ่ําเป็นตอ้งหาคําตอบดว้ยการทําวจิัย

แตอ่าจแกป้ัญหาดว้ยเครื�องมอืคณุภาพตา่งๆ

ปญัหาทีWไมค่วรทําวจิยั

Can the problem be solved by administrative change?Are there already solutions available that can be used?Is there data showing that it is not a significant

problem?

(Problem list/Literature review)

สรปุการทบทวนและเลอืกคาํถามงานวจิยั

ปัญหา?

ทบทวน

นําไปใช ้

มขีอ้มลูเพยีงพอ

ขอ้มลูไม่เพยีงพอ

ทําวจิัย

ตกผลกึ ต้องทาํวจิัยหรือไม่ เช่น..

?

?

(โครงรา่งงานวจิยั)

สร้างความรู้

ใช้ความรู้

X

����

การ Refine (เหลา) คําถาม ใหค้มชดั

• PICO for clinical problemsP = problemI = interventionC = comparisonO = outcome

“ปัจจัยหรอืสาเหตอุะไรบา้งที�มผีลตอ่การตั Gงครรภข์องเด็กวยัเรยีน”

P = การตั Gงครรภข์องเด็กวัยเรยีนO = ปัจจัยหรอืสาเหตุ

ตวัอยา่งการเหลาคําถามใหค้มชดั

คาํถาม: 1 คาํถามชัดไม๊, 2 เป็น r2r ไม๊, 3 research designจะเป็นแบบไหน

“บคุลากรในหน่วยงานปฏบิตัติาม VAP bundle ไดด้แีคไ่หนและมปีระเด็นใดที�สามารถปรับปรงุใหด้ขี ึGนไดบ้า้ง”

P = VAPO = การปฏบิตัติาม VAP bundle ของบคุลากร

ตวัอยา่งการเหลาคําถามใหค้มชดั

คาํถาม: 1 คาํถามชดัไม,๊ 2 เป็น r2r ไม,๊ 3 research designจะเป็นแบบไหน

“การดื�มนํGาปรมิาณ 500 ซซี ีจะตอ้งรอนานแคไ่หน จงึจะทําการตรวจอลัตราซาวดท์างนรเีวชฯ ไดช้ดัเจน”

P = การตรวจอลัตราซาวดท์างนรเีวชฯI = การดื�มนํGาปรมิาณ 500 ซซี ีO = เวลา

ตวัอยา่งการเหลาคําถามใหค้มชดั

คาํถาม: 1 คาํถามชดัไม,๊ 2 เป็น r2r ไม,๊ 3 research designจะเป็นแบบไหน

“จะตอ้งรอนานแคไ่หน จงึจะทําการตรวจอลัตราซาวดท์างนรเีวชฯ ได ้ชดัเจน เมื�อเปรยีบเทยีบระหวา่งการดื�มนํGาปรมิาณ 300 ซซี ีกบั 500 ซซี ี”PIO, C = ชดัเจน เปรยีบเทยีบระหวา่งการดื�มนํGาปรมิาณ 300 ซซี ีกบั 500 ซซี ี

ตวัอยา่งการเหลาคําถามใหค้มชดั

คาํถาม: 1 คาํถามชดัไม,๊ 2 เป็น r2r ไม,๊ 3 research designจะเป็นแบบไหน

• คาํถามวิจัย ทาํไมต้องทาํเป็นเรื&องใหญ่โต

• เอาความเป็นเดก็มาใช้ ขยันถาม อย่าอาย

• มีข้อมูล ต้องชอบวิเคราะห์

• คาํถามวิจัยมีอยู่ในการทาํงานทุกวัน ในการทาํงาน การเรียน การสอน ในห้อง conference

• มาทาํงานเช้า เยน็กลับ ต้องมีอะไรเปลี&ยน ในแนวความคดิ ความรู้ และประสบการณ์

การกาํหนดปัญหาวจิัย

• อย่าคดิว่า งาน Routine ไม่มีปัญหา ที&จะนํามาวิจัยต่อ

• อย่าคดิว่า Textbook คือ Bible

ความจาํเป็นและความสาํคัญต่อการพฒันางาน

การวิจัยเป็นการยืนยันว่า

การทาํงานพฒันาให้ดีขึ-นได้

การวิจัยเป็นพื-นฐานทางวิทยาศาสตร์

สาํหรับการปฏิบตัิงาน

การวิจัยเป็นภาระความรับผดิชอบ

ที%ตรวจสอบได้ของทกุวิชาชีพ

ความสาํคัญของการวิจัยที%มีต่อทกุวิชาชีพ

• คนทาํงานในทุกองค์กรจาํเป็นต้องมคีวามรู้เพ ื�อพฒันาการ

ตดัสนิใจเก ี�ยวกบัวธิกีารใหบ้รกิาร ผลการวจิยัจะช่วยให้

คนทาํงานสามารถเลือกวิธีการที%มีประสิทธิผล

• ก่อให้เกิดนวัตกรรมทางสขุภาพ

นวัตกรรม..หมายถึง..สิ%งใหม่ๆ ดังนี-

1. ไมเ่คยมใีครเคยทาํมาก่อนเลย

2. เคยทาํมาแล้วในอดีต แต่ได้มกีารรื-อฟื- นขึ-นมาใหม่

3. มกีารพฒันามาจากของเก่าที%มอียู่เดิม

นวัตกรรมทางสขุภาพ

• เป็นการคดิค้นสิ�งใหม่ๆ หรอืพฒันาดดัแปลงจากของเดมิ ที�มอียู่แลว้ให้ทนัสมยั และใชไ้ด้ผลดยี ิ�งข ึ.น

• เพ ื�อส่งเสรมิ ป้องกนั รกัษา และฟื. นฟูสุขภาพ ในทุกระดบั (ปจัเจก ครอบครวั และชุมชน) และปฐทภูม ิทุตยิภูม ิและตตยิภูม ิ

• โดยมุ่งให้เกดิการเปล ี�ยนแปลงของสุขภาพแบบองค์รวม

อะไรบา้งที%เป็นนวัตกรรมทางสขุภาพ

EBP.ต่างๆ

มาตรฐานต่างๆ

ฐานข้อมลูต่างๆ

สิ%งประดิษฐ์ต่างๆ

ความสาํคัญของการวิจัยที%มีต่อทกุวิชาชีพ

• ทุกวชิาชพีควรจะอาศยัผลการวจิยัในการพฒันาระบบ

การให้บริการสขุภาพ ความรู้จากการวจิยัจะช่วยให้

สามารถพรรณนา อธบิาย พยากรณ์ และควบคุมการ

ทาํงานได้อย่างถูกต้อง ปลอดภยั

(Burns and Grove 1995 : 4-6)

• การพรรณนา (Description)

การพรรณนาเป็นการบง่ช ี.ธรรมชาตแิละคุณลกัษณะของปรากฎการณ์

ทางการทาํงาน และความสมัพนัธ์ของปรากฎการณ์น ั.น ๆ

• การอธิบาย ( Explanation)

การอธบิายเป็นการขยายความหรอืช ี.แจงให้เหน็ความสมัพนัธ์ระหว่าง

ส ิ�งต่างๆมคีวามกระจา่ง ชดัเจน และแสดงเหตุผลว่าทาํไมเหตุการณ์น ั.นๆจงึ

เกดิข ึ.น

• การพยากรณ์ ( Prediction)

การพยากรณ์เป็นการประมาณหรอืคาดคะเนโอกาสของสิ�ง ๆ

หน ึ�งว่าจะเกดิข ึ.นในสถานการณ์ที�กาํหนดไว้หรอืเป็นการประมาณโอกาสที�

จะเกดิผลลพัธ์ (Outcome) ในสถานการณ์หน ึ�งๆ

• การควบคมุ (Control)

การควบคุมเป็นความสามารถในการจดักระทาํเก ี�ยวกบัการใหก้าร

ที�จะก่อใหเ้กดิผลลพัธ์ได้ตามต้องการ

การพฒันางานวิจัย• การวจิยัร่วมกบัทมีดูแลผูป้่วยโดยทมีสหสาขาวชิาชพี

• งานวจิยัเฉพาะของแต่ละวชิาชพีในหอผูป้่วย

• มงีบประมาณสนบัสนุนทุนวจิยั

1.คณะกรรมการพฒันาระบบคุณภาพ (HA) สนับสนนุให้เกิด

การพฒันาคุณภาพในหอผูป้่วยอย่างมปีระสิทธิภาพ

- โดยจดัให้มกีารประชุมหรอืกจิกรรมแลกเปล ี�ยนเรยีนรู้ระหว่างทมีดูแลผูป้่วย

- เรยีนรู้จากผูม้ปีระสบการณ์ท ั.งภายในและภายนอกองค์กร

- คดัเลอืกทมีดูแลผูป้่วยนาํเสนอผลงาน

ปัจจัยที%ทาํให้ RtoR สาํเร็จ

2. ทีมนาํทางคลินิก (Clinical leadteam:CLT ) ที�

ดูแลตามกลุม่ผูป้่วยที�มารบับรกิารเขม้แขง็

3. หน่วยงานวิจัย

– ฝึกอบรมเพ ื�อพฒันาศกัยภาพทางด้านการวจิยั

– เป็นท ี�ปรกึษาด้านระบาดวทิยาและสถติิ

– เป็นผูเ้ช ี�ยวชาญใหค้าํแนะนาํด้านระเบยีบวธิวีจิยั

– พจิารณาและสนบัสนุนทุนวจิยัประจาํปี

คณุลักษณะของการวิจัย

1. การวจิยัเริ�มต้นจาก

คาํถามหรอืปญัหา

2. การวจิยัจาํเป็นจะ

ต้องมวีตัถุประสงค์

3. การวจิยัดาํเนนิการตามแผน

ดาํเนนิการที�ความเฉพาะเจาะจง

4. การวจิยัจะแบ่งปญัหาหลกั

ออกเป็นปญัหาย่อย

5. ปญัหาวจิยั คาํถามวจิยั และสมมตฐิาน

เป็นเครื�องช ี.ทางในการวจิยั

6. การวจิยัยอมรบัขอ้

สนันษิฐานที�สาํคญั

7. การวจิยัจาํเป็นจะต้องรวบรวม

และตคีวามขอ้มูลที�พยายามจะแก้

ปญัหาซึ�งเป็นจุดเริ�มต้นของการวจิยั

8. ธรรมชาตขิองการวจิยัเป็นวงจร

ข้อเสนอแนะเกี%ยวกับสาขาที%ควรจะทาํการวิจัย

เน้นหลักการ “SIMPLE”

S = Surgery SafetyI = Infectious Control

M = Medication SafetyP = Patient Care ProcessL = Line TubingE = Emergency Response

จรรยาบรรณในการวิจัย1. นกัวจิยัต้องซื�อสตัย์และมคีุณธรรมในทางวชิาการและการจดัการ

2. นกัวจิยัต้องตระหนกัถงึพนัธกรณใีนการทาํงานวจิยัตามขอ้ตกลงที�ทาํไว้กบัหน่วยงานที�สนบัสนุนการวจิยั และต่อหน่วยงานที�ตนสงักดั

3. นกัวจิยัต้องมพี ื.นฐานความรู้ในสาขาวชิาการที�ทาํวจิยั

4. นกัวจิยัต้องมคีวามรบัผดิชอบต่อสิ�งท ี�ศกึษาวจิยัไม่ว่าจะเป็นส ิ�งมชีวีติหรอืไม่มชีวีติ

5. นกัวจิยัต้องเคารพศกัดิHศรแีละสทิธมินุษย์ที�ใชเ้ป็นตวัอย่างในการวจิยั

6. นกัวจิยัต้องมอีสิระทางความคดิ โดยปราศจากอคตใินทุกข ั.นตอนของการทาํวจิยั

7. นกัวจิยัพงึนาํผลงานวจิยัไปใชป้ระโยชน์ในทางที�ชอบ

8. นกัวจิยัพงึเคารพความคดิเหน็ทางวชิาการของผูอ้ ื�น

9. นกัวจิยัพงึมคีวามรบัผดิชอบต่อสงัคมทุกระดบั

เป็นไปไมไ่ด้ ?

ทาํไมไ่ด้ ?

หรือไมไ่ด้ทาํ ?

• การวจิยัเชงิประวตัศิาสตร์ (Historical Research)

• การวจิยัเชงิพรรณนา (Descriptive Research)

• การวจิยัเชงิทดลอง (Experimental Research)

ประเภทของการวิจัย

เกณฑ์ในการจาํแนกประเภทของการวิจัย

- การวจิยัพ ื.นฐาน

- การวจิยัประยุกต์

- การวจิยัแบบทดลอง

- การวจิยัแบบกึ�งทดลอง

- การวจิยัแบบไม่ทดลอง

- การวจิยัเชงิประวตัศิาสตร์

- การวจิยัร่วมสมยั

- การวจิยัเชงิอนาคต

- การวจิยัเชงิปรมิาณ

- การวจิยัเชงิคุณภาพ

1. แบง่ตามการนาํไปใช้

4. แบง่ตามลักษณะของข้อมลู

3. แบง่ตามเวลา

2. แบง่ตามระดับของการควบคุมตัวแปร

การนาํเอาไปใช้การนาํเอาไปใช้

การวจิยั

พ ื.นฐาน

การวจิยั

ประยุกต์

แบบของข้อมลูแบบของข้อมลู

การวจิยั

เชงิปรมิาณ

การวจิยั

เชงิคุณภาพ

วัตถปุระสงค์วัตถปุระสงค์

การวจิยั

เชงิพรรณนา

การวจิยั

เชงิสาํรวจ

การวจิยั

เชงิอธบิาย

การวจิยั

สหสมัพนัธ์

ประเภทของการวิจัย

กระบวนการวิจัย1. การกาํหนดปัญหา เพื%อนาํมาใช้ในตั-งชื%อเรื%อง และวัตถปุระสงค์การวิจัย

2. การทบทวนวรรณกรรม และ ผลงานวิจัยที%เกี%ยวข้อง

3. การวางกรอบทฤษฎีหรือ แนวคิดในการวิจัย

4. การตั-งสมมติฐาน

5. การกาํหนดตัวแปรที%ใช้ในการวิจัย

6. การกาํหนดวิธีวัดตัวแปร

7. การออกแบบการวิจัย

8. ประชากรและการเลือกตัวอย่าง

9. เครื%องมอืที%ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู

10. การวิเคราะห์ข้อมลูและสถิติที%ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู

ปัญหาการวิจัย (Research Problem)

การกาํหนดปญัหาวจิยั เป็นขั-นแรกและขั-นที%สาํคัญที%สดุใน

กระบวนการวจิยั เป็นตวับ่งช ี.เป้าหมายปลายทางของการวจิยั เป็นส ิ�งท ี�บอกให้

ทราบว่าเราต ั.งใจทาํวจิยัอะไร (What)

ปญัหาวจิยัท ี�ดจีะมีความเฉพาะเจาะจงและมีความชัดเจน ข ั.นตอน

ต่อไปของกระบวนการวจิยัได้รบัอทิธพิล และจะมคีวามสอดคลอ้งกบัปญัหาวจิยั

ปญัหาวจิยัเป็นสถานการณ์ที%จาํเป็นจะต้องแก้ปัญหา ปรับปรงุ ดัดแปลงให้ดีขึ-น ยงัเป็นความแตกต่างระหว่างสิ�งท ี�เป็นอยู่กบัส ิ�งท ี�ควรเป็น

โดยสรปุคือ ปัญหาที%จาํเป็นจะต้องแก้ไข เป็นสิ%งอธิบายว่าเราจะศึกษาอะไร

การกาํหนดปัญหาการวิจัย

ปัญหาในการวิจัย เป็นสิ%งที%ก่อให้เกิดความสงสัย ใคร่รู้คาํตอบ

1. แหล่งที%มาของปัญหาการวิจัย

2. การกาํหนดประเด็นสาํหรับปัญหาการวิจัย

3. เกณฑ์ในการประเมนิปัญหา

1. แหล่งที%มาของปัญหาการวิจัย

ได้มาจาก 1 ประสบการณ์ทางคลนิกิ ของผูท้าํวจิยั

2. ขอ้เสนอแนะจากการทาํวจิยัของคนอื�น

3. ปญัหาที�หน่วยงาน ผูน้าํทางวชิา การ แหลง่ทุน หรอืผูอ้ ื�นเสนอแนะ

4. จากการอ่านหนงัสอืหรอืวรรณกรรม

5. จากบทคดัย่อหรอืงานวจิยั

6. ประเดน็ทางสงัคม

7. ทฤษฎี

8. ความคดิจากบุคคลอื�น

แหล่งของปัญหาวิจัย

ปญัหาวจิยัเก ี�ยวขอ้งกบัตวั (P) 4 ตวั ดงัน ี.

1. People (คน)

2. Problems (ปญัหา)3. Programs (โปรแกรม)4. Phenomena (ปรากฏการณ์)

หาหวัข้อวจิัยจากตัวชี -วัด1. ผลลพัธด์า้นผลติภณัฑแ์ละบรกิาร (41 ตวัชี�วดั)

1.1 อตัราการเสียชีวิตของผู้ป่วย AMI

1.2 อตัราการเสียชีวิตของผู้ป่วย stroke

1.3 อตัราการเสียชีวิตของผู้ป่วย CABG

1.4 อตัราการเสียชีวิตของผู้ป่วยผ่าตดั (perioperative mortality rate)

1.5 อตัราการตายปริกาํเนิด (perinatal mortality rate)

1.6 อตัราการตายของเดก็แรกเกิด (neonatal mortality rate)

1.7 อตัราผู้ป่วย AMI ที:ได้รบัยาละลายลิ:มเลือดภายใน30 นาที เมื:อมาถึง รพ.

1.8 อตัราผู้ป่วย stroke ที:ได้รบัยาละลายลิ:มเลือดภายใน60 นาทีเมื:อมาถึง รพ.

1.9 อตัราผู้ป่วย AMI ที:ได้รบั ASA เมื:อแรกรบั

1.10 อตัราผู้ป่วย AMI ที:ได้รบั ASA เมื:อกลบับ้าน

1.11 อตัราผู้ป่วย AMI ที:ได้รบัยา Beta blocker เมื:อแรกรบั

1.12 อตัราผู้ป่วย AMI ที:ได้รบัยา Beta blocker เมื:อกลบับ้าน

1.13 อตัราผู้ป่วย AMI ที:ได้รบัการแนะแนวให้อดบุหรี:

1.14 อตัราการได้รบัยาปฏิชีวนะใน Septic shock

Thailand Hospital Indicator Project : THIP

หาหวัข้อวจิัยจากตัวชี -วัด1.15 อตัราการได้รบัยาปฏิชีวนะแบบป้องกนัในการผ่าตดั Hip arthroplasty

1.16 อตัราการได้รบัยาปฏิชีวนะแบบป้องกนัในการผ่าตดั Knee arthroplasty

1.17 อตัราการได้รบัยาปฏิชีวนะแบบป้องกนัในการผ่าตดั CABG

1.18 อตัราการได้รบัยาปฏิชีวนะแบบป้องกนัในการผ่าตดั Abdominal hysterectomy

1.19 อตัราการเกิด VAP ภาพรวม

1.20 อตัราการเกิด VAP ของผู้ป่วยICU

1.21 อตัราการเกิด CAUTI ภาพรวม

1.22 อตัราการเกิด CAUTI ของผู้ป่วยICU

1.23 อตัราการเกิด CABSI ภาพรวม

1.24 อตัราการเกิด CABSI ของผู้ป่วยICU

1.25 อตัราการติดเชืWอแผลผ่าตดัเปลี:ยนข้อสะโพก

1.26 อตัราการติดเชืWอแผลผ่าตดัเปลี:ยนข้อเข่า

1.27 อตัราการติดเชืWอแผลผ่าตดั Abdominal Hysterectomy

1.28 อตัราการติดเชืWอแผลผ่าตดั CABG

1.29 ระยะเวลาวนันอนเฉลี:ยผู้ป่วย AMI

หาหวัข้อวจิัยจากตัวชี -วัด1.30 ระยะเวลาวนันอนเฉลี:ยผูป้่วย stroke

1.31 ระยะเวลาวนันอนเฉลี:ยผูป้่วย c/s

1.32 ระยะเวลาวนันอนเฉลี:ยผูป้่วย Upper GI hemorrhage

1.33 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนั โดยไม่ได้วางแผนในผูป้่วย AMI

1.34 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนั โดยไม่ได้วางแผน ในผูป้่วยstroke

1.35 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนั โดยไม่ได้วางแผน ในผูป้่วย c/s

1.36 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนัโดยไม่ได้วางแผนในผูป้่วยUpper GI hemorrhage

1.37 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนั โดยไม่ได้วางแผน ในผูป้่วย Asthma

1.38 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนั โดยไม่ได้วางแผน ในผูป้่วย COPD

1.39 อตัราการรบักลบัเข้าโรงพยาบาลภายใน 28 วนั โดยไม่ได้วางแผน ในผูป้่วย Craniotomy

1.40 อตัราการผา่ตดัซํWาในการอยู่โรงพยาบาลครั Wงเดียวกนั

1.41 อตัราการเกิดแผลกดทบัThailand Hospital Indicator Project : THIP

หาหวัข้อวจิัยจากตัวชี -วัด

2. ผลด้านการมุ่งเน้นผูป้่วยและผูร้บัผลงานอื:น (6 ตวัชีWวดั)2.1 ร้อยละความพึงพอใจของผู้ป่วยนอก (ภาพรวม)

2.2 ร้อยละความพึงพอใจของผู้ป่วยใน (ภาพรวม)

2.3 ร้อยละของผู้ป่วยนอกที:จะกลบัมาใช้บริการซํWา

2.4 ร้อยละของผู้ป่วยในที:จะกลบัมาใช้บริการซํWา

2.5 ร้อยละของผู้ป่วยนอกที:จะแนะนําญาติหรือคนรู้จกัมาใช้บริการ

2.6 ร้อยละของผู้ป่วยในที:จะแนะนําญาติหรือคนรู้จกัมาใช้บริการ

3. ผลด้านการเงิน/การตลาด ( 6 ตวัชีWวดั)3.1 Current ratio

3.2 Quick ratio

3.3 Fixed asset turnover

3.4 Day in account receivable

3.5 Operating margin

3.6 Return on asset (ROA)Thailand Hospital Indicator Project : THIP

หาหวัข้อวจิัยจากตัวชี -วัด4. ผลด้านทรพัยากรบคุคล/การเรียนรู้ (13

ตวัชีWวดั)

4.1 อตัราการลาออก(Turn Over rate)4.1.1 แพทย์

4.1.2 พยาบาล

4.1.3 Allied health

4.1.4 สายสนับสนุน

4.2 อตัราความพึงพอใจของบคุลากร4.2.1 แพทย์

4.2.2 พยาบาล

4.2.3 Allied health

4.2.4 สายสนับสนุน

4.3 Training hour per person per year4.3.1 Training hour per person per year (แพทย)์

4.3.2 Training hour per person per year (พยาบาล)

4.3.3 Training hour per person per year (Allied health)

4.3.4 Training hour per person per year (สายสนับสนุน)

4.4 Employee work-related injury

Thailand Hospital Indicator Project : THIP

หาหวัข้อวจิัยจากตัวชี -วัด5. ผลด้านประสิทธิผลขององคก์ร (1 ตวัชีWวดั)

5.1.1 ED Time - In, Time - out (ค่าเฉลี:ย)

5.1.2 ED Time - In, Time - out (ร้อยละ)

6. ผลด้านการนําและความรบัผิดชอบต่อสงัคม (1 ตวัชีWวดั)6.1 ร้อยละของขยะรีไซเคิล

7. ผลด้านการสร้างเสริมสขุภาพ ( 7 ตวัชีWวดั)7.1 Employee

7.1.1 Employee health check-up

7.1.2 Employee health status : BMI

7.1.3 Employee health status : Health Behavior Smoking

7.1.4 Employee health status : อตัราภาวะอ้วนลงพงุ

7.2 Patient

7.2.1 ความสามารถในการดแูลตนเองของผู้ป่วย Asthma

7.2.2 ความสามารถในการดแูลตนเองของผู้ป่วย COPD

7.2.3 ความสามารถในการดแูลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน

การดูแลผู้ป่วยที&เสี&ยงสูงและบริการที&มีความเสี&ยงสูง(Care of High-Risk Patients and Provision of High-R isk Services)

ผู้ป่วยที&มีความเสี&ยงสูง • เดก็อายุน้อย

• ผู้สูงอายุ

• ผู้ทุพลภาพ

• ผู้ที&เสี&ยงต่อการทารุณกรรม

• ผู้ป่วยฉุกเฉินที&สับสนหรือไม่รู้สึกตัว

• ผู้ป่วยที&ได้รับบาดเจบ็หลายอวัยวะ

• ผู้ป่วยที&มีภมูคิุ้มกันบกพร่อง

• ผู้ป่วยที&มีโรคตดิต่อ

บริการที&มีความเสี&ยงสูง • การฟอกเลือด

• การช่วยฟื-นคืนชีพ

• การใช้เลือดและส่วนประกอบของเลือด

• การใช้เครื&องผูกยดึ

• การให้ยาเพื&อให้หลับลึก (moderate and deep sedation)

• การให้ยาเคมีบาํบดั

• ยาที&ต้องระมัดระวังสูง

คุณค่าของการทาํวจิัยต่อคุณภาพบริการ

1) การวิจัยทาํให้ต้องปรับปรุงโครงสร้าง และกระบวนการทาํงานประจาํ2) การวิจัยทาํให้ผู้วิจัยเกิดกระบวนการคดิที&เป็นระบบ 3) ระเบียบวิธีวิจัยสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ในการพฒันาคุณภาพ4) การวิจัยเป็นแรงผลักดนัที&จะยกระดบัผลลัพธ์ของงานบริการทางอ้อม5) การวิจัยเป็นพื -นฐานให้มีการตดิตามข้อมูลต่อเนื&อง6) การวิจัยช่วยตอบคาํถามที&ค้างคาใจ

การใช้ผลงานวจิัยกับคุณภาพบริการ

1) ลดระยะเวลาและทรัพยากรที&ต้องใช้ในการลองผิดลองถูก

2) จาํเป็นต้อง scan ข้อมูลรอบด้านอย่างชาญฉลาด

3) จาํเป็นต้องพจิารณาให้สอดคล้องกับบริบท

4) การยอมรับความไม่สมบูรณ์ ไม่ตั -งเป้าที&สมบูรณ์ จะทาํให้ขับเคลื&อนการพัฒนาได้อย่างต่อเนื&อง

5) สามารถทาํงานวิจัยง่ายๆ ซ้อนการใช้ผลงานวิจัย

CQIOutcomes Research

Traditional Research

เป้าหมายพฒันาการดแูล

ผูป้่วยผลลพัธก์ารดแูล

ผูป้่วยพิสูจนส์มมตฐิานและความสมัพนัธ์

ประชากรศึกษา นอ้ย นอ้ยถึงมาก ปานกลางถึงมาก

การสุม่ตวัอยา่ง ตามสะดวก เทียบกบั controls random

Reliability, Validity, Sensitivity ในการวดั

ต ํ )า ปานกลาง สูงสุด

สถิติDescriptive &

Bivariate

Descriptive, Bivariate or Multivariate,

Correlation, Predictive

เช่นเดียวกบั Outcomes Research

Research & CQI

Jacqueline Fowler Byers. J of Healthcare Quality. 2002; 1: 4-8, อา้งใน Siriraj R2R

Opportunities for Research, Improvement,& Innovatio n

• Locally effective & affordable solutions• Cost-effectiveness of solutions• Counterfeit & substandard drugs• Competences, training & skills• Maternal & newborn care• Health care-associated infections• Extent and nature of unsafe care• Knowledge translation• Safe injection practices• Unsafe blood practices

WHO Patient Safety Research Priority Areas I

• Communication & coordination• Safety culture• Latent organizational failures• Safety indicators• Human factors for procedures• Health information technology & systems• Role of patient• Human factors in devices• Adverse drug events

WHO Patient Safety Research Priority Areas II

Types of Research

• Basic science : cellular, molecular• Etiology : infectious, non-infectious diseases (behavior,

environment), pathogenesis

• Epidemiology : magnitude of problem

• Clinical spectrums/features• Natural history : prognosis and factors

• Diagnostic and/or monitoring• Treatment /intervention: Clinical trial

• Prevention : vaccine, behavior, environmental

• Public health : policy, health economy, etc.

• R & Development : novel drug, bio products, vaccine• Translational Research

Types of Clinical Researches

• Pathogenesis• Clinical spectrums• Natural history• Diagnostic testing• Monitoring and predictive markers• Therapeutic drugs/strategies• Prevention and/or vaccine

Clinical Trial

Translational Research

BasicResearch

R&D

Clinical Trials

Translational

Clinical Uses

We need a Team !

Above 5

- Rapid Bioassays (9)- Targeted Drug Delivery

(8)- Tissue Engineering(6)

- Improved Diagnostic and Surgical Methods(6)

3 - 5 - In-silico drug R&D(5)

Genetic Screening (4)

- Drug Development from Screening (4)

- Monitoring and Control for Disease Management (4)

- Enhanced Medical Recovery (4)

- Therapies based on Stem Cell R&D (4)

- Immunotherapy (3)

- Improved Treatments from Data Analysis (3)

Below 3

- Gene Therapy (9) -Drugs Tailored to Genetics (2)

- Hospital Robotics (1)

- Xenotransplantation (1)

- Artificial Muscles and Tissue (1)

- Memory Enhancing Drugs (0)

Ranking by Net Assessment scoreCompare with Internet (max = 12 point)

Research: Who manage ?

• Country level• Regional level• Hospital level• Investigator level

Types of Organizations

• Research Institute with full-time staffs• Research Center• Research Unit• Individual researcher

Which one do you in charge of ?

Designing Research Study

Research Question

Observational Experimental

Prospective: Pre/post

Intervention ?

No Yes

Cross sectional

Cohort

Prospective

1

>1

No. of Visit

Retrospective

New data vs available data

VS

Clinical Trial

กระบวนการนาํแนวคิด RtoR สู่การปฏิบตัิในหน่วยงาน/หอผูป้่วย

1. การพฒันาทีมดแูลผูป้่วย (Care team)

2. การจัดการ ความรู้ (Knowledge management) 3. การวิจัย (Research)

2. การกาํหนดประเด็นสาํหรับปัญหาการวิจัย

เมื%อผูว้ิจัยได้ปัญหาการวิจัยแล้ว ควรแยกแยะประเด็นปัญหาเป็นปัญหาย่อยๆหลายๆ ประเด็น

โดยที%ลักษณะของประเด็นปัญหาย่อยควรสอดคล้องหรือสัมพนัธ์กับปัญหาหลัก แต่ละปัญหาย่อยไม่ควรซํ-าซ้อนกัน และมีความชัดเจน

– ปัญหาวิจัยจะช่วยในการตั-งชื%อเรื%องวิจัย

– ปัญหาย่อยๆ จะใช้ในการตั-งวัตถปุระสงค์ของการวิจัย

1. เป็นปัญหาวจิยัท ี�วจิยัได้หรอืไม่ มคีาํตอบหรอืไม่ ปลอดภยัหรอืไม่

2. มเีงินทนุเพยีงพอหรอืไม่

3. มเีวลาเพยีงพอหรอืไม่

4. มเีครื%องอาํนวยความสะดวกในการทาํวจิยัหรอืไม่

5. ผูว้จิยัมีความสามารถที�จะวจิยั ปญัหาน ั.นหรอืไม่

6. ปญัหาน ั.นมคีวามสาํคัญเพยีงพอ หรอืไม่ ถา้ตอบใช่ในทุกขอ้สามารถลง

มอืทาํวจิยัในเรื�องน ั.นๆ ได้

3. เกณฑ์ในการประเมนิปัญหา

ข้อพงึระวังในการเลือกปัญหาวิจัย

1. เลอืกปญัหาที�ผูอ้ื%นบอกให้/เสนอแนะ โดยที�ตนเองไมม่คีวามรู้และความสนใจ

2. เลอืกปญัหาที�กว้างเกินไป จนกระท ั�งผูว้จิยัไมม่เีวลา เงนิ และกาํลงังานที�จะทาํใหเ้สรจ็ได้

3. เลอืกปัญหาที%ไมส่ามารถตั-งสมมติฐานเพ ื�อการทดสอบได้

4. เลอืกปญัหาที�ไมม่คีวามสาํคัญท ั.งทางทฤษฎแีละการปฏบิตั ิ

5. เลอืกปญัหาแลว้ไมม่กีารวางแผนล่วงหน้าถงึวธิกีารเกบ็ขอ้มูล เครื�องมอืท ี�ใชใ้นการ

เกบ็ขอ้มูล ตลอดจนการวเิคราะห์ขอ้มูล ซึ�งเป็นผลทาํให้ไมส่ามารถทาํวิจัยได้เสร็จ

ภายในเวลากาํหนด

ขั-นตอนในการเลือกปัญหาวิจัย

ขั-นที% 1 ระบขุอบเขตปญัหาหรอืประเดน็ปญัหาที�ผูว้จิยัสนใจ

ขั-นที% 2 แบ่งขอบเขตกว้าง ๆ หรอืประเดน็ใหญ่ออกเป็นขอบเขตที�แคบลง

ขั-นที% 3 เลือกขอบเขตย่อยหรอืประเดน็ปญัหาย่อยที�เราสนใจจะทาํวจิยั

ขั-นที% 4 ตั-งคาํถามวิจัย เป็นคาํถามซึ�งเราจะศกึษาเพ ื�อหาคาํตอบ

ขั-นที% 5 กาํหนดวัตถปุระสงค์ของการวิจัย กาํหนดท ั.งวตัถุประสงค์

ท ั�วไปและวตัถุประสงค์เฉพาะ

การนาํเสนอปัญหาวิจัย

ข้อมลูที%แสดงว่าสิ%งที%ศึกษานั-นเป็นปัญหา

ระบขุอบเขตของปัญหา

ความจาํเป็นที%จะต้องศึกษา

คุณค่าของการวิจัย

เป้าหมายโดยรวมของการวิจัย

หลักการเขยีนสภาพและความสาํคัญของปัญหา

1. พยายามเขยีนใหต้รงปญัหา เน้นปัญหาให้ถกูจดุ

2. พยายามเขยีนใหค้รอบคลมุประเด็นที�สาํคญัของปญัหา

3. ไมค่วรเขยีนความสาํคญัของปญัหาใหส้ั-นเกินไป

4. ไมค่วรนาํข้อมลูอื%นๆ ซึ%งไมเ่กี%ยวข้องมากนกัมาใส่อ้างองิมากเกนิไป

5. ถา้นาํเอาผลงานวจิยัของผูอ้ ื�นมากลา่วไว้ จะต้องมกีารอ้างอิง

6. การเขยีนในแต่ละหนา้ ต้องมกีารแบง่ตอน แบง่ย่อหน้าใหเ้หมาะสม

7. การเขยีนต้องใหเ้น ื.อเรื�องมคีวามสัมพนัธ์กันอย่างต่อเนื%อง

8. ในส่วนท้ายของความสาํคญัของปญัหา ต้องเขียนขมวดท้าย

ชื%อเรื%อง

1. มคีวามกะทัดรัด ชัดเจน และมีความหมายในตวัมนัเอง

2. ในช ื�อเรื�องน ั.น คาํหรือข้อความที%สาํคัญควรมาก่อนหรอืควรจะข ึ.นต้นก่อน

3. ช ื�อเรื�องควรประกอบด้วยคาํที�มคีวามสาํคญัเท่าน ั.น เลี%ยงคาํซํ-าๆ คาํที%ไม่จาํเป็น และคาํท ี�อาจทาํใหเ้ขา้ใจความหมายผดิ

4. ช ื�อเรื�องต้องครอบคลมุปัญหา และสอดคล้องกับเนื-อหาที�ทาํ

5. เพ ื�อใหช้ ื�อเรื�องสามารถสื�อความหมายได้ ช ื�อเรื�องควรระบุ

ก. ตัวแปรที�จะศกึษา

ข. ความสัมพนัธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ในปญัหาน ั.น ๆ

ค. ขอบเขตของการศึกษา เช่น บอกลกัษณะตวัอย่าง สาขาที�ศกึษา เป็นตน

ประเด็นในการสื%อความหมายของชื%อเรื%อง

• ศึกษาอะไร

• ศึกษาใคร

• ศึกษาที%ใด

• ศึกษาอย่างไร

ตัวอย่างชื%อวิจัย• ปัจจัยที%มอีิทธิพลต่อภาวะสขุภาพของญาติผูด้แูลผูใ้หญ่ป่วยเรื-อรังที%บา้นในเขตภาคเหนือ

• ผลการดาํเนินงานกองทนุหลักประกันสขุภาพท้องถิ%น

• พฒันาระบบการดแูลสขุภาพโดยมุง่เน้นการเสริมสร้างพลังอาํนาจญาติผูด้แูลผูป้่วยเรื-อรังที%บา้นในเขตภาคเหนือ

• สถานการณ์ ปัญหา ความต้องการและพลังอาํนาจของผูป้่วยเรื-อรัง

• การพฒันาโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอาํนาจผูป้่วยเรื-อรัง

• การสร้างระบบเครือข่ายญาติผูด้แูลผูป้่วยเรื-อรังที%บา้นในเขตภาคเหนือ

• การจัดระบบฐานข้อมลูญาติผูด้แูลผูป้่วยเรื-อรังที%บา้นในเขตภาคเหนือ

• การถ่ายทอดโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอาํนาจญาติผูด้แูลผูป้่วยเรื-อรังที%บา้น

คาํถามวจิัยลักษณะของคาํถามวิจัย

ที&ดี1. เป็นคาํถามที.เมื.อตอบคาํถามแลว้สามารถนาํไปใชไ้ด ้(usable)

2. คาํถามวจิยัทางควรเป็นคาํถามในปัจจุบนั (now questions)

3. คาํถามวจิยัตอ้งชดัเจน (Clear)

4. คาํตอบของคาํถามวจิยัไม่ใช่คาํตอบที.จะตอบวา่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” 5. คาํถามประเภท5. คาํถามประเภท

ทาํไม (Why) เป็นคาํถามที.คาํตอบมีคุณค่าสูงกวา่คาํถามประเภทอะไร (What)

การกาํหนดวัตถุประสงค์

• วัตถุประสงค์หลัก (main objectives ) หรือวัตถุประสงค์ทั&วไป

เป็นข้อความที&บง่บอกเป้าหมายของการวิจยัในภาพรวม เป็นข้อความที&บอกถึงความสมัพนัธ์ สิ&งที&เราจะหาคําตอบ หรือสิ&งที&เราจะสร้างขึ .น

• วัตถุประสงค์ย่อย (Sub-objectives ) หรือวัตถุประสงค์เฉพาะ

เป็นวตัถปุระสงค์เฉพาะที&เราจะศกึษา ซึ&งอยูใ่นภายในขอบเขตของวตัถปุระสงค์หลกั

วัตถุประสงค์ของการวจิัย

� เพื&อบง่ชี .

� เพื&อศกึษาระดบัของปัญหา

� เพื&อพรรณนาสภาพปัจจบุนั

� เพื&ออธิบายเหต ุหรือปรากฏการณ์

� เพื&อศกึษาความสมัพนัธ์ของตวัแปร

� เพื&อทํานายตวัแปรตามโดยใช้ตวัแปรต้นเป็นตวัทํานาย

� เพื&อหาสาเหตุ

� เพื&อศกึษาผลกระทบ

� เพื&อศกึษาประสิทธิผล

� เพื&อเปรียบเทียบ

ขอบเขตการวจิยั

1. กาํหนดขอบเขตการวิจัยของประชากรที&ต้องการศกึษา หลังจากที&ได้ทบทวนประเดน็ให้ชัดเจนแล้ว

2. กาํหนดขอบเขตการวิจัยของตวัแปรที&ต้องการศึกษา ซึ&งจะสามารถทาํได้หลังจากได้ทบทวนวรรณกรรม และเอกสารอ้างองิต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนแล้ว

3. ในส่วนของสถานที&และเวลาที&ทาํวิจยั เมื&อกาํหนดขอบเขตไว้ชัดเจนแล้ว จะทาํให้การวางแผนและการตดิต่อประสานงาน ทาํได้อย่างรวดเร็ว

การทบทวนวรรณกรรม (Literature review) เป็นการศกึษาเอกสาร ตํารา วารสาร และรายงานการวิจยั เพื&อเป็นการเพิ&มพนูความรู้เกี&ยวกบัแนวคิด ทฤษฎี วิธีการวิจยัและปัญหาวิจยัในประเดน็ปัญหาผู้ วิจยัจะศกึษา การทบทวนวรรณกรรมเกี&ยวข้องกบัการหาเอกสาร การเลือกเอกสาร การอา่นอยา่งวิเคราะห์ และการสรุปความ แหลง่ของวรรณกรรมอาจได้มาจากหลกัฐานข้อมลูสิ&งพิมพ์ และฐานข้อมลู On-line

ประโยชน์การทบทวนวรรณกรรม และ ผลงานวจิัยที&เกี&ยวข้อง

1. ทําให้ไมท่ําวิจยัซํ .ากบัผู้ อื&น

2. ทําให้ทราบอปุสรรค หรือข้อบกพร่อง ในการทําวิจยัในเรื&องนั .น ๆ

3. ใช้เป็นข้อมลูพื .นฐานประกอบการพิจารณากําหนดขอบเขตและตวัแปรในการวิจยั

4. ใช้เป็นข้อมลูในการกําหนดกรอบแนวคดิในการวิจยั

5. ช่วยในการกําหนดสมมตฐิานการวจิยั

6. ช่วยในการกําหนดรูปแบบและวธิีการวิจยั

7. ช่วยในการเชื&อมโยงสิ&งที&ค้นพบในการวิจยัครั .งนี .กบัที&พบจากการวิจยัที&ผา่นมา

กระบวนการในการทบทวนวรรณกรรม

(Kumar 1996 : 27 32 )

การพฒันากรอบแนวคดิเชิงทฤษฎีการพฒันากรอบแนวคดิเชิงทฤษฎี

การหาเอกสารที7มีอยู่ในปัจจุบันการหาเอกสารที7มีอยู่ในปัจจุบัน

การทบทวนเอกสารที7เลอืกแล้วการทบทวนเอกสารที7เลอืกแล้ว

การพฒันากรอบแนวคดิการวจิัยการพฒันากรอบแนวคดิการวจิัย

• อบุตักิารณ์ของ VAP ที&เป็นมาตรฐานไมค่วรเกิน....% (Ref)

(ถ้าเป็นอาการแสดง เช่นโรคเบาหวาน อยูร่ะหวา่ง 1-2% ref 2 ชื&อ)• อบุตักิารณ์ VAPของหน่วยงานเรา = %

• รายงาน (คนอื&น) ที&สามารถลด VAP ได้ดีอยูท่ี& ...% (Ref)

เขาทําได้อยา่งไร ....ระบวุิธีการ• วิธีการใดที&ใช้แล้วไมไ่ด้ผล ......ระบวุิธีการ พร้อม Ref

• ประเดน็ใดที&ยงัไมม่ีคําตอบที&ชดัเจน ระบ ุ(อาจมีหลายประเดน็) (Ref)

ตวัอย่างการทบทวนวรรณกรรม (VAP)

การเขียนวัตถุประสงค์ของงานวจิัย

• เพื&อจะบอกวา่เราจะทําการศกึษาในประเดน็ใดบ้าง

แบง่เป็น 2 ประเดน็

• General: กว้างๆ เช่นต้องการศกึษาอบุตักิารณ์ของความปวดหลงัผา่ตดั

• Specific : เฉพาะ เช่น ต้องการศกึษาอบุตักิารณ์ของความปวดหลงัผา่ตดัช่องท้อง

ต้องการศกึษาอบุตักิารณ์ของความปวดหลงัผา่ตดัคลอด

การออกแบบงานวจิัยWhat is the best way to do it?

Study Types

Observational InterventionalExperimental/Quasi- experimentalCross-sectional Studies

Case-control & Cohort

Clinical trials

Q: why when where who How?

ตวัแปรต่างๆ ที&จะวัดผล

• PICO [O = outcomes]• ต้องการวดัอะไรบ้าง

3 ประเดน็หลกั • วดัอยา่งไรให้ถกูต้อง

define ให้ชดั

เลือกวิธีวดัให้ชดั [categorical เพศ เชื .อชาติ ระดบั

numerical อาย ุนํ .าหนกั ]

งานคุณภาพให้วัดหลายมิต ิ (ความพงึพอใจไม่ใช่ตวัวัดที&ดนีัก)

เหตุIndependent(แม่สูบบุหรี7)

ผลDependent(นํ2าหนักลูก)

ตวักวนConfounding(การศึกษาแม่)

ตวัอย่างการวัดผลตวัแปรต่างๆ

ตัวแปร วธิีการดาํเนินการวัดตัวแปร การวัดผล

ความพงึพอใจ โดยการสมัภาษณ์โดยการสง่ e-mail

5 ระดบัพอใจมากที&สดุ � ไมพ่อใจ

ความดนัเลือด(สงู =?)

ให้นั&งพกั วดัขณะนั&ง วดั 3 ครั .งหาคา่เฉลี&ย เครื&องวดัรุ่น ใครวดั

หน่วยเป็น มมปรอท

ฐานข้อมลูในประเทศ

– TCI – Thailand.digitaljournal.org

– สวรส. R2R

– ฐานข้อมลูของโรงเรียนแพทย์ตา่งๆ

– สํานกัวิจยัแหง่ชาติ

– วิทยานิพนธ์มหาวิทยาลยัตา่งๆ – วารสารหน่วยงาน (local journal)

โครงร่าง Proposal

• ขื&อเรื&อง (ชื&อผู้วิจัย หน่วยงาน)

• บทนํา

ขนาดและทมีาของปัญหา

ทบทวน

• วัตถุประสงค์ (ทั&วไป และเฉพาะ)

• วิธีการศึกษา (ครอบคลุมทุกขั -นตอน)

• อ้างองิ

• ผนวก (แบบสอบถาม เครื&องมือ)

Material and Method

• รูปแบบการศึกษา

• ข้อพจิารณาทางจริยธรรม

• ตวัแปรต่างๆ ที&จะวัดผล

• ขนาดตวัอย่าง การสุ่ม

• วิธีการเก็บข้อมูลให้น่าเชื&อถือ

• การวางแผนวิเคราะห์ข้อมูล

• การบริหารโครงการ (Gantt chart )

การออกแบบการวจิัยแบบของการวิจยั เป็นสิ&งที&เชื&อมโยงกิจกรรมของงานวิจยั ที&

จะต้องทําในแตล่ะขั .นตอนเข้าด้วยกนัเป็นการเชื&อมโยงประเดน็ของการวิจยั แนวความคิดที&ใช้ในการทําวิจยัให้เข้ากบัการวดัเครื&องมือ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู กําหนดวิธีการสุม่ตวัอยา่ง และ การวิเคราะห์ข้อมลูให้สอดคล้องกบัวตัถปุระสงค์ของการวิจยั

คุณลักษณะของการออกแบบการวจิัย1. สถานที&ที&จะทําวิจยั

2. ระยะเวลาในการเก็บข้อมลู

3. การเลือกตวัอยา่ง

4. แบบของข้อมลูที&จะเก็บ

Time Management

Keep promise to the timelines and the milestones

Keys for the Success

Commitment& Leadership

Partnerships

Expertise

FulltimeTeamwork& Facility

SustainableFunding

ProductivePublications

Relevant Researches

ImplementationPolicy level

Implementation

High QualityGCLP

It’s time for you as a leader to decide on research !

• To go or not to go• To go or not to go• Commitment• Strategies• Real Action• Evaluation • High impact • Sustainability

Thank you

For your attention.