wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

34
ชไมพร พุทธมาตย์ ลวดลายไม้แกะสลักวิหารล้านนา ในเขตอำ�เภอเมืองลำ�ป�ง จังหวัดลำ�ป�ง

Upload: rita-putta

Post on 24-Mar-2016

223 views

Category:

Documents


4 download

DESCRIPTION

วิหาร, วัด, สถาปัตยกรรมล้านนา, องค์ประกอบ, การตกแต่ง, ลวดลาย, ไม้แกะสลัก, ลำปาง Wood carving patterns for temple of lanna

TRANSCRIPT

Page 1: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

ชไมพร พุทธมาตย์

ลวดลายไม้แกะสลักวิหารล้านนา ในเขตอำ�เภอเมืองลำ�ป�ง จังหวัดลำ�ป�ง

Page 2: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730
Page 3: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730
Page 4: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

Page 5: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

ลวดล�ยไม้แกะสลักวิห�รล้�นน� ในเขตอำ�เภอเมืองลำ�ป�ง จังหวัดลำ�ป�ง

ลวดลายไม้แกะสลักวิหารล้านนาในเขต อำาเภอเมืองลำาปาง จังหวัดลำาปาง ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๔ - ๒๕ นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของช่างผู้สร้าง ที่นำาคติความเชื่อทางพุทธ-ศาสนามาผสานกับรูปแบบงานสถาปัตยกรรมได้อย่างลงตัว โดยงานไม้แกะสลักนี้ มักจะมีการนำามาตกแต่งในส่วนต่างๆ ของอาคารไม่ว่าจะเป็น นาคทันต์ หน้าบัน บานประตูและส่วนอื่นๆ ของอาคารทางศาสนา โดยมีแนวทางที่ทำาให้เกิดลวดลายและงานแกะสลักไม้ ๕ แนวทาง คือ ๑. เพื่อสร้างมิติ ๒. เพื่อสนองความเชื่อ ๓. เพื่อประโยชน์ใช้สอย ๔. เพื่อลอกเลียนเรื่องจำาลองธรรมชาติ ๕. เพื่อความงามทางศิลปกรรม จากเหตุปัจจัยดังกล่าวนี้ ทำาให้งานประดับตกแต่งดำารงอยู่ได้และสืบต่อมาเป็นเวลานานมีวิวัฒนาการและพัฒนาการมาตามลำาดับ และจากรูปแบบของวิหารล้านนาที่มีการสร้างในล้านนาจะพบว่า วัสดุที่นำามาใช้นั้นเป็นวัสดุที่มีอยู่โดยทั่วไปในดินแดนแห่งนี้ นั่นคือ ไม้สัก อันเป็นพืชในสกุล Tectona grandis, Linn’f ที่คุณสมบัติของเนื้อไม้มีความละเอียดเกลี้ยงเกลา ไม่มีเสี้ยน เนื้อไม้ไม่มีสารที่มีผลต่อต้านการทำาลายจากสัตว์จำาพวกปลวก มอด ได้ดี มีความทนทานสูงและเนื้อไม้ไม่แข็งมาก สามารถนำามาทำาการแกะสลักลวดลายประดับได้โดยสะดวก

Page 6: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

องค์ประกอบเครื่องไม้ที่พบก�รแกะสลัก

๑. ช่อฟ้� หรือ จ้อฟ้� เป็นองค์ประกอบส่วนที่สูงที่สุดของวิหารอยู่เหนือจั่วของวิหาร “ช่อฟ้า” มีความหมายถึง ช่อที่ยื่นขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็น “นัย” แห่งการบูชาพระรัตนตรัยและปวงเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นฟ้าประการหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องไม้สูงประดับอยู่บนอกไก่ตรงบริเวณที่ไม้สำารวยหรือนาคสำารวยมาบรรจบกัน ช่อฟ้านี้จะใช้ประดับเฉพาะ พระราชวัง โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญและสิ่งก่อสร้างอื่นๆบางประเภทในวัดเท่านั้น

ช่อฟ้า วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น

Page 7: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒. ป้�นลม หรือ ตัวลำ�ยอง มีลักษณะเป็นไม้แผ่นเรียบ วางตามแนวลาดเอียงของหลังคา เป็นเครื่องไม้ที่ใช้ปิดหัวแป ส่วนขององค์ประกอบที่สำาคัญของเครื่องลำายอง เป็นส่วนที่ใช้ยึด ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ โดยพาดอยู่บนหลัง “แป” ทำาหน้าที่ปิดเครื่องมุงหลังคาด้านสกัด ด้วยลักษณะดังกล่าว ทำาให้ตัวลำายองนี้คล้ายลำาตัวของนาคที่เลื้อยรอบกรอบของหน้าบันซึ่งมีหัวอยู่ที่ส่วนที่เรียกว่า หางหงส์

ป้านลม วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น

Page 8: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๓. ห�งหงส์ เป็นเครื่องไม้ที่อยู่ปลายของป้านลม มักสร้างเป็นรูปนาคหรือตัวกนก ซึ่งทางล้านนานิยมสร้างส่วนประดับเป็นรูปทรงคล้ายหงส์ติดอยู่ปลายด้านล่างของเครื่องลำายอง โดยมากมักทำาเป็นรูปโครงของนาคสามเศียรซ้อนกัน แต่ยังพบว่าหางหงส์ของเครื่องลำายองบางชุด ปรากฏการนำานาคมาประกอบโดยทำาเป็นเศียรนาคหนึ่งเศียรก็มี เรียกว่า “หางวัน”

หางหงส์ วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น

Page 9: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๔. เชิงช�ย หรือ แป้นน้ำ�ย้อย เป็นแป้นไม้ติดอยู่กับด้านล่างของโครงหลังคามักมีการประดับตกแต่ง ด้วยการแกะสลักมีลวดลายงดงาม

ป้านลม วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

๕. แผงแล เป็นขื่อระหว่างแป รับกลอนหลังคากับคอสอง รับปีกนกด้านข้าง ทำาด้วยแผ่นไม้ฉลุเพื่อรับแสงและแบ่งระดับเอียงของระนาบหลังคาให้แยกกัน

แผงแล วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น

Page 10: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๖. ป�กแล เป็นองค์ประกอบที่พบเฉพาะอาคารพื้นเมืองล้านนาเท่านั้น จะอยู่ในตำาแหน่งส่วนหน้าของช่องแผงแล ที่ยื่นพ้นตัวอาคารออกมารับผืนไขราหลังคา มักแกะสลักเป็นรูปทรงของปากนกแก้ว ตรงช่วงปลายสุดด้านนอกของปากแลมักทำาเป็นรูปเทวดาหรือรูปสัตว์ประดับเพื่อความสวยงาม ส่วนความหมายในพจนานุกรมล้านนาหมายถึง ช่วงของแผงแลคอสองที่ยื่นพ้นตัวอาคารออกมารับผืนไขราหลังคาเป็นส่วนโค้งที่ยื่นออกมาคล้ายปากนกแก้ว

ปากแล วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Page 11: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๗. หน้�บัน หรือหน้�แหนบ หน้�ก้อง เป็นส่วนที่ปิดโครงสร้างของหลังคาทางด้านหน้าของวิหาร หน้าบันนั้นจะมีการทำาโครงสร้างเลียนแบบโครงสร้างวิหาร ในส่วนของขื่อต่างๆ ซึ่งใช้ชื่อเรียกแบบเดียวกัน แต่หน้าบันจะใช้การกรุแผ่นไม้ระหว่างช่องว่างของขื่อและเสาตุ๊กตา (เสาป๊อก) ไว้ เรียกว่า “ดอกคอหน้าแหนบ” ในส่วนที่เป็นปีกนกด้านข้างของวิหารก็มีการทำาหน้าบันเช่นกันเรียกว่า “หน้าบันปีกนก” หรือ “แหนบปีกนก” ซึ่งมีชื่อขององค์ประกอบเช่นเดียวกับหน้าบันหลัก

หน้าบัน วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Page 12: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๘. โก่งคิ้ว เป็นแผงไม้ประดับติดขื่อมุขด้านสกัดของวิหาร ทำาหน้าที่ประดับเช่นเดียวกับสาหร่ายรวงผึ้งของทางภาคกลาง โก่งคิ้วมักจะอยู่ใต้หน้าบันโดยมีแผงไม้ประดับลวดลายคั่นอยู่เรียกว่า “คอกีด”

โก่งคิ้ว วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น

๑๐

Page 13: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๙. บ่�ง ขื่อขององค์ประกอบมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมชายธงอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของหน้าขื่อ หรือช่วงคอสองของวิหาร ทำาหน้าที่คล้ายนาคทันต์ขนาดเล็กรับน้ำาหนักจากหลังคา

บ่าง วิหารโคมคำา วัดพระธาตุเสด็จ

๑๑

Page 14: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๑๒

นาคทันต์ วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Page 15: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๑๓

๑๐. น�คทันต์ หูช้�ง หรือคันทวย เป็นตัวไม้สำาหรับค้ำายันรองรับปลายเต้า เพื่อกันปลายไม้เครื่องบนมิให้ทรุดตก และรับน้ำาหนักโครงสร้างส่วนชายคาลงมาที่เสาด้านข้างของวิหาร มีการแบ่งองค์ประกอบของนาคทันต์เป็น ๓ ส่วน ๑. ส่วนบน มักทำาเป็นลายแถวหน้ากระดานแนวนอน ๒. ส่วนกลาง เป็นบริเวณที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายมากที่สุด ๓. ส่วนล่าง เป็นส่วนที่เล็กและอยู่ในรูปทรงสามเหลี่ยม ความเชื่อเกี่ยวกับการแกะสลักลวดลายนาคทันต์มีอยู่หลายความเชื่อด้วยกัน ดังตัวอย่างเช่น กลุ่มลาย ๑๒ นักษัตร ชาวล้านนาเชื่อว่า ถ้าได้สร้างนาคทันต์ที่ประดับด้วยปีเกิดของตนมาประดับศาสนาสถานไว ้จะทำาให้ได้ไปสู่สรวงสวรรค์ ลวดลายนาค หรือพญาลวงพันกัน หรืออยู่ตัวเดียวโดดๆ อาจแสดงถึงสัตว์แห่งฟ้า หรือน้ำา เพราะว่าเป็นส่วนที่อยู่ในระดับกึ่งกลางของหลังคา ลวดลายนาครวมกับเมฆแสดงถึง สัตว์แห่งฝน เป็นสัตว์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ลวดลายนาคผสมคลื่นน้ำา แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นสัตว์ที่อยู่กับน้ำา อาจจะเป็นทะเลแห่งสีทันดรหรือสายน้ำา ที่อยู่รอบๆ เขาพระสุเมรุ

Page 16: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

ลายกระหนกหัวม้วน ที่ประดับตรงส่วนล่างของนาคทันต์ วิหารโคมคำา วัดธาตุเสด็จ

๑๔

Page 17: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๑๕

อิทธิพลต่�งๆ ที่มีผลต่อลวดล�ยไม้แกะสลักวิห�รล้�นน� ลวดลายประดับล้านนาในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๔ - ๒๕ เนื่องจากในยุคนี้เป็นยุคที่มีการฟื้นฟูบ้านเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง ตัวอย่างงานศิลปะเลยมีอยู่น้อย โดยลวดลายในยุคนี้สามารถแบ่งได้ดังนี้

ลวดล�ยกระหนก ลายกระหนกที่ใช้ในองค์ประกอบศิลปกรรมของวิหารล้านนาในเขต อำาเภอเมืองลำาปาง จังหวัดลำาปาง ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๔ - ๒๕ นั้น สามารถแบ่งออกได้ ๒ ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ ลายกระหนกแบบล้านนา ที่ได้รับการตกทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๓ ดังจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในบริเวณส่วนล่างของนาคทันต์ ยกตัวอย่างเช่น ลายกระหนกหัวม้วน ที่ประดับตรงส่วนล่างของนาคทันต์ วิหารโคมคำา วัดธาตุเสด็จ วิหารคะตึกเชียงมั่น และลายกระหนกที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะรัตนโกสินทร์ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นลายกระหนกเปลว ซึ่งเป็นลวดลายที่นิยมในศิลปะอยุธยาตอนปลาย และวัดคะตึกเชียงมั่น

Page 18: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๑๖

ลวดล�ยพันธุ์พฤกษ� ลายดอกไม้ที่ปรากฏในวิหารหลังนี้เป็นลายดอกไม้ที่เคยปรากฏมาแล้วในครั้งอดีต โดยเป็นลวดลายที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ ๑. ล�ยดอกบัว ในทางพุทธศาสนาดอกบัวแห่งหัวใจ – ความคิดจะสถิตอยู่ข้างในสุด ณ จุดศูนย์กลางแห่งชีวิตสัตว์โลกเช่นเดียวกัน และเมื่อหล่อเลี้ยงด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน และปฏิบัติธรรมอื่นๆ ก็จะคลี่บานออกเพื่อแสดงธาตุพุทธะ (พุทธะตา) ที่ซ่อนอยู่ข้างใน การคลี่บานของดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งปรากฏมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ดังจะเห็นได้จากลายเครือเถาที่ประดับอยู่ที่เจดีย์ป่าสัก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก เครื่องถ้วยราชวงศ์เหม็ง ซึ่งลวดลายดอกบัวนี้ ได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ จวบจนถึงในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นี้เนื่องจากมีการรับอิทธิพลมาจากภาคกลาง จึงทำาให้เกิดการผสมผสานระหว่างศิลปะ

ลวดลายกลีบบัวในส่วนบนนาคทันต์ วิหารสุชาดาราม

Page 19: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒. ล�ยดอกโบตั๋น ในความเชื่อของจีนนั้นถือเป็นดอกไม้ที่เป็นมงคล เป็นดอกไม้ประจำาฤดูใบไม้ผลิและเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างาม ความเด่น ความเป็นเลิศ ทั้งทางความงามและความสามารถ รวมทั้งความร่ำารวยมั่งคั่งด้วย โดยลวดลายดอกโบตั๋นนี้เป็นลวดลายที่มีการใช้มากในล้านนามาตั้งแต่ครั้งอดีต โดยศตวรรษที่ ๒๔ นี้ก็มีลวดลายดอกโบตั๋นปรากฏอยู่ในงานศิลปกรรมเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากนาคทันต์ ที่วิหารโคมคำา วัดพระธาตุเสด็จ ที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายดอกโบตั๋นเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าลวดลายดอกโบตั๋นในยุคนี้ เป็นลวดลายที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะรัตนโกสินทร์ โดยเข้ามาพร้อมกับลวดลายมงคลต่างๆของจีนที่กำาลังเป็นที่นิยมของกรุงเทพฯ นั่นเอง

ลวดลายดอกโบตั๋น ที่ประดับตรงส่วนกลางของนาคทันต์ วิหารโคมคำา วัดธาตุเสด็จ

๑๗

Page 20: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๑๘

๓. ล�ยใบไม้ ของพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั้นเป็นลวดลายเลียนแบบธรรมชาติที่มีการพัฒนามาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มาจนสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ดังนั้นลวดลายในใบไม้ในยุคนี้ จึงไม่มีความแตกต่างจากยุคก่อนหน้านี้เท่าใดนัก ๔. ล�ยดอกพุดต�น พุดตานเป็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากจีน ในภาษาจีนเรียกว่า ฝู หยง ดอกนี้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำารวย มียศศักดิ์ ทั้งนี้เพราะคำาว่า ฝู เป็นเสียงพ้องกับคำาว่า ฝู้ ซึ่งแปลว่าความร่ำารวย มั่งคั่งและคำาว่า หยง เป็นเสียงพ้องกับคำาว่า หยงหวา ซึ่งแปลว่า พร้อมไปด้วยยศศักดิ์ลวดลายดอกพุดตานที่พบนั้นมีเพียงจุดเดียวคือ บริเวณนาคทันต์ ตัวที่ ๔ ด้านทิศเหนือของวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ที่คาดว่าน่าจะเป็นคันทวยชิ้นที่ทำาขึ้นใหม่ เนื่องจากความใหม่ของลักษณะลวดลายมีการทาสีแปลกกว่าชิ้นอื่น

ลวดลายดอกพุดตานบริเวณนาคทันต์ตัวที่ ๔ ด้านทิศเหนือของ วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Page 21: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๕. ล�ยดอกไม้กลม ลวดลายดอกไม้กลมนั้นพบเห็นกันอยู่ทั่วไปในวิหารล้านนา เป็นดอกไม้ประดิษฐ์ขึ้นไม่บ่งชี้ที่มาของดอก บางครั้งจึงมีการเรียกว่า “ดอกไม้ประดิษฐ์” ด้วยลักษณะที่กลมแป้นมีกลีบเรียงรอบดอกตั้งแต่ ๔-๑๖ กลีบ ดอกมีขนาดแตกต่างกันไป โดยพบเห็นในหลากหลายจุด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณหน้าบันในช่องลูกฟักสี่เหลี่ยม ทำาหน้าที่เป็นตัวออกลายอยู่ตรงกลาง ซึ่งมีดอกกลมเป็นตัวออกลายนอกจากบริเวณช่องลูกฟักสี่เหลี่ยมแล้ว ยังพบลายดอกกลมบริเวณเสา โก่งคิ้วและบริเวณแปอีกด้วย ๖. ล�ยเครือเถ� คือ ลวดลายที่มีแนวคิดมาจากลายเครือเถาวัลย์ที่เลื้อยคดเคี้ยวไปมาเกิดเป็นรูปร่างต่างๆ ขึ้น ลวดลายเครือเถาวัลย์จึงมีลักษณะเกี่ยวกันไปมา ส่วนมากใช้ตกแต่งพื้นที่ว่างให้เต็ม ช่างฝีมือได้นำาความคิดสร้างสรรค์ลวดลายเหล่านี้จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏให้เห็นรอบตัว ดัดแปลงให้เหมาะสมสอดคล้องกับคติความเชื่อทางศาสนาและผสมผสานงานศิลปะระหว่างจีน ตัวหลักฐานจากเครื่องถ้วยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. ๑๒๘๐ - ๑๓๖๘ หรือ พ.ศ. ๑๘๒๓ - ๑๙๑๑) ซึ่งได้รับความนิยมมากในสมัยพญามัง-ราย ได้สถาปนาเมืองเชียงใหม่ จะเห็นได้ว่ามีการผสมผสานของงานศิลปะระหว่างจีน กับศิลปะล้านนารูปแบบของลวดลายประดับเป็นพวกลายพันธุ์-พฤกษา และลายเครือเถา

ลายเครือเถาบริเวณหน้าบัน วิหารสุชาดาราม วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

๑๙

Page 22: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒๐

ลวดล�ยมงคล ในงานศิลปกรรมโดยเฉพาะเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน และ ราชวงศ์หมิง ได้รับอิทธิพลต่องานศิลปกรรมล้านนามากที่สุด จากการศึกษาพบว่าเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน และราชวงศ์หมิง ถูกพบที่ล้านนาพร้อมกับอาณาจักรอื่นๆ ของไทย ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากในอดีตการส่งผ่านเครื่องถ้วยจีนนั้นได้เดินทางมากลับการค้าทางเรือ หัวเมืองทางใต้ของประเทศจึงได้รับเครื่องถ้วยจีนก่อน จากนั้นค่อยเดินทางมาถึงล้านนา ซึ่งเครื่องถ้วยจีนที่ล้านนาได้รับนั้นเป็นเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน และราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นราชวงศ์รุ่นหลังแล้วก็ค้นพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน ในภาคเหนือพบที่เชียงใหม่ ลำาพูน ลำาปาง ตาก จากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าลวดลายที่พบในงานศิลปกรรมบางอย่างของล้านนา เป็นลวดลายที่ได้รับอิทธิพลจากเครื่องถ้วยจีน เช่น ลายกระหนก ลายสะตายจีน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำาลวดลายจีนมาใช้โดยตรงอีกด้วย ซึ่งลวดลายที่นำามาใช้นั้นเป็นลวดลายที่แฝงความหมายดี และถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายมงคลที่มีความหมายที่ดี สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

โดยจะมีลักษณะที่สามารถแยกได้ ๓ ประเภทดังนี้ ๑. แบบธรรมชาติ มีความเหมือนจริงตามธรรมชาติเท่าที่ช่างจะมองเห็น ๒. แบบกึ่งธรรมชาติ คือการลดความเป็นจริงตามธรรมชาติ แต่สามารถบอกได้ถึงลักษณะลาย ๓ . แบบประยุกต์ คือการลดความเป็นจริงมาดัดแปลงเป็นรูปแบบใหม่ ใช้เส้นเรขาคณิตเข้ามาทำาให้รูปแบบเปลี่ยนแปลงไป

Page 23: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒๑

๑. ล�ยหัวยู่อี่ เป็นลายที่มีความหมายถึง การให้ความปรารถนา ลวดลายนี้จะพบอยู่ในหน้าบัน ในกรอบลูกฟักสี่เหลี่ยม และโก่งคิ้ว นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า ลายหัวยู่อี่ นั้นเป็นแม่บทของลายเมฆไหล และลายไส้หมูที่พบอีกด้วย

ลายเมฆไหลล้านนา ได้รับแม่บทจากลายหัวยู่อี่ อยู่บริเวณโก่งคิ้ว วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

ลวดลายยันต์แปดอยู่บริเวณด้านบนโก่งคิ้ว วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

๒. ล�ยยันต์แปด เป็นอิทธิพลหนึ่งของจีนที่มีอิทธิพลมากในล้านนา ความเชื่อของจีนในเรื่องเลขแปดนั้น มาจากการนับถือเทพเจ้าแปดองค์ในศาสนาเต๋า หรือเราทราบกันดีว่า ชื่อ “โป๊ยเซียน” ซึ่งลายที่เกี่ยวข้องกับโป๊ยเซียน เรียกว่า ลายมงคลแปด และหนึ่งในนั้นมีลายยันต์แปดอยู่ด้วย

Page 24: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒๒

ลวดลายหนุมานบริเวณนาคทันต์ วิหารวัดแสงเมืองมา

Page 25: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒๓

ลวดล�ยสัตว์ การใช้ลวดลายสัตว์นั้นเป็นที่นิยมมากในการประดับอาคารอีกแบบหนึ่ง โดยมักจะมีการนำามาใช้ประกอบกับลายพันธุ์พฤกษา หรืออยู่ในกรอบช่องกระจก ซึ่งรูปแบบเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากเครื่องถ้วยในสมัยราชวงศ์หงวน (ประมาณ พ.ศ.๑๘๐๓ - ๑๙๑๑) และราชวงศ์เหม็ง (ประมาณ พ.ศ.๑๙๑๑ - ๒๑๘๗) โดยรูปแบบของลวดลายที่ประดับเช่นนี้ ได้ปรากฏบนงานศิลปกรรมของล้านนามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ซึ่งได้สืบทอดมาจนถึงศตวรรษที่ ๒๕ ด้วยลวดลายที่นำามาใช้ในวิหารนั้นมักเป็นลักษณะของ “สัญลักษณ์” แทนค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือทำาหน้าที่ พิทักษ์ศาสนสถาน หรือแสดงถึงพละกำาลังซึ่งมีการเลือกสัตว์ ๓ ประเภทคือ ๑. สัตว์ที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ ได้แก้ เสือ ช้าง สมัน เป็นต้น ๒. สัตว์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาตามจินตนาการ สัตว์หิมพานต์ ซึ่งมีภาวะ ระหว่างสัตว์ตามธรรมชาติและสัตว์สวรรค์ ได้แก่ สัตว์ทวิบาก เช่น หงส์ นกหัสดีลิงค์ สัตว์จตุบาท เช่น สิงห์ เหมราช มอม วานร สัตว์พิเศษ เช่น นาคลวง ๓. สัตว์ในวรรณคดีได้แก่ พญาวานร หนุมาน

Page 26: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒๔

ลวดล�ยที่พบบริเวณ หน้�บัน และคันทวย ๑. มอม เป็นสัตว์พื้นเมืองของชาวล้านนา เป็นสัตว์ที่ผสมระหว่าง ลิง กับ เสือ เข้าใจว่ามีการพัฒนามาจากสิงโตจีน โดยรูปมอมไม่เคยปรากฏในงานประติมากรรมใดๆ มาก่อน ซึ่งกล่าวว่ารูปมอมนี้ปรากฏขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บริเวณที่พบนั้นอยู่ในส่วนกลางแผงคอสอง โดยอายุของมอมนั้นอยู่หลังการสร้าวิหารสุชาดารามเกือบร้อยปี ทำาให้สามารถวิเคราะห์ได้สองแง่คือ สร้างในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็จริงแต่อาจบูรณะในปีพ.ศ. ๒๔๐๐ ลงมาเพราะส่วนที่เป็นหน้าแหนบ หรือหน้าบันนั้นมักชำารุผุพังง่ายตามการเวลา

ลวดลายมอมที่พบบริเวณแผงคอ วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Page 27: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๒๕

๒. มกรพญ�ลวงหรือพญ�ลวง (ตัวลวง) ลักษณะทั่วไปของพญา-ลวง ลักษณะคล้ายพญานาคมีเขา มีปีก และมีขาคล้ายมังกร ทำาท่าม้วนตัว ซึ่งลักษณะเหล่านี้แสดงถึงลักษณะพญาลวง และมกรว่าคล้ายคลึงกัน จากการศึกษาเรื่องเล่าของมังกร ได้กล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ ของมังกรในเรื่องสมัยดึกดำาบรรพ์ของจีน มีมังกรกำาเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อก่อนพุทธกาลหลายพันปี รูปร่างของมังกรแตกต่างกันไป เพราะช่างเขียนเขียนตามจินตนาการจึงไม่เหมือนกัน

ลวดลายมกรคายนาคบริเวณนาคทันต์ วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Page 28: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

ล�ยหน้�กระด�น ลวดลายหน้ากระดานเป็นลวดลายที่ประดับตามแนวนอน ซึ่งในศิลปกรรมประดับตกแต่งอาคารล้านนานั้น ได้พบลวดลายอยู่บนบริเวณตัวโครงสร้างบน ขื่อ ดั้ง แป กลอน กรอบของคอสอง และกรอบช่อลูกฟักของหน้าบันเป็นต้น ลายหน้ากระดานนี้ปรากฏอยู่ราวพุทธสตวรรษที่ ๑๙ สามารถจำาแนกได้หลายรูปแบบดังนี้

หน้าบันปีกนก วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

๒๖

Page 29: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

ลายประจำายามลูกโซ่ อยู่บริเวณโก่งคิ้วปีกนก วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

ลายประจำายามกลีบบัว อยู่บริเวณขื่อหน้าบัน วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

๒. ล�ยประจำ�ย�มกลีบบัว เป็นดอกสี่กลีบโดยแต่ละกลีบนั้นมีลักษณะคล้ายกลับบัว โดยมีกลีบลักษณะกลมอยู่ภายในเชื่อมต่อด้วยก้านขดที่พันธ์กันเป็นตาข่าย พบบริเวณขื่อด้านบนสุด คั่นระหว่างลูกฟักรอบกรอบสี่เหลี่ยมกับแผงสองคอ

๑. ล�ยประจำ�ย�มลูกโซ่ เป็นลายดอกสี่กลีบ มีเส้นโค้งเชื่อมสลับหรือไขว้ โดยลายนี้เป็นหน้ากระดานนิยมมากในล้านนา โดยมีให้เห็นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา จะพบลายนี้บริเวณโก่งคิ้วเชื่อมต่อกับหน้าบัน

๒๗

Page 30: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

๓. ล�ยก้�นขดพันธุ์พฤกษ� ลายก้านขดพันธุ์พฤกษานี้ ปรากฏตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ขณะเดียวกันก็ยังพบอยู่ในศิลปะสุโขทัย ซึ่งชื่อว่าเป็นรูปแบบของลายก้านขด พันธ์พฤกษาเหล่านี้ น่าจะได้แบบอย่างจากเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งจะพบบริเวณขื่อ และแป โดยรูปแบบจะเป็นลายคดโค้ง แต่ละวงโค้งจะมีใบไม้เล็กๆ ประกอบอยู่ อีกประเภทหนึ่งปรากฏอยู่บริเวณขื่อด้านบน มีลักษณะเป็นลายขดโค้ง มีลายดอกจอกก้านแย่ง

ลายก้านขดพันธุ์พฤกษา อยู่บริเวณขื่อและแป วิหารวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

ลายก้านขดพันธุ์พฤกษา อยู่บริเวณขื่อและแป วิหารวัดหัวข่วง

๒๘

Page 31: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

การศึกษาลวดลายไม้แกะสลักวิหารล้านนาในเขต อำาเภอเมืองลำาปาง จังหวัดลำาปาง ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ นั้น เป็นช่วงเวลาที่ล้านนากำาลังฟื้นฟู หรือเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าวใส่เมืองนั่นเอง โดยยุคนี้เป็นยุคที่มีการกวาดต้อนผู้คนจากพื้นที่อื่นให้เข้ามาอยู่ในล้านนา จึงเป็นเหตุให้เกิดการผสมผสานของวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีการรับเอาอิทธิพลจากทางภาคกลางเข้ามา ทำาให้งานศิลปกรรมมีอิทธิพลในล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ และเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่องานศิลปกรรมของล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕

วิหารวัดพระธาตุเสด็จ

๒๙

Page 32: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730

ลวดลายไม้แกะสลักวิหารล้านนา

ในเขตอำาเภอเมืองลำาปาง จังหวัดลำาปาง

ชไมพร พุทธมาตย์ ๕๓๐๓๑๐๑๑๒

© ๒๕๕๖ ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สงวนลิขสิทธิ์

พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖จัดพิมพ์โดย ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ออกแบบโดย ชไมพร พุทธมาตย์

Page 33: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730
Page 34: Wood carving patterns for temple of lanna e book 20130730