บทที่ 2 การฟัง

58
วิชา ภาษาไทย รหัสวิชา 040105 อาจารย์มัลลิกา ผ่องแผ้ว

Upload: ajmallika-phongphaew

Post on 19-Feb-2017

2.326 views

Category:

Education


7 download

TRANSCRIPT

วิชา ภาษาไทย รหัสวิชา 040105

อาจารย์มัลลิกา ผ่องแผ้ว

บทท่ี 2 การฟัง

รายละเอียดเนื้อหาวิชาภาษาไทย บทที่ 2 การฟัง

• ความรู้พื้นฐานของการฟัง

• ความหมายของการฟัง

• ความส าคัญของการฟัง

• ระดับการฟัง

• ลักษณะการฟัง

• ขั้นตอนและกระบวนการฟัง

• จุดมุ่งหมายทั่วไปของการฟัง

• โอกาสของการฟัง

• ระดับของการฟังให้สัมฤทธิ์ผล

• มารยาทในการฟัง

• อุปสรรคและปัญหาในการฟัง

ความรูพ้ื้นฐานของการฟัง

การพัฒนาทักษะการฟังให้มีประสิทธิภาพนั้น ผู้ฟังต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฟังเพราะจะท าให้เข้าใจลักษณะทั่วไปของการฟัง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานความเข้าใจอันจะช่วยให้การพัฒนาทักษะการฟังรวดเร็วและมีคุณภาพขึ้น การเรียนรู้พื้นฐานของการฟังจึงเป็นขั้นตอนแรกของการพัฒนาทักษะการฟัง

ความหมายของการฟัง

การฟังเป็นทักษะทางภาษาที่มนุษย์ใช้มากที่สุด บางครั้งอาจมีผู้เข้าใจว่า การฟังมีความหมายเหมือนการได้ยิน แต่ในความเป็นจริงแล้วการฟังกับการได้ยินมีความหมายแตกต่างกัน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546, หน้า 811) ให้ความหมายของค าว่า “ฟัง” ไว้ว่า “ตั้งใจสดับ คอยรับเสียงด้วยหู” ส่วนการได้ยิน (2546, หน้า 419) หมายถึง “รับรู้เสียงด้วยหู” จากทั้งสองความหมายนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า การฟังมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งใจฟังต่างจากการได้ยินซึ่งเป็นเพียงการรับรู้เสียงด้วยหูเท่านั้น

ความหมายของการฟัง (ต่อ)

ปรีชา ช้างขวัญยืน กล่าวว่า การฟัง คือ พฤติกรรมการใช้ภาษาที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลของบุคคลหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงพูดหรือเสียงอ่าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษาภายนอกตัวบุคคลจากอีกบุคคลหนึ่ง เมื่อเสียงนั้นมากระทบโสตประสาทของผู้รับ คือ ผู้ฟังแล้ว ผู้ฟังก็จะน าเสียงพูดเหล่านั้น เข้าสู่กระบวนการทางสมอง คือ การคิด ด้วยการแปลความ ตีความจนเกิดความเข้าใจ ทั้งนี้ถ้าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงในภาษาเดียวกันของทั้ง

ผู้พูดและผู้ฟัง การฟังก็จะเกิดผลได้ง่าย ถูกต้องและชัดเจน (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2525, หน้า 4-5)

สรุป ความหมายของการฟัง

จากที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปความหมายของการฟังได้ว่า การฟัง หมายถึง พฤติกรรมการรับสารผ่านโสตประสาทอย่างตั้ งใจเชื่อมโยงกับกระบวนการคิดในสมอง โดยสมองแปลความหมายของเสียงจนเกิดความเข้าใจและมีปฏิกิริยาตอบสนอง การฟังจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล

ความส าคัญของการฟัง

42%

32%

15%11%

แผนภูมิอตัราส่วนของการใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสารแต่ละทักษะ

การฟังการพูดการอ่านการเขียน

ผู้ที่มีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล มีอัตราสัดส่วนของการใช้ทักษะภาษา คือ ใช้เวลาในการพูด 32 % การฟัง 42 % การอ่าน 15 % และการเขียน 11 %

ความส าคัญของการฟัง (ต่อ)

จากแผนภูมิจะเห็นว่าการสื่อสารในชีวิตประจ าวันของคนเราใช้การฟังมากกว่าทักษะอย่างอื่น การฟังเป็นความสามารถในการรับรู้สิ่งที่ได้ยินแล้ว สามารถตีความหรือจับใจความสิ่งที่รับรู้นั้น สามารถเข้าใจและจดจ าไว้ได้ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ ผู้ที่ผ่านการฝึกทักษะการฟัง จะมีทักษะสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ฝึกและทักษะการฟังจะเพิ่มพูนขึ้นโดยการฝึก ซึ่งจะต้องท าเป็นเวลานาน อาจกล่าวได้ว่าต้องฝึกตลอดชีวิต

ความส าคัญของการฟัง (ต่อ)

การฟังเป็นกระบวนการสื่อสารที่มนุษย์ใช้ก่อนทักษะอื่น ดังนั้นทักษะ การฟังจึงมีความส าคัญมากในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งสามารถจ าแนกความส าคัญ เป็นประเด็น หลักๆ 6 ประเด็น ดังนี้

ความส าคัญของการฟัง

1. การฟังเป็นกระบวนการรับสารที่เราใช้มากที่สุดในชีวิตประจ าวัน เช่น การติดต่อสื่อสารในชีวิตประจ าวันของมนุษย์ มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารการฟังโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จากสถิติการวิจัยของวลิเลียม เอฟ แมคคี เขียนไว้ในหนังสือ “Language Teaching Analysis”ว่า วันหนึ่งๆ ของคนเราจะมีการฟัง 48% การพูด 23% การอ่าน 16% และการเขียน 13% (อ้างถึงใน สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. 2539: 6)

ความส าคัญของการฟัง (ต่อ)

2. การฟังเป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการแสวงหาความรู้ทุกสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้านการเรียนทุกระดับ ทุกวิชาชีพ ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด

3. การฟังเป็นทักษะส่งเสริมความคิดและความฉลาดรอบรู้ เป็นพหูสูต ( ผู้สดับตรับฟังมาก ) ท าให้ประสบความส าเร็จและก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความส าคัญของการฟัง (ต่อ)

4. การฟังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่โดยการวิเคราะห์ ตีความ น ามาประยุกต์ปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม เกิดความงอกงามทางความรู้ ความคิด และสติปัญญา

5. การฟังเป็นทักษะที่ก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่น การฟังเพลง นิทาน วรรณคดี เป็นต้น

ความส าคัญของการฟัง (ต่อ)

6. การฟังช่วยให้ผู้รับสารเป็นผู้พูดและผู้เขียนที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เพราะการฟังช่วยให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ประสบการณ์ด้านเนื้อหาสาระ ภาษาถ้อยค าทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เพื่อเปน็ข้อมูลในการพูดและ การเขียนต่อไป

ระดับการฟัง

แผนผังแสดงระดับของการฟัง

ระดับการฟัง

การได้ยิน

การฟังปกติ

การฟังอย่างมีวิจารณญาณ

รับรู้

เข้าใจ

วิเคราะห์

ใคร่ครวญ

วินิจฉัย

ประเมินค่า

ใช้ประโยชน์

ได้ยิน

แผนผังแสดงระดับของการฟัง

จากแผนภูมิข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การฟังทั้ง 3 ระดับนี้ มีความเกี่ยวโยงกันอย่างเป็นล าดับเป็นการพัฒนาจากระดับของการได้ยินจากอวัยวะรับเสียง จากนั้นเข้าสู่การฟังตามปกติคือผ่านกระบวนการตีความและแปลความทางสมอง แล้วจึงเข้าสู่ระดับการฟังอย่างมีวิจารณญาณที่ เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ การใคร่ครวญ การวินิจฉัย การประเมินค่าและการใช้ประโยชน์

ระดับของการฟัง

การฟังสามารถจ าแนกได้หลายระดับ โดยระดับของการฟังที่มักใช้ในชีวิตประจ าวันสรุปได้เป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้

1. ระดับการได้ยิน การได้ยินเป็นกระบวนการขั้นแรกของการฟัง เป็นการรับรู้โดยใช้ อวัยวะในการรับรู้หรือการได้ยินคือ หูและอวัยวะภายในหู เมื่อหูรับคลื่นเสียงแล้วก็จะส่งไปยังสมอง สมองจะรับรู้ว่าเรื่องที่ได้ยินน้ันคืออะไรโดยไม่มี การแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง

ระดับของการฟัง (ต่อ)

2. ระดับการฟังตามปกติ เป็นระดับการได้ยินที่สูงขึ้นต่อจากการได้ยิน ผู้ฟังต้องใช้สมรรถภาพทางสมองเชื่อมโยงเสียงที่ได้ยินกับประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความหมายของเสียง เพื่อให้เกิดการแปลความและตีความเสียงนั้น จนเข้าใจสารที่ฟังและแสดงปฏิกิริยาตอบสนองสารนั้นอย่างถูกต้องและเหมาะสม

ระดับของการฟัง (ต่อ)

3. ระดับการฟังอย่างมีวิจารณญาณ เป็นระดับการฟังที่สูงขึ้นอีกต้องอาศัยสมรรถภาพทางด้านการคิดวิเคราะห์ การประเมินค่า การวินิจฉัย และการน าไปใช้ในชีวิตจริงได้ การฟังระดับนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากสามารถพัฒนาจนเกิดทักษะแล้ว ผู้ฟังจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการฟังสารนั้นๆ

ลักษณะการฟัง

การฟังสามารถแบ่งได้หลากหลายลักษณะ สรุปได้ดังนี้

1. การฟังอย่างเข้าใจ เป็นการฟังขั้นพื้นฐานที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ เช่น ฟังเพื่อให้สามารถรับรู้เข้าใจเรื่องราว เข้าใจความคิดของบุคคล เข้าใจความหมายของสารแล้วสามารถน าสิ่งที่ ได้ฟังไปปฏิบัติได้ ฯลฯ การฟังลักษณะนี้ผู้ฟังควรฟังโดยตลอด ใช้ความคิดพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางและยอมรับความรู้ความคิดหรือมุมมองต่างๆ ของผู้ส่งสาร อาจมีการจดบันทึกประเด็นส าคัญๆ ไปด้วยก็ได้

ลักษณะการฟัง (ต่อ)

2. การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมาย เป็นการฟังที่ผู้ฟังตั้งวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งไว้ล่วงหน้า เช่น ต้องการฟังเพื่อความรู้ เพื่อความบันเทิง เพื่อการตัดสินใจ เป็นต้น การฟังอย่างไม่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายจัดว่าเป็นการฟังแบบผ่านๆ ผู้ฟังจะไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้ฟัง การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมายจึงเป็นพื้นฐานส าคัญของการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ

ลักษณะการฟัง (ต่อ)

3. การฟังอย่างมีวิจารณญาณ จัดเป็นการฟังที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์สารที่ได้ฟัง มักด าเนินควบคู่ไปกับการวิเคราะห์สาร จัดเป็นการฟังขั้นสูง ผู้ฟังต้องจับประเด็นว่าจุดมุ่งหมายของผู้พูดคืออะไร และแยกแยะว่าส่วนใดที่เป็นข้อเท็จจริงและเป็นข้อคิดเห็น โดยใช้กระบวนการคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล จนน าไปสู่การตอบสนองที่ถูกต้องเหมาะสม การฟังอย่างมีวิจารณญาณจะท าให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์และได้ข้อมูลที่เป็นจริง

ลักษณะการฟัง (ต่อ)

4. การฟังอย่างประเมินคุณค่า เป็นการฟังในระดับสูงต่อมาจากการฟังอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการฟังที่ผู้ฟังต้องประเมินหรือตัดสินคุณค่าของสารที่ฟังว่าดีหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ เหมาะแก่การน าไปปฏิบัติหรือไม่ ผู้ฟังควรฟังอย่างตั้งใจและสามารถวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ฟังได้อย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ การฟังอย่างประเมินคุณค่าท าให้ผู้ฟังตระหนักได้ว่าข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด

การฟั งที่ ดี มี ป ระสิ ทธิ ภ าพคื อ การฟั ง อย่ า ง มีวิจารณญาณ คือ การฟังที่มีประสิทธิภาพ นอกจากการฟัง เพื่อการรับสารแล้ว ต้องมีการวิ เคราะห์ ใคร่ครวญ วินิจฉัย ประเมินค่า และเพื่อใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจ าวันอย่างแท้จริงตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ทุกประการ

ขั้นตอนและกระบวนการฟัง

ขั้นตอนและกระบวนการ การฟังเพื่อรับสาร มีดังนี้

ได้ยิน รับฟัง ท าความเข้าใจ น าไปใช้ให้เกิดประโยชน์(รับสาร)

ขั้นตอนและกระบวนการฟัง

จากความหมายของการฟัง เราสามารถน ามาเขียนเป็นกระบวนการฟังได้ 6 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นได้ยินเสียง กระบวนการฟังจะเริ่มต้นตั้งแต่การได้ยินเสียงจากแหล่งของเสียงซึ่งแพร่คลื่นเสียงที่มีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าผ่านอากาศเข้ามา ประสาทสัมผัสทางหู หรือโสตประสาทจะรับเสียงเหล่านั้นผ่านเข้าไปยังสอง

ขั้นตอนและกระบวนการฟัง (ต่อ)

2. ขั้นรับรู้ เมื่อเสียงผ่านเข้าไปยังสมองแล้ว สมองจะจ าแนกเสียงพยางค์ไปตามลักษณะโครงสร้างทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา หากเป็นเสียงในภาษาที่ผู้ฟังรู้จักและเข้าใจจะเกิดการรับรู้ แต่หากผู้ฟังไม่รู้จักเสียงที่ผ่านเข้ามาก็จะไม่เกิดความหมายใด

ขั้นตอนและกระบวนการฟัง (ต่อ)

3. ขั้นตีความ เป็นขั้นที่ผู้ฟังแปลความหมาย หรือตีความหมายของประโยคหรือ สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง

4. ขั้นเข้าใจ เป็นขั้นการฟังซึ่งผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของใจความส าคัญของผู้พูดได้อย่างถูกต้อง

ขั้นตอนและกระบวนการฟัง (ต่อ)

5. ขั้นพิจารณาหรือขั้นเชื่อ เป็นขั้นที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ฟังที่จะตัดสิน ว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้น เป็นความจริงเพียงใด น่าเชื่อถือได้หรือไม่ ยอมรับได้หรือไม่ และเป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือไม่

ขั้นตอนและกระบวนการฟัง (ต่อ)

6. ขั้นการน าไปใช้ เมื่อพิจารณาสารเรียบร้อยแล้ว ผู้ฟังจะน าความรู้ความเข้าใจ ทีไ่ด้จากการฟังไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมต่อไป

จุดมุ่งหมายทั่วไปของการฟัง

แบ่งได้ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

1. การฟังเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจ าวัน การฟังชนิดนี้เป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ การฟังคนอื่นที่เราติดต่อเกี่ยวข้องมีความส าคัญมิใช่น้อย เพราะท าให้มนุษย์คงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ตลอดไป อันท าให้ด ารงชีวิตได้อย่างปกติสุข

จุดมุ่งหมายทั่วไปของการฟัง (ต่อ)

2. การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่ การฟังเพลงและดนตรี ฟังเรื่องราวสนุกสนาน เบาสมองหรือเรื่องที่ชวนให้ใช้ความนึกฝันหรือจินตนาการเป็น การผ่อนคลายความตึงเครียดอันเนื่องมาจากกิจกรรมงานและภาวะแวดล้อม สิ่งที่ท าให้เกิดความเพลิดเพลินได้คือเสียงของผู้พูดหรือผู้อ่านที่ชักน าให้ผู้ฟังรับรู้ถึงความน่าสนใจของเนื้อเรื่องและแก่เรื่องในนิทานนวนิยาย ความไพเราะ ของถ่อยค าและท่วงท านองหรือเหตุการณ์ที่เล่ามีความข าขันสบอารมณ์ของเรา

จุดมุ่งหมายทั่วไปของการฟัง (ต่อ)

3. การฟังเพื่อรับความรู้ ได้แก่ การฟังเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาการ ข่าวสาร และข้อเสนอแนะต่างๆ จะต้องฟังให้เข้าใจ และจดจ าสาระส าคัญ ใช้ความคิด วิเคราะห์ ตีความ และประเมินคุณค่าได้ตามล าดับ

อย่างไรก็ดี เราควรรู้จักจับเฉพาะสารประโยชน์ แล้วน ามาประพฤติปฏิบัติให้ได้ ก็จะเกิดผลแก่ชีวิตของเรา นั่นคือการฟังครั้งนั้นก็ว่าได้ผลคุ้มกับเวลาที่เสียไป

จุดมุ่งหมายทั่วไปของการฟัง (ต่อ)

4. การฟังเพื่อได้คติชีวิตและความจรรโลงใจ ได้แก่ การฟังพระธรรมเทศนา ค าสอนหรือโอวาทต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดสติปัญญา และช่วยเป็นแนวทาง ในการด าเนินชีวิตที่ดีงาม

การฟังให้สัมฤทธิ์ผล

การฟังให้สัมฤทธิ์ผล หมายถึง การฟังให้ได้รับความส าเร็จ การฟังให้สัมฤทธิ์ผลจะมีระดับสูงหรือต่ า มากน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยส าคัญคือ โอกาสของการฟังและระดับขั้นของการฟัง ดังนั้นขั้นแรกผู้ฟังจึงควรวิเคราะห์โอกาสที่ฟังก่อน

โอกาสของการฟัง

ประกอบด้วย 4 ลักษณะ ดังนี้

1. การฟังระหว่างบุคคล มีทั้งการฟังระหว่างที่ไม่เป็นทางการ เช่น ฟังในขณะ ที่ทักทายกัน ระหว่างสนทนาปราศรัย การสอบถาม การขอค าแนะน าในเรื่องทั่วๆ ไป และการฟังที่เป็นทางการ เช่น ฟังในระหว่างการสัมภาษณ์ การแนะน าตัว การแนะน าบุคคลให้รู้จักกัน

โอกาสของการฟัง (ต่อ)

2. การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก ส่วนใหญ่มักเป็นการสื่อสารกึ่งทางการหรือค่อนข้างไม่เป็นทางการ เช่น ในกลุ่มที่ใช้ความคิดร่วมกัน ปรึกษาหารือกัน ช่วยกันหาวิธีปฏิบัติหรือวิธีแก้ปัญหา

โอกาสของการฟัง (ต่อ)

3. การฟังในที่ประชุมหรือในที่ชุมนุม มักค่อนข้างเป็นทางการหรือเป็นทางการมาก เช่น ฟังบรรยายประกอบการสาธิตวิธีใช้เครื่องมือ จะมีลักษณะค่อนข้างเป็นทางการ ฟังค าบรรยายของผู้ทรงคุณวุฒิ ฟังโอวาท ฟังค ากล่าวรายงาน ย่อมมีลักษณะเป็นทางการมาก

โอกาสของการฟัง (ต่อ)

4. การฟังวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการฟังอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ฟังข่าวประจ าวัน ฟังรายการความรู้ ฟังประกาศของทางราชการแม้รายการที่ส่งมาจะมีลักษณะเป็นทางการก็ตาม ยิ่งเป็นรายการที่ไม่เป็นทางการ เช่น รายการสนทนาพาเพลิน รายการหรรษา การฟังรายการประเภทนี้ย่อมเป็นการฟังอย่างไม่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น

ระดับของการฟังให้สัมฤทธ์ิผล

1. ทราบจุดประสงค์ของผู้พูดหรือไม่ ถ้าทราบแล้ว สามารถบอกได้ว่าจุดประสงค์นั้นคืออะไร ก็แสดงว่าส าเร็จผลในขั้นที่ 1

2. ทราบว่าข้อความที่ผู้พูดพูดมานั้นครบถ้วนหรือไม่ ถ้าทราบก็แสดงว่าการฟังสัมฤทธิ์ผลสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ระดับของการฟังให้สัมฤทธ์ิผล (ต่อ)

3. สามารถบอกได้ว่าเนื้อความที่ได้ฟังนั้น น่าเชื่อถือหรือไม่ อย่างไร ถ้าบอกได้ชัดเจน แสดงว่าการฟังสัมฤทธิ์ผลในระดับสูงขึ้นไปอีก

ระดับของการฟังให้สัมฤทธ์ิผล (ต่อ)

4. สามารถบอกได้ว่าสารที่ได้ฟังนั้นมีคุณค่า เป็นประโยชน์หรือไม่ อย่างไรถ้าบอกได้หรือประเมินได้ การฟังนั้นก็สัมฤทธิ์ผลในขั้นสูงขึ้นไปอีก

สรุป ระดับของการฟังให้สัมฤทธิผ์ล

ในการที่เราจะทราบเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสาร ทั้งจุดประสงค์ ความน่าเชื่อถือ ความมีคุณค่า เราต้องรู้จักใช้ดุลพินิจของตน ซึ่งก็คือ การใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความไม่เอนเอียง ปราศจากอคติเป็นความสามารถที่ค่อยๆ เจริญขึ้นในตัวบุคคล หากเราใช้สม่ าเสมอ ฝึกฝน ได้เห็นแบบอย่างจากผู้อื่น

มารยาทในการฟัง

ในการฟังให้สัมฤทธิ์ผลนั้น เราต้องค านึงถึงมารยาทในสังคมด้วย เพราะมารยาทเป็นเครื่องก ากับพฤติกรรมของคนในสังคมให้เรียบร้อยงดงาม ซึ่งจะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่เจริญแล้ว มารยาทที่เราควรจะรักษาไว้มี 3 ลักษณะดังนี้

มารยาทในการฟัง (ต่อ)

1. การฟังเฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ผู้ฟังต้องส ารวมกิริยาอาการ พยายามสบตากับ ผู้พูดให้พอเหมาะ แต่ไม่ถึงกับจ้องหน้า ไม่ชิงพูดก่อนที่คู่สนทนาพูดจบความ ถ้าฟังไม่เข้าใจ ควรถามเมื่อผู้พูดพูดจบแล้ว

2. การฟังในที่ประชุม จ าเป็นต้องตั้งใจฟัง อาจจดความส าคัญไว้ ไม่ควรพูดกระซิบกับคนที่อยู่ข้างเคียง ไม่ท ากิจธุระส่วนตัวอย่างอื่น ไม่ควรพูดแซงขึ้น ต้องฟังจนจบแล้วจึงให้สัญญาณขออนุญาตพูด เช่น ยกมือ

มารยาทในการฟัง (ต่อ)

3. การฟังในที่สาธารณะ เช่น ในโรงภาพยนตร์หรือโรงละคร หรือในที่ชุมนุมชน ไม่ควรก่อความร าคาญให้กับคนที่ฟังอยู่ ข้อควรระวังคือ

3.1 รักษาความสงบ ไม่พูดคุย ไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ก าลังดูหรือฟังอยู่

ไม่ส่งเสียงดัง เพราะจะรบกวนผู้อื่น

3.2 ไมน่ าอาหารหรือวัตถุที่มีกลิ่นแรง หรือที่น่ารังเกียจเข้าไปในสถานที่นั้น

มารยาทในการฟัง (ต่อ)

3.3 ไมเ่ดินเข้าออกบ่อยๆ ถ้าจ าเป็นต้องท าเช่นนั้น ควรเลือกที่นั่งที่อยู่ริม

หรือใกล้ประตูทางเดิน

3.4 ไม่ควรแสดงกิริยาอาการที่ไม่สมควรระหว่างเพื่อนต่างเพศในโรงมหรสพ

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง

อุปสรรคและปัญหาในการฟังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่งผลให้การสื่อสาร ไมส่ัมฤทธิ์ผล เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง และอาจท าให้ผู้ฟังไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งที่ฟังได้ สาเหตุของอุปสรรคและปัญหาที่ท าให้การฟังไม่สัมฤทธิ์ผลสรุปได้ 5 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

1. สาเหตุจากผู้ฟัง สาเหตุจากผู้ฟังส่วนใหญ่เกิดมาการขาดความพร้อมของผู้ฟังและนิสัยการฟังที่ไม่ดี เช่น ทนฟังนานๆ ไม่ได้ ขาดสมาธิ เชื่อคนง่าย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ฟัง ขาดทักษะการจับใจความส าคัญ ไม่ชอบบันทึกข้อมูล มีปัญหาสุขภาพ เป็นต้น ผู้ฟังที่ดีควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและนิสัยดังกล่าว และพยายามพัฒนาทักษะการฟังอยู่เสมอ อุปสรรคและปัญหาเหล่านี้ ผู้ฟังสามารถปรับให้ดีขึ้นได้เพราะเกิดมาจากตัวผู้ฟังเอง

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

2. สาเหตุจากผู้พูด ผู้พูดเป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่มีส่วนส าคัญต่อกระบวนการฟังที่มีประสิทธิภาพ การฟังที่มีประสิทธิภาพนอกจากผู้ฟังจะต้องมีทักษะการฟังที่ดีแล้ว ผู้พูดควรมีทักษะการพูดที่ดีด้วยเช่นกัน หากผู้พูดมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับวิธีการพูด การน าเสนอสาร หรือบุคลิกภาพอาจจะท าให้ผู้ฟังเข้าใจประเด็นผิด ไม่เชื่อถือ และไม่สนใจฟังก็เป็นได้ สาเหตุจากผู้พูดพอสรุปได้ดังนี้

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

2.1 ผู้พูดขาดทักษะการส่งสาร เช่น ไม่สามารถถ่ายทอดความคิดหรือความรู้เป็นค าพูดได้ ไม่คุ้นเคยต่อการน าเสนอต่อหน้าที่ประชุมชน ฯลฯ

2.2 ผู้พูดรู้สึกประหม่า ตื่นเต้น หรือกลัวจนพูดไม่ออกหรือพูดติดขัด ซึ่งอาจ ท าให้ฟังแล้วเข้าใจยากและอาจท าให้ไม่อยากฟัง

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

2.3 ผู้พูดกังวลเรื่องเนื้อหาที่จะพูดยังไม่สมบูรณ์ ปัญหานี้อาจท าให้ผู้พูดขาดความมั่นใจจนทาให้การถ่ายทอดสารขาดประสิทธิภาพ ส่วนผู้ฟังจะได้รับสารไม่ครบถ้วนหรืออาจเข้าใจสารผิดไปได้

2.4 ขาดบุคลิกภาพที่ดีขณะพูด บุคลิกภาพที่ดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้พูดได้ การขาดบุคลิกภาพจะท าให้ผู้ฟังรู้สึกสงสัยและไม่เชื่อถือสิ่งที่ผู้พูดพูด

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

3. สาเหตุจากสาร สาเหตุจากสารส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผู้ฟังไม่เข้าใจสาร โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ พอสรุปสาเหตุจากสารคร่าวๆ เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

3.1 สาเหตุจากเนื้อหา ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่มาจากเนื้อหาของสารมักจะเกิดจากสารที่เข้าใจยาก สารที่มีความซับซ้อนและลึกซึ้งมาก หรือมีตาราง แผนภูมิ กราฟที่เข้าใจยาก ซ่ึงปัญหาเหล่านี้อาจท าให้ฟังไม่เข้าใจหรือเข้าใจสารผิดก็ได้

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

3.2 สาเหตุจากภาษา ภาษาที่ปรากฏในสารนั้นอาจทาให้เกิดปัญหาได้ โดยสารนั้นมีค าศัพท์เฉพาะมากเกินไป เป็นศัพท์ที่ไม่ได้ใช้อยู่ทั่วไป หรือใช้ศัพท์ภาษาต่างประเทศมากเกินไปหรือบทกวีที่เข้าใจยากซึ่งอาจท าให้ผู้ฟังไม่เข้าใจสาร เกิดความรู้สึกงุนงงก็เป็นได้

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

4. สาเหตุจากสื่อ สื่อ คือ วิธีทางหรือช่องทางการน าเสนอสารของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร สื่อมีหลายประเภท เช่น สื่อที่เป็นบุคคล สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อทางธรรมชาติ เป็นต้น หากสื่อเกิดขัดข้องหรือด้อยคุณภาพ เช่น ไมโครโฟนเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ หรือโทรทัศน์พร่ามัว สัญญาณไม่ดี หรือบุคคลที่ที่ฝากสารไปส่งต่อเข้าใจสารผิด ฯลฯ จะท าให้ผู้ฟังหรือผู้รับสารไม่เข้าใจสาร ส่งผลให้การสื่อสารขาดประสิทธิภาพ

อุปสรรคและปัญหาในการฟัง (ต่อ)

5. สาเหตุจากสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมเป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการฟัง แต่หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออ านวยอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟังได้ เช่น แสงสว่างน้อยเกินไป อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังเกินไป ร้อนหรือหนาว เกินไป เป็นต้น

สรุป อุปสรรคและปัญหาในการฟัง

อุปสรรคและปัญหาในการฟังข้างต้น อาจท าให้ประสิทธิภาพในการฟัง ลดน้อยลง ทั้งนี้ปัญหาบางปัญหาไม่ได้เกิดมาจากผู้ฟัง ทว่าผู้ฟังควรเตรียม ความพร้อมในทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการฟังที่มาจากผู้ฟังเอง เป็นสิ่งที่ผู้ฟังควรแก้ไขและเป็นสิ่งที่แก้ไขได้เพราะเกิดจากตัวผู้ฟังเอง

จบการบรรยาย บทที่ 2 การฟัง