บทความ พระคุณของแม...ฉะน นโบราณ บ ณฑ...

5
นาวิกศาสตร์ ปีท่ ๙๕ เล่มที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ ทความ นาวาตรี ยอดเย่ยม ปลอดพยันต์ พระคุณของแมถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ซึ่งเป็นวัน เฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จ พระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ในทุกปี และนับ ว่าเป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยเรากำหนดให้ถือเอา วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ฉะนั้น ในบทความเรื่องนีเพื่อที่จะเป็นการประกาศถึงพระคุณของแม่ที่ท่าน มีแก่ลูกและวิธีตอบแทนพระคุณของแม่ในแง่ของ พระพุทธ ศาสนา ผมจึงขอนำเอาบทความเรื่อง “พระคุณของแม่” มานำเสนอสู่สายตาของท่านทั้งหลาย เมื่อกล่าวถึง “พระคุณของแม่” ท่านทั้งหลายทีสนใจใฝ่ธรรมส่วนใหญ่เมื่อฟังเรื่องแม่แล้ว ก็ฟังกันไดทุกครั้งไม่มีวันเบื่อ และเมื่อพูดถึงแม่แล้วท่านทั้งหลาย คงทราบกันเป็นอย่างดีว่า...ความเป็นแม่คือ การเป็นผู้ให้ แม่...ผู้ให้กำเนิด แม่...ผู้ให้ชีวิต แม่...ผู้บำรุงเลี้ยง แม่...ผู้มีอุปการคุณ ต่อศาสนาและผืนแผ่นดิน จากถ้อยคำดังกล่าวนีจะเห็นได้ว่า แม่นี้มีความสำคัญ ต่อทุกชีวิตบนโลก เพราะว่าแม่คือผู้ให้กำเนิดชีวิตอีก ชีวิตหนึ่งขึ้นมา และเมื่อให้กำเนิดแล้ว แม่ก็ยังคอย เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ด้วยความรักบริสุทธิ์ของแม่นี้เอง ที่เป็นสาเหตุให้มนุษยชาติดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนีหรืออาจกล่าวได้ว่า แม่คือผู้ที่ทำให้สัตว์โลกไม่สูญพันธุถึงแม้ว่า แม่จะรู้ว่าการคลอดลูกแต่ละครั้งจะเป็นช่วง ที่เจ็บปวดร่างกายและอันตรายถึงชีวิตที่สุด แต่ด้วย ความรักที่แม่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินจึงทำให้แม่ แม้จะเจ็บปวดร่างกายมากเท่าใด หรือแม้จะมีอันตราย ถึงชีวิตเพียงไร แม่ย่อมยินดีที่จะให้ลูกน้อยของแม่ เกิดขึ้นมา และไม่เพียงเท่านั้น แม่ยังปรารถนาให้ลูก ของตนได้เกิดมาด้วยความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและ เมื่อ [email protected] ๐55

Upload: others

Post on 05-Jan-2020

3 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: บทความ พระคุณของแม...ฉะน นโบราณ บ ณฑ ตท านจ งอ ปมาว า ถ าจะเอาแผ นฟ า มาแทนกระดาษ

นาวิกศาสตร์  ปีที่ ๙๕ เล่มที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

บทความ

นาวาตรี ยอดเยี่ยม ปลอดพยันต์

พระคุณของแม่

ถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จ

พระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ในทุกปี และนับว่าเป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยเรากำหนดให้ถือเอาวันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ฉะนั้น ในบทความเรื่องนี้ เพื่อที่จะเป็นการประกาศถึงพระคุณของแม่ที่ท่าน มีแก่ลูกและวิธีตอบแทนพระคุณของแม่ในแง่ของพระพุทธศาสนา ผมจึงขอนำเอาบทความเรื่อง “พระคุณของแม่” มานำเสนอสู่สายตาของท่านทั้งหลาย เมื่อกล่าวถึง “พระคุณของแม่” ท่านทั้งหลายที่สนใจใฝ่ธรรมส่วนใหญ่เมื่อฟังเรื่องแม่แล้ว ก็ฟังกันได้ทุกครั้งไม่มีวันเบื่อ และเมื่อพูดถึงแม่แล้วท่านทั้งหลายคงทราบกนัเปน็อยา่งดวีา่...ความเปน็แม่คอื การเปน็ผูใ้ห ้แม่...ผู้ให้กำเนิด แม่...ผู้ให้ชีวิต แม่...ผู้บำรุงเลี้ยง

แม่ . . . ผู้ มี อุ ปการคุณต่อศาสนาและผืนแผ่นดิน จากถอ้ยคำดงักลา่วนี ้ จะเห็นได้ว่า แม่นี้มีความสำคัญต่อทุกชีวิตบนโลก เพราะว่าแม่คือผู้ให้กำเนิดชีวิตอีกชีวิตหนึ่งขึ้นมา และเมื่อให้กำเนิดแล้ว แม่ก็ยังคอยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ด้วยความรักบริสุทธิ์ของแม่นี้เองที่เป็นสาเหตุให้มนุษยชาติดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้หรอือาจกลา่วไดว้า่ แมค่อืผูท้ีท่ำใหส้ตัวโ์ลกไมส่ญูพนัธุ ์ถึงแม้ว่า แม่จะรู้ว่าการคลอดลูกแต่ละครั้งจะเป็นช่วงที่เจ็บปวดร่างกายและอันตรายถึงชีวิตที่สุด แต่ด้วยความรักที่แม่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินจงึทำใหแ้ม่แมจ้ะเจบ็ปวดรา่งกายมากเทา่ใด หรอืแมจ้ะมีอันตรายถึงชีวิตเพียงไร แม่ย่อมยินดีที่จะให้ลูกน้อยของแม่เกิดขึ้นมา และไม่เพียงเท่านั้น แม่ยังปรารถนาให้ลูกของตนได้เกิดมาด้วยความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและ

เมื่อ

[email protected]

๐55

Page 2: บทความ พระคุณของแม...ฉะน นโบราณ บ ณฑ ตท านจ งอ ปมาว า ถ าจะเอาแผ นฟ า มาแทนกระดาษ

นาวิกศาสตร์  ปีที่ ๙๕ เล่มที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

จติใจเพื่อให้ลูกของแม่ได้มีชีวิตอย่างมีความสุขสมบรูณ์ ฉะนั้นโบราณ บัณฑิตท่านจึงอุปมาว่า ถ้าจะเอาแผ่นฟ้ามาแทนกระดาษ เอาน้ำในมหาสมุทรมาแทนน้ำหมึก เอาเขาพระสุเมรุ ที่ถือว่าเป็นภูเขาที่ ใหญ่ที่สุด มาแทนปากกา แล้วบรรจงเขียนพรรณนาพระคุณของแม่ จนกระทั่งตัวอักษรเต็มผืนฟ้า น้ำทะเลหมดมหาสมุทร เขาพระสุเมรุ ทั้งลูกก็สึกราบเรียบไปหมด แม้กระนั้นก็ยังพรรณนาพระคุณของท่านไม่จบเลย แม่ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจดูแลลูกจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ แต่ในทางกลับกันคือ เมื่อลูกยิ่งเจริญเติบโตขึ้น ผู้เป็นแม่ก็เริ่มชรา ร่างกายก็พลอยทรุดโทรมลงตามลำดับ จนในที่สุดก็ต้องหยุดพักโดยปริยาย เพราะสังขารร่างกายไม่อำนวยให้ทำงานได้เหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าจิตใจจะแข็งแกร่งอยากทำสักปานใด แต่ไม่อาจฝืนธรรมชาติของสังขารได้ จึงเป็นหน้าที่สำคัญของลูกที่ต้องดูแลผู้เป็นแม่ ซึ่งนี่ถือ

เป็นการตอบแทนพระคุณของแม่อย่างหนึ่งคือ การดูแลท่านยามท่านแก่ชรา แต่แท้ที่จริงแล้ว การตอบแทนพระคุณของแม่ ลูกสามารถกระทำได้ตั้งแต่เมื่อเราเป็นเด็ก หรืออาจจะกล่าวได้ว่า การตอบแทนพระคุณของแม่คือการทำหน้าที่ของลูกให้สมบูรณ์ตามวัยของตนเอง เช่น เมื่อเราเป็นเด็ก หน้าที่สำคัญของลูก ก็คือ การตั้งใจเรียน การเป็นเด็กดี และเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่ ตลอดจนเมื่อเราโตขึ้น จบการศึกษา และมีงานทำ หน้าที่สำคัญของลูก ก็คือ การดูแลให้แม่มีความสุขสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นต้น ดังที่ผมกล่าวมานี้ทุกท่านก็คงจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อนแต่ผมขอย้อนมานำเสนอให้อ่านกันในวาระอันสำคัญนี้ และใคร่ขอนำ บทธรรมะคีตาที่พร่ำพรรณาขับขานในบทที่เกี่ยวกับพระคุณแม่มานำเสนอ ดังนี้

คำว่า“แม่”นั้นยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ สุดจะเทียบเทียมได้ในโลกหล้า เพราะแม่นั้นให้กำเนิดเกิดลูกมา คุณของค่าน้ำนมหาใดปาน คำว่าแม่มีแต่ “ให้” ไม่คิดรับ แม่ให้ทรัพย์ให้วิชาให้อาหาร ให้ชีวิตให้ความคิดให้วิญญาณ สุดประมาณจะนับได้มากมายจริง แม่ลำบากตรากตรำทุกค่ำเช้า หนักก็เอาเบาก็สู้ไม่รู้หนี แม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งตาปี แม่ยอมพลีชีวิตทั้งจิตใจ ก็เพื่อลูกผูกพันกระสันรัก แม้ดวงตาแม่รักควักให้ได้ เมื่อลูกโศกแม่เล่ายิ่งเศร้าใจ ทั่วแดนไตรคุณแม่เลิศประเสริฐเอย

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายครับ หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่เหลือคณานับ คือ “หนี้พระคุณของแม่” เพราะแม่เป็นผู้ให้กำเนิดเรา...เลี้ยงดูเรา แม่ต้องลำบากอุ้มท้องลูกเป็นเวลาถึง ๙ เดือน เมื่อคลอดลูกแล้ว แม่ก็ยังต้องประคบประหงมเลี้ยงดู ยามลูกเจ็บป่วยก็เฝ้ารักษา พ่อก็ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ส่งเสียให้ลูกเล่าเรียนจน กระทั่งมีงานทำและมีเหย้ามีเรือน พระคุณของแม่ยิ่งใหญ่จริง ๆ มีคติธรรมคำกลอนอันเป็นบทธรรมะคีตา บทที่ ๒ ที่จะขอนำเสนอ ดังนี้

ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องของคุณแม่ ท่านเฝ้าแต่คอยประคบให้อบอุ่น จะเคลื่อนไหวใจท่านผูกปลูกการุณย์ เฝ้าแต่ครุ่นคิดเป็นห่วงดวงชีวัน ตั้งเก้าเดือนกว่าจะเคลื่อนจากท้องแม่ ลำบากแท้แม่ของลูกทุกข์มหันต์ เมื่อยามคลอดแทบชีวิตจะปลิดพลัน เกิดลูกพลันพบหน้าลูกผูกอาลัย เห็นลูกน้อยปลุกปลื้มลืมความเจ็บ เหมือนใครเก็บเจ็บปลิดจิตผ่องใส ใบหน้าลูกราวกับยารักษาใจ ทิพย์โอสถรดฤทัยชูชีวัน

๐56

Page 3: บทความ พระคุณของแม...ฉะน นโบราณ บ ณฑ ตท านจ งอ ปมาว า ถ าจะเอาแผ นฟ า มาแทนกระดาษ

นาวิกศาสตร์  ปีที่ ๙๕ เล่มที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

ท่านเลี้ยงลูกผูกจิตมิคิดหน่าย มอบใจกายยอมอุทิศมิบิดผัน หลั่งน้ำนมให้ลูกทุกคืนวัน ให้ลูกนั้นดื่มกินด้วยยินดี แม่เคยห่วงพวงถันยามท่านสาว เมื่อถึงคราวเลี้ยงลูกถูกหน้าที่ เลือดในอกยกให้ดื่มปลื้มปราณี ใจยินดีให้ลูกดื่มลืมความอาย มือสองข้างซ้อนร่างอ่อนโอบอุ้ม ร่างนิ่มนุ่มแนบข้างไม่ห่างหาย อกแม่เอนแอบเอียงนอนเคียงกาย ให้ลูกหายคลายหนาวยามค่ำคืน ตักของแม่แผ่รองลูกดังฟูกนุ่ม คอยโอบอุ้มกล่อมนิทราไม่ฝ่าฝืน ประจงจูบลูบไล้ทุกวันคืน เป็นที่ชื่นเชยชิดสนิทใจ ยามจะนอนแม่ก็วอนวจีหวาน กล่าวประสานกล่อมเสียงสำเนียงใส ทั้งยามกินคอยป้อนวอนอาลัย ยามลูกถ่ายแม่ก็ไม่รังเกียจเลย ลูกเปรอะเปื้อนเหม็นสางแม่ล้างเช็ด ทุกสิ่งเสร็จเกื้อกูลแม่คุณเอ๋ย ไม่เบื่อหน่ายหมายนิยมเฝ้าชมเชย ใครจะเลยล่วงท่านนั้นไม่ปาน.....

ในมงคลสูตรตอนกถาว่าด้วยการบำรุง มารดาบิดา ซึ่งข้อความตอนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในมงคลสูตรข้อดังกล่าวมี ใจความเป็นภาษาไทยว่า แท้จริง แมม้ารดาบดิา เมือ่เหน็ฐานะทัง้หลายมกีารเลีย้งเปน็ตน้ จึงปรารถนาบุตร ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสคาถาเหล่านี้ ในปุตตสูตร ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า “บัณฑิตทั้งหลาย เมื่อเห็นฐานะ ๕ คือ บุตร อันเราเลี้ยงแล้วจักเลี้ยงเรา ๑ จักช่วยทำกิจ

ของเรา ๑ สกุล - วงศ์พึงดำรงอยู่ได้นาน ๑ บุตร จะปฏบิตัคิวามเปน็ทายาท ๑ อกีอยา่งหนึง่ จกัตามเพิม่ใหท้กัษณิาแกเ่ราผูล้ว่งลบัไปแลว้ จงึปรารถนาบตุร บณัฑติทัง้หลาย เมือ่เหน็ฐานะ ๕ เหลา่นี ้จงึปรารถนาบตุร เพราะฉะนัน้ บตุรทัง้หลาย ผูส้งบ เปน็สตับรุษุ ผู้กตัญญูกตเวที เมื่อหวนระลึกถึงอุปการะที่ท่าน ทำแล้วในก่อน ย่อมเลี้ยงมารดา บิดา ช่วยทำกิจ ทั้ งหลายของท่านเหมือนกตัญญูกตเวทีบุคคล ช่วยทำกิจของบุรพการีชนทั้งหลายฉะนั้น บุตรผู้ทำตามโอวาท เลี้ยงท่านผู้เลี้ยง (ตน) มาแล้ว ไม่ทำสกุลวงศ์ให้เสื่อม มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นผู้น่าสรรเสริญ” จากใจความข้างต้นและนัยแห่งพระคาถาบทนี ้กค็งเปน็ทีท่ราบกนัดแีลว้วา่ พอ่แมท่า่นปรารถนาจะมบีตุรกเ็พราะหวงัจะพึง่พาบตุรดว้ยฐานะทัง้หา้ประการในพระคาถา และเมื่อเราได้ทราบกันแล้วว่าแม่นั้นมีพระคุณต่อลูกมากมาย ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา ลูกทุกคนจึงต้องตระหนักสำนึกในพระคุณของแม่ ต้องมีความกตัญญู คือรู้คุณ หมายถึงรู้อุปการคุณที่แม่ทำไว้แก่ตน แม้แต่ก่อนจะยังไม่มีโอกาสตอบแทน เพราะเรายังเล็กหรือเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าผู้ใดรู้ถึงคุณคือยอมรับในอุปการคุณของท่านที่มีพระคุณแก่

๐57

Page 4: บทความ พระคุณของแม...ฉะน นโบราณ บ ณฑ ตท านจ งอ ปมาว า ถ าจะเอาแผ นฟ า มาแทนกระดาษ

นาวิกศาสตร์  ปีที่ ๙๕ เล่มที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

ตนแล้ว ก็จัดได้ว่าเป็นคนกตัญญู และกตเวที คือหาทางตอบแทนพระคุณของท่าน ด้วยหลักปฏิบัติตามหลักพุทธวิธี ในมงคลสูตรและสิงคาลกสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ดังนี้ คือ

“จงดำรง รกัษา สกลุวงศ ์ คอืเผา่พงศ ์ ใหม้หีลกั เป็นศักดิ์ศรี หนึ่งลูกลูก ร่วมรัก สามัคคี จิตไมตรี ต่อกัน จนวันตาย สองรักษา ความดี ที่ท่านทำ ไม่ เหยียบย่ำ ทำคุณ ให้สูญหาย รักษาขนบ ธรรมเนยีม อยา่ทำลาย ทา่นทำไว ้อะไรบา้ง ตัง้ใจทำ”

n จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก (ทายชฺชํ ปฏิปชฺชามิ) - ประพฤติตนให้ท่านไว้ใจและวางใจที่จะให้เราครอบครองสมบัต ิ “ประพฤติตน ให้เป็นคน สมควรรับ เรื่องของทรพัย ์ มรดก ไมผ่กผนั ไมเ่อาขาย ซือ้สรุา เลน่พนนั รักษามั่น ทรัพย์ไม่วาย ทำลายวงศ์ มาจัดแจก แยกยา้ย ขยายทรพัย ์ให้ไดน้บั เปน็สองสาม งามระหง ให้จำเริญ ถ้วนทั่ว ทั้งเผ่าพงศ์ ทรัพย์มั่นคง มรดก ตกเป็นคุณ” n เมื่อท่านล่วงลับไปสู่ปรโลกแล้ว ทำบุญอุทิศไปให้ท่าน (อถวา  ปน  เปตานํ  กาลกตานํ  ทกฺขิณํ อนุปฺปทสฺสามิ)  “เมื่อพ่อแม่ ล่วงลับ ดับไปแล้ว โอ้ลูกแก้ว ทำบญุ คณุกศุล อทุศิไป ใหพ้อ่แม ่ผูว้ายชนม ์ลกูทกุคน ควรทำ ประจำวัน ดวงวิญญาณ ท่านนั้น ประสบสุข ไม่มีทุกข์ ผลบุญชู สู่สวรรค์ แดนสุขสม ร่มเย็น เป็นเทวัญ อยู่สวรรค์ เมืองฟ้า สถาพร” แม ่...เป็นบุพการีที่หาได้ยากบุคคลหนึ่ง เพราะได้ทำอุปการคุณต่อลูกทุกคนมาก่อน โดยได้ให้กำเนิดชีวิตแก่ลูก คอยเลี้ยงดูลูก คอยอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีเป็นต้น จึงเป็นบุคคลที่สำคัญ และ มีพระคุณต่อลูกอย่างมหาศาล ฉะนั้น เมื่อถึงวันสำคัญคือวันแม่แห่งชาตินี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เป็นลูกทุกคนจะได้เข้าใจและตระหนักรู้ซึ้งถึงพระคุณของแม่ รวมถึงประกาศพระคุณของท่าน ตามเวลาที่เหมาะสม ลูกที่ได้ปฏิบัติต่อแม่ได้อย่างนั้น ย่อมได้รับแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ไม่มีวันตกต่ำเลย มีแต่คนสรรเสริญเยินยอและถือว่าเป็นการปฏิบัติตนที่สมควร แก่ภาวะของลูกที่ดีตามหลักพระพุทธศาสนา ดังคำที่ว่า

n ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว  เราจักเลี้ยงท่านตอบ (ภโต  เนสํ  ภริสฺสามิ)  -  เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า อย่าปล่อยให้ท่านอด และรันทดใจในวัยชรา “พ่อแม่นั้น ท่านกล่อมเกลี้ยง เลี้ยงเรามา จงอุตส่าห์ เลี้ยงท่านตอบ กอปรเหตุผล สนองคุณ ของท่าน หมั่นปรือปรน เป็นมงคล ล้ำเลิศ ที่เกิดมา จงเลี้ยงกาย เลี้ยงใจ ให้ท่านสุข ไม่มีทุกข์ พัวพัน ท่านหรรษา ลูกบำรุง ปรุงสุข ให้ทุกครา พบแดนฟ้า เมืองสวรรค์ ทุกวันคืน”

n ทำกิจธุระของท่าน (กิจฺจํ  เนสํ  กริสฺสามิ) - ลูกจะต้องไม่นิ่งดูดาย  เป็นคนไร้น้ำใจ  ต้องเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของท่าน “อนัลกูด ี ทา่นมงีาน การธรุะ กพ็งึจะ ชว่ยทำกจิ ไม่บิดผัน ช่วยทำงาน การของท่าน ทุกคืนวัน ให้ท่านนั้น สนัตสิขุ ไมท่กุขท์น เชญิลกูสาว ลกูชาย ทัง้หลายเอย๋ อยา่ละเลย งานแมพ่อ่ กอ่กศุล ดจุชว่ยพรหม พระอรหันต์ ของของตน เป็นบุญล้น ควรทำ ประจำวัน”

nจักดำรงวงศ์สกุล (กุลวํสํ ฐเปสฺสามิ) - ไม่ทำตระกูลให้เสื่อมและเสียหาย

๐58

Page 5: บทความ พระคุณของแม...ฉะน นโบราณ บ ณฑ ตท านจ งอ ปมาว า ถ าจะเอาแผ นฟ า มาแทนกระดาษ

นาวิกศาสตร์  ปีที่ ๙๕ เล่มที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

“อันลูกดีมีห้าท่านว่าไว้ เอาใจใส่เลี้ยงพ่อแม่ไม่หน่ายหนี พร้อมขวนขวายช่วยการงานที่ท่านมี อีกสร้างตนเป็นคนดีในสกุล ช่วยรักษาสมบัติท่านที่ให้ไว้ ส่งผลบุญไปให้เมื่อท่านสูญ สมบัติห้าคือหน้าที่ลูกเพิ่มพูน ไม่เสื่อมสูญหมั่นทำไว้ได้เจริญ”

เก็บตก

นับจากการแข็งขันฟุตบอลกติกา ร.ศ.๑๑๙ หรือ

พ.ศ.๒๔๔๓ อย่างเป็นทางการแล้วในสยามประเทศ

กรมศึกษาธิการจึงจัดลูกหนังนักเรียนชิงโล่ของกรม

กระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๔๔ แต่หลังจากนั้นถึง

๑๔ ปี จึงเกิดทัวร์นาเมนต์ระดับสโมสรขึ้นเป็นครั้งแรก

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมุงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ทรงมีพระราชดำริให้จัด “การแข่งขันฟุตบอลสำหรับ

พระราชทานถ้วยทองของหลวง” โดยถ้วยรางวัลทำด้วย

ทองคำแท้ขนาดย่อม นอกจากนี้พระองค์ยังทรงดำรง

ตำแหน่งสภานายกคณะฟุตบอลถ้วยทองของหลวง

ตลอดรัชสมัย (พ.ศ.๒๔๕๘ - ๒๔๖๘)

การแข่งขันฟุตบอลถ้วยทองของหลวงครั้งแรก มีขึ้น

ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๕๘

ณ สนามเสือป่า สวนดุสิต ถนนหน้าพระลาน มีสโมสร

ส่งเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน ๑๒ ทีม ได้แก่นักเรียนนายร้อย

ทหารบก, นักเรียนสารวัตร, กรมนักเรียนเสือป่าหลวง,

เสือป่าเสนากลาง, เสือป่ากองพันพิเศษ รักษาพระองค์,

กรมเสือป่าราบหลวง, กรมพรานหลวง, กรมเสือป่าม้าหลวง,

กรมทหารมหาดเล็ก และกรมทหารรักษาวัง

โดยคณะกรรมการถ้วยทองของหลวง ได้จัดขึ้นพิมพ์

สมุดระเบียบการแข็งขันและให้เปลี่ยนการแข่งขันเรียก

“ประตู” แทนคำว่า “โกล์” เพื่อความเข้าใจทั่วกัน โดยยังเป็น

รายการแรกที่เก็บเงินค่าผ่านประตู ดังนี้ ชั้นที่หนึ่ง (นั่งเก้าอี้)

ราคา ๑ บาท, ชั้นที่สอง (นั่งอัฒจันทร์) ราคา ๕๐ สตางค์

และชั้นที่สาม (รอบเส้นข้างสนาม) ราคา ๑๐ สตางค์

สำหรับนัดสำคัญจะมีผู้เข้าชมถึง ๘,๐๐๐ คน ส่วนรายได้ทั้ง

สิ้นตลอดการแข่งขัน รวมทั้งสิ้น ๖,๐๔๙.๙๕ บาท ซึ่งภาย

หลังคณะกรรมการ มอบให้ราชนาวีสมาคมและสภากาชาด

ฝ่ายละกึ่งหนึ่ง

เมื่อแข่งขันครบ ๒๙ นัด ผลปรากฏกว่า “สโมสร

นักเรียนนายเรือ” ที่กล่าวกันว่า “เสด็จเตี่ย” กรมหลวง

ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อดีตนักฟุตบอลโรงเรียนนายเรือของ

ประเทศอังกฤษ คือผู้นำกีฬาลูกหนังเข้าไปสู่รั้วโรงเรียนนายเรือ

มีคะแนนเป็นอันดับที่ ๑ จากการลงสนามแบบพบกันหมด

จึงได้ครองถ้วยทองของหลวงเป็นสโมสรแรก ก่อนมีพิธี

พระราชทานถ้วยทองและแหนบสายนาฬิกาลงยามีตรา

มหามงกุฎ ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ณ

สนามเสือป่า โดยปรากฏหลักฐานลงประกาศราชกิจจา

นุเบกษา เล่ม ๓๒ หน้า ๑๘๑๕

รายงานนักฟุตบอลทีมงานนายเรือชุดถ้วยทองหลวง

พ.ศ.๒๕๔๘ คือ นายสวัสดิ์ เดชะไกสะยะ(นาวาตรี หลวง

สวัสดิ์เดชไพศาลย์), นายแหวน (เรือตรี แหวน กัณหวยัคฆ์),

นายแดง (นาวาเอกหลวงสำแดงพิชชาโชติ), นายดำ ทังสุบุตร

(นาวาโท หลวงขยันสงคราม), นายสวัสดิ์ ศิริ เวทย์,

นายสุภี จันทนมาศ (นาวาเอก หลวงสุภีอุทกธาร),

นายเจียม เจียรกุล (พลเรือโท หลวงเจียกลการ), นายภูหิน

สถาวรวณิช, นายลอย ปสุตนาวิน (เรือเอก ลอย ปสุตนาวิน),

หม่อมราชวงศ์ พงษ์ นวรัตน์ (นาวาตรีหลวง พงษ์นวรัตน์) และ

นายเจริญ (พลเรือโท หลวงเจริญราชนาวา) เป็นหัวหน้าทีม

ในปัจจุบัน “ถ้วยทองของหลวง” ใบแรกในของวงการ

กีฬาฟุตบอลเมืองไทย มีอายุกว่า ๙๗ ปี ยังคงถูกเก็บรักษา

ไว้เป็นอย่างดี ณ โรงเรียนนายเรือ เนื่องด้วยคณะกรรมการ

ถ้วยทอง ฯ ในขณะนั้น มิได้แจ้งไว้ว่าจะต้องคืน จึงทำให้ใน

ปีต่อมามีการตั้งกติกาว่า “ให้ครอบครองเพียง ๑ ปี แล้วส่ง

คืน และสโมสรที่จะได้เป็นกรรมสิทธิ์จะต้องชนะเลิศ ๓ ปี

ติดต่อกัน” อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของตำนานลูกหนัง

แผ่นดินสยาม

“ถ้วยทองของหลวง”

ที่มา : นักเลงฟุตบอล คมชัดลึกไทยลีก ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๕๘ วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕

๐59