ไทลื้ือคอใคร - chiang mai universityสภาพความเป นอย...

24
ไทลื้อคือใคร ไทลื้อ คือใคร

Upload: others

Post on 05-Jan-2020

8 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ไทลื้อคือใคร

ไทลื้อ คือใคร

Page 2: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ชาวไทลื้อ เปนชาติพันธุที่พดูภาษาตระกูลไท มีถ่ินฐานอยูในเขตสิบสองพันนา ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี ชาวจีนเรียก ชาวไทลื้อวา “หล่ี” หรือ “ สุยไปอี่” และเรียกเมืองเชียงรุง เมืองหลวงของไทลื้อวา “เชอหล่ี”

ชาวไทลื้อนิยมตั้งบานเรือนอยูตามที่ราบลุมแมน้ําและทีร่าบระหวางหบุเขา โดยม“ีน้ําของ” หรือแมน้ําโขงเปนแมน้ําสายสําคัญ รวมถึงแมน้ําสายยอยที่ไหลผานเมืองตางๆ เชนน้ําฮาไหลผานเมืองฮา น้ําเฮม็ไหลผานเมืองเฮ็ม เปนตน การที่มีแมน้ําโขงไหลผานทําใหรัฐสิบสองปนนาแบงออกเปนสองฝงคือ อยูทางฝงตะวนัตกหกพนันาและอกีหกพันนาอยูในฝงตะวันออกของแมน้ําโขง

มีความเปนไปไดวาชาวไทลือ้จะเปนกลุมไทแรกเริ่มที่ถือกําเนิดขึน้ในจนีตอนใต แลวอพยพไปตั้งถ่ินฐานตามแหลงตางๆ จนเกิดเปนกลุมไทอื่นๆ ตามมา โดยหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือการแตกสายตระกูลออกไปเปนชาวไทยอง และชาวไทเขินใน เขตเมืองเชียงตุง ประเทศเมียนมาร ซ่ึงมีขนบธรรมเนียม ความเชื่อและวิถีชีวติที่คลายคลึงกันคนไทกลุมอื่นในหลายๆ พืน้ที่

เมืองลื้อหลวง ถิ่นกําเนิดชาวไทลื้อ

ขอมูลจากตํานานและคําบอกเลาที่สืบตอกันมากลาววา ชาวไทลื้อที่อาศยัอยูที่ดนิแดนสิบสองปนนานี้ไมใชชนพื้นเมอืงดั้งเดิมของที่นี่ หากแตอพยพหนีโรคระบาดที่คราชีวติผูคนจํานวนมากมาสู “เมืองลื้อหลวง” ซ่ึงยังไมพบหลักฐานวาเมืองล้ือหลวงนั้นอยูที่ใด โดยมีสตรีผูนําชื่อวา “ยาคําแดง” ไดนําชาวไทลื้อจํานวนแสนคน อพยพลงมาทางใตเร่ือยๆ โดยใชเวลาอพยพรวม 2 ป ขามภูเขารวมแสนลูก เดินผานทุงราบรวมสามพัน จนมาถึงลุมแมน้ําโขง จึงไดตั้งถ่ินฐานใหมเรียกวา “เมืองลื้อใหม”1 ซ่ึงก็คือดินแดนสิบสองปนนาในปจจุบัน

1 อายอุนแพง (แปล), ปฐมกัลปพรหมสรางโลก, (คุนหมิง: สํานักพิมพประชาชนยูนนาน, 1989)

Page 3: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ชาวไทลื้ออาศัยกระจายอยูโดยทัว่ไปในดนิแดนสิบสองปนนา การเรียกชื่อของชาวไทลื้อจึงเรียกตามชื่อเมืองที่อยูอาศยั เชน ล้ือเชียงรุง ล้ือเมืองฮํา ล้ือเมืองลา ล้ือเมืองอู ล้ือเมืองลวง ล้ือเมืองฮาย ฯลฯ

คนไทลื้อเมืองฮายมีคําบอกเลาวามาจากเมอืงล้ือหลวงดวย เมื่อป พ.ศ. 1941 มีคนจีนที่เมืองฮายสองคน ไดจดบันทึกคําบอกเลาดังกลาวเปนภาษาจีนไวคนละฉบับ เนื้อหาใกลเคียงกัน บันทึกฉบับแรก ชื่อวา “คําบอกเลาเรื่องความเปนมาของคนไทเมืองฮาย” เขียนโดยหลิ่วเส้ียนถิง คนจีนที่เติบโตในเมืองฮาย บันทึกกลาววา คนไทเมืองฮายเดิมอยูที่เมืองล้ือหลวงในมณฑลกุยโจวแตไมทราบวาอยูที่อําเภอใด ตอมาเกิดโรคระบาดจึงพากนัอพยพยายทีอ่ยู เดินไปดานทิศตะวันตกตามแนวทิวเขาเหมียวหล่ิง (เหมียวหล่ิงเปน ทิวเขาแมว อยูภาคใตมณฑลกุยโจวใกลชิดกับดานตะวนัออกของมณฑลยนูนาน) แลวก็เดนิตอ (เขายูนนาน) ผานคุนหมิงถึงบอแหะอําเภออีงู (ปจจุบันเปนอาํเภอเมืองลา) ใชเวลาเดินทางรวม 3 ป ไดสรางบานเรือนทํามาหากนิที่นั่นไดปหนึ่งก็ตองเดินทางตอไปสูลุมแมน้ําโขงเพราะที่ดินมีนอยขนายเมืองออกไปไมได หลังจากที่เดินทางแลวกห็ยุดพักที่หมูบานเลาประมาณ 4 เดือน แลวเดินตอไปยงัเมืองฮาย ซ่ึงมีสภาพแวดลอมเหมาะจึงตั้งเปนเมือง

สวนบันทึกฉบับที่สองก็ตั้งชื่อเหมือนฉบบัที่หนึ่ง เขียนโดยจางจิ้งชวิเปนศกึษาธิการอําเภอเมืองฮายของทางการจีน บนัทึกนี้บอกวาเปนการจดคําใหสัมภาษณของพญาหลวงแขก

Page 4: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

สภาพความเปนอยูบานมอง เมอืงเชียงรุง สิบสองปนนา ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

ลักษณะทางชาติพันธุของชาวไทลื้อ ชาวไทลื้อโดยทั่วไปจะมีรูปรางสันทัด มีผิวพรรณคอนขางขาว มีภาษาพูด เปนเอกลักษณของกลุมชาติพันธุ จะมีสําเนยีงที่แตกตางไปจากชาวเหนือโดยทัว่ไป มีขนบธรรมเนียมประเพณีสวนใหญคลายคลึงกับสังคมไทยในภาคเหนือ เชน บริโภคขาวเหนียวเปนอาหารหลัก นิยมรับประทานพืชผักที่ปลูกขึ้นเอง หรือหาของปาเชน หนอไม เห็ด ไขมดแดง หรือสาหรายน้ําจืด ที่เรียกวา ไก มาเปนอาหาร

อาหารของชาวไทลื้อมักจะไมคอยมีสวนผสมของไขมัน สภาพความเปนอยูมีความเรียบงาย ในอดีตอาหารแตละมื้อมักจะทําเพียงอยางเดยีว แตเมื่อถึงคราวเทศกาลสําคัญ เชน บวชนาค สงกรานต ขึ้นบานใหม ก็จะทําอาหารไวสําหรับครอบครัวและเลีย้งแขกเต็มที่ นยิมการทําบุญในเทศกาลสําคัญ โดยเฉพาะอยางยิ่งในวันเถลิงศกสงกรานต ซ่ึงเรียกวา วันพญาวนั ตานกวยสลาก และทานขาวใหม

ผีและวิญญาณจะมีอิทธิพลครอบงําแนวความคิดพฤติกรรม ตลอดจนกจิกรรมของชุมชน ชาวไทลื้อจะเคยชินอยูกับการปฏิบัติบูชาผีหรือวิญญาณอยางใกลชิดมากกวาพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ มีขอสังเกตประการหนึ่ง แตละชุมชนหรือสังคมของชาวไทลื้อในสิบสองพันนา จะนับถือบูชาผีเรือนแตกตางกันไป ชมุชนหนึ่งๆ จะมีผีหรือวิญญาณคุมครองเปนของตนเองโดยเฉพาะ ชุมชนแตละแหงตางผูกพันรวมกลุมกัน ภายใตความเชื่อสัญลักษณของกลุมตนเทานัน้ มีเพียงศาสนาพุทธเทานั้นที่ดูคลายกันวา เปนสถาบันความเชื่อรวมกันของชมุชนทั้งหมดในสิบสองพันนา

Page 5: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

แมเฒาชาวไทลื้อบานมอง เมืองเชียงรุง สิบสองปนนา ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

ชาวไทลื้อ เมืองแวน สิบสองปนนา กําลังทุบไก(สาหรายน้ําจืด) เพื่อนําไปทําอาหาร ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

อาหารเชาที่ขายหนากาดเชาเมืองลา สิบสองปนนาคือขาวนึ่งและจิ๊นปง(เนื้อหมู ) แอบหมู ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

Page 6: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ตํานานกําเนิดชาวไทลื้อ

หอเสื้อวัด วัดสวนมอน เมืองฮํา สิบสองปนนา ภาพ: วรลัญจก บุณยสุรัตน

Page 7: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ตํานานกําเนิดชาวไทลื้อที่สําคัญ ไดแก ตํานานเรื่องปูสังคะสายาสังคะสีและตํานานขาสี่แสนหมอนมา ซ่ึงมีรายละเอียดโดยยอ คือ

ตํานานเรื่องปูสังคะสายาสังคะสี เนื้อเรื่องของตํานานนีก้ลาวถึงตนกําเนดิกลุมไทลื้อ เคาโครงเริ่มจากปูสังคะสาและยาสังคะสีเปนมนุษยคูแรกตนกําเนิดของเผาพันธุ โดยมีหลายสํานวนดวยกนั ดังนี้

- พระอินทรสรางชายหญิงคูหนึ่งจากขี้ไคลของพระองค เรียกวาปูสังคะสาและยาสังคะสี แลวมอบหนาที่ใหลงมาสรางโลกมนุษย ใหทั้งคูสามารถสืบพันธุได จงึใชดินเหนยีวปนเปนมนุษยชายหญิงคูหนึ่ง แลวใชปากเปาลมเกิดเปนมนษุยคูแรกของโลกที่มีชีวิตขึ้นมาไดจริง2 และสืบลูกหลานมาจนถึงปจจุบัน

- เดิมทีเมื่อปูสังคะสายาสังคะสีลงสูโลกแลวไมไดอยูดวยกัน คนหนึ่งเดนิทางไปทิศตะวนัออก และอีกคนไปทางทิศตะวนัตก บุคคลทั้งสองเดินหนาไปเรือ่ย ๆ จนเวลาผานไปหมื่นป จึงพบกันอีกครั้ง ปูสังคะสาไดชวนยาสังคะสีใหเปนครอบครัวเดียวกัน แตยาสังกะสีจะตอบรับเมื่อปูสังคะสาตอบคําถามไดวา “บนโลกนี้อะไรสวางที่สุด และอะไรดํามืดที่สุด” ปูสังคะสาตอบปริศนาไมได ทั้งคูจึงตองเดินวนทางรอบโลกอีกรอบหนึ่งเปนเวลาหนึ่งหมื่นปเชนกัน จนเมื่อทั้งสองพบกันเปนครั้งทีส่อง ปูสังคะสาก็ตอบคําถามไดวาวาในโลกนี้สวางที่สุดคือใจคน ดําที่สุดก็คอืใจคน ปูสังคะสาตอบไดเพราะระหวางทางเขาไปถามพระอนิทรผูสรางพวกเขา เมื่อยาสังคะสีรับคําตอบที่พอใจจึงเกิดความยินดีและยอมรับเปนคูครอง ทําใหโลกภพมีมนุษยแพรพันธุสืบมาจนกระทั่งบัดนี้3

- อีกสํานวน มคีวามคลายคลึงกันเล็กนอยแตเร่ิมตนวา สมัยที่โลกเริ่มเกิดขึ้น ปูสังคะสาและยาสังคะสี อาศัยอยูสองฟากฝงของโลก ถูกคั่นกลางดวยหวงน้ําใหญทั้งสองจึงไมสามารถเขาไปหากนัได จึงปลูกแตงที่ริมสองฝงของตัวเอง เครอืแตงไดทอดลงน้ําแตกยอดเชื่อมหากัน ทําใหสองปูยาสามารถไปมาหากนัได ปูสังคะสาอยากชวนยาสังคะสีมารวมชีวิตกัน แตก็เขินอาย จึงชวนยาสังคะสีปนควายดินเหนยีวเลน ปูสังคะสาปนควายผู ยาสังคะสี

2จางหานกวางและคณะ “ประวัติและคาํบอกเลาเกี่ยวกับการสรางเมืองของเมอืงหานและเมืองอืน่ๆ รวม 6 เมือง”. การสํารวจประวัติศาสตรและสังคมชนชาติไทยสิบสองพันนา. เลมที ่9 (คุนหมิง: สํานักพิมพชนชาติยูนาน, 1988), หนา 135. 3 อายพง หวางซง และตาวปาวหราว. ประวัติวรรณกรรมชนชาติไท. (คุนหมิง: สํานักพิมพชนชาติยูนาน 1995),หนา 83.

Page 8: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ปนควายแม เมื่อนําควายดินปนมาตั้งเทียมกัน ก็เกิดมีชวีติและสมสูกัน ปูสังคะสาจึงถือโอกาสนี้ชวนยาสังคะสีรวมชีวิตกัน แตยาสังคะสีจะตอบตกลงเมื่อทายปริศนาไดวา อะไรคือความสวางและอะไรคือความมืด ปูสังคะสาคิดวาเปนคําทายงายๆ กต็อบอยางไปทวีา ความสวางคือ คืนวันเพ็ญ ความมืดคือคืนเดอืนดับ ยาสังคะสีบอกวาไมใช ปูสังคะสาก็ใครครวญครุนคิดเปนเวลาตั้งหมื่นป จึงคิดไดวาสวางนั้นคือในใจ มืดนั้นก็คือในใจเชนกัน เมื่อตอบปริศนานี้ไดแลว สองปูยาจึงไดรวมชวีติมีลูกหลานเตม็บาน เต็มเมือง4

ตํานานขาสี่แสนหมอนมา กลาวกันวากอนที่คนไทจะมาสรางอาณาจักร เดิมดนิแดนนี้เปนที่ตั้งของแควนสามสิบสอง

ขอนหมอนมา ซ่ึงเปน “เผาขาสี่แสนหมอนมา” ในอดีต ชาวล้ือเรียกขาสี่แสนหมอนมาวา “ทํามิละ” หรือ “ทมิฬ”

ชาวขาสี่แสนหมอนมา เปน “เผาปลัง”(Plang) หรือที่จีนเรียกวา “ปูหลาง” (Bulang) กลุมนี้พูดภาษา ตระกูลออสโตรเอเชียสาขาปะหลอง5 ชาวล้ือเรียกวา “มอน” หรือ “ขามอน” หมายถึง ชาวดอย ประมุขของแควนชื่อ “เจาฟาสี่ตา” หรือ “เจาฟาสี่ตาหูทิพย” เนื่องจากมสีองตาเพิ่มที่หลังศีรษะและมีหทูิพยเปนผูมีอิทธิฤทธิ์มาก แควนสามสิบสองขอนหมอนมามีเมืองหลวงชื่อ “ขอนบาง” หรือ “เองคาน” ตั้งอยูบนฝงตะวนัออกของแมน้ําโขงระหวางเมืองยางและเมืองเชยีงเหนือปจจุบนั แบงการปกครองเปน 32 ขอน แตละขอนเปนเขตหรือบริเวณดอย ที่ขาสี่แสนหมอนมาตั้งหลังแหลงอยู ใน 32 ขอนนี้ สวนใหญอยูแถบภูเขาของเมืองยาง เมืองเชียงเหนือและเมืองบาง ฟากตะวันออกของแมน้ําโขง สวนนอยอยูแถบเชยีงรุง เมืองฮาย เมืองแจ เมอืงลวง เมืองสูง ฟากตะวันตกของแมน้ํา

ตํานานเลาวา ชาวไทลื้อที่อพยพมาตั้งถ่ินฐานทีหลัง ไมสามารถเอาชนะขาสี่แสนหมอนมาได เนื่องจากเจาฟาสี่ตามีอิทธิฤทธิ์ เจานายลื้อจึงวางแผนการสงหญิงสาวไทลื้อไปเปนนางเมืองเจาฟาสี่ตา แลวใชผาซิ่นเกาเย็บเปนหมวกและผาเช็ดหนาใหเจาฟาใช ทําใหเจาฟาสี่ตาหมดฤทธิ์ เวยีนศีรษะ ตาดานหลังตกหลนไป เนื้อเรื่องในตอนนี้มีสวนคลายคลึงกับตํานานเมืองหริภญุไชย ที่พระนางจามเทวีใชตีนซิ่นทําลายฤทธิ์ของขุนหลวงวิลังคะซึ่งเปนพวกล๊ัวะ ชนเผาใกลเคียงกับทํามิละ การทําลายฤทธิ์ดังกลาวเปนการใชคุณไสย ที่เชื่อวาซิ่นของผูหญิงเปนของอัปมงคลที่สุด หากผูทีม่ีคาถาอาคมไดลอดใตผาซิ่น จะทําใหของขลังตางๆ หมดลงทันที

4 อายพง หวางซง และตาวปาวหราว, เร่ืองเดิม, หนา 82. 5 สมพงษ วิทยศักดิ์พันธุ. ประวัติศาสตรสังคมและวัฒนธรรมสิบสองปนนา (รายงานการวิจัย). หนา 3

Page 9: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

เมื่อเจานายไทลื้อเมื่อทราบวาเจาฟาสี่ตาสูญเสียความขลังแลว กใ็หพอมดหมอผีทําพธีิบวงสรวงควายเผือก แลวบนวาจะยกใหเจาฟาสี่ตาเปนพระเสื้อเมืองคาน และจะเลี้ยงสังเวยควายเผือกทุกป พอเสร็จพิธีบวงสรวงเจาฟาสี่ตาก็ส้ินชีวิต ชาวเมืองขาสี่แสนหมอนมากแ็ตกตื่นหนีขามแมน้ําโขงไปสูเมืองยาง6

หลังจากนัน้เจานายลื้อก็ตามไปกําจัดหัวหนาขาสี่แสนหมอนมาหรือทาํมิละถึงเมืองยอง ซ่ึงสอดคลองกับตํานานเมืองยองที่เลาวา เมอืงยองมีเผาทํามิละ 7 เวยีง มทีาววิรูเปนเจาเมือง ไดเกณฑไพรพลทํามิละ 7 เวียง ทําศกึตีหวัเมืองตางๆ ได 28 เมือง อาณาเขตดานตะวันออกจดเมืองลา ดานใตถึงเชียงของเชียงแสน ดานตะวันตกถงึแมน้ําสาละวนิ ดานเหนือถึงเชียงรุง เมืองแช อาณาเขตของทาววิรูดังกลาวจึงครอบคลุมดินแดนเมืองล้ือทั้งหมด

ตอมาสมัยทาวงามลูกทาววิรูเปนพญาทํามิละปกครองเมืองยอง เจาเมืองเชียงรุงคือ พญาอารวีนคร คิดจะลมลางอํานาจทํามิละ ใชกลอุบายใหบตุรชายคนที่สอง ช่ือเจาสุนันทกมุารเอาของบรรณาการไปถวายทาวงามถึงเมืองยองและขออยูรับใชที่เมืองยอง โดยมีไพรพลชาวไทลื้อติดตามไปดวย 50 คน เจาสุนันทกมุารไดขออนญุาตทาวงามขดุหนองเลีย้งปลา และขุดลอกหนองเพื่อระบายน้ําออกจับปลากินแกลมเหลาทุกป ตอมาปหนึ่งเมือ่ถึงชวงขุดลอกหนอง เจาสุนันทกุมารสรางตําหนักรมิหนอง ไดอัญเชิญทาวงามและพญาทํามลิะทั้ง 7 เวยีงไปกินเหลากินอาหารดวยกัน ทาวงามพรอมพญาทํามิละรวมถึงไพรพลทํามิละทั้งหลายหลงกล ดื่มเหลาใสยาพิษลมหมดสติ เจาสุนันทกุมารและบริวารทั้ง 50 คน แลวเอาดาบตัดคอบรรดาทํามิละเปนจํานวนหนึ่งแสนคน หนองปลาแหงนี้จึงไดชื่อวาหนองแสนจนถึงปจจุบัน7

เร่ืองราวกลอุบายของไทลื้อเชนนี้ ปรากฏในตํานานของเมืองฮายและเมืองลวงซึ่งมีดินแดนติดกับเมืองยอง กลาวถึงการทําลาย “พญาจิต” และ “พญาจอม” หัวหนาสองคนของขาสี่แสนหมอนมาที่เมืองลวง โดยกอนหนาที่เจาสุนันทกมุารจะลงมือฆาชาวทํามิละทีเ่มืองยอง ไดนัดหมายกับปูเมืองหัวหนาชาวไทลื้อที่เมืองลวงกอนแลว โดยใชวิธีขุดลอกหนองจับปลา แลวจัดงานเลี้ยงในวนัเดียวกัน และใชสุราพิษฆาหัวหนาทํามิละและพรรคพวกเชนเดยีวกนักับที่เมืองยอง8

สวนที่เมืองฮาย มีนิทานขาสีแ่สนหมอนมาเลาวา เดิมทีเมอืงฮายมีขาสี่แสนหมอนมาตัง้หลักแหลงปกครองเมืองอยูกอนแลว ภายหลังคนไทลือ้อพยพมาตั้งถ่ินฐานถึงเมืองฮาย ตอมาการเกษตรของคนไทลื้อพัฒนาขึ้นและเกิดการขัดแยงแยงที่ดินทํากนิ ขาสี่หมอนมาจึงใชกําลังขับไลคนไทลื้อออกไป คนไทลื้อจึงออกเงินกอนและเสียสวยอากรให “ทาวเปอ” หัวหนาขาสี่แสน

6 จูเตอะผู .“วิเคราะหเชื้อชาติของขาสีแ่สนหมอนมา: เผาพันธุหนึ่งที่เคลื่อนไหวแถบสิบสองพันนาสมัยโบราณ”. น.ส.พ.ซิงเสียนเยอะเปา. หนาวิชาการชมรมไทยจีนศึกษา ฉบับที่ 416. วันที่ 13 มิถุนายน 2541. 7 ทวี สวางปญญากูร (แปล), ตํานานเมืองยอง. เ(ชียงใหม: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม, 2527), หนา 25-26. 8 กาวลิซื่อ หลี่ตาวหยง และหวางจิ้งหลิว “คําบอกเลาประวัติศษสตรและขนบประเพณีชาวขม”ุ. การสํารวจประวตัิศาสตรและสังคมชนชาตปิูหลาง. เลมที่ 3. (คุนหมิง : สํานักพิมพประชาชนยูนาน, 1986), หนา 1058.

Page 10: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

หมอนมา และยอมอยูใตการปกครองของทาวเปอ ทําใหคนไทลื้อสามารถตั้งหมูบานได 5 หมูบาน คือ บานฝาย บานเจิง บานหนิ บานวี บานมง โดยมี “เจาฮาย” เปนหวัหนากลุมไทลื้อ ภายหลังเจาฮายไดวางแผนยกนองสาว ชื่อ “นางแกมเมือง” ใหทาวเปอ แลววางแผนมอมเหลาเพื่อฆาทาวเปอและขาทาสบริวารในงานเลี้ยงแตงงาน หลังจากนั้นชาวขาสี่แสนหมอนมาก็ถูกขับไลขึ้นไปบนดอยและเปนขารับใชของคนไท หลังจากเจาฮายชนะจึงตั้งชื่อเมืองที่ตนปกครองนั้นวา “เมืองฮาย”ตามชื่อของตน9 ตํานานเมืองฮายอีกสํานวนเลาวา “อายฮาย” เปนหวัหนาคนไทลื้อที่อพยพไปตั้งถ่ินฐานที่เมืองของทาวเปอ หลังจากคนไทลื้อยกหญิงสาวใหทาวเปอแลวก็อนุญาตใหตั้ง บานฝาย บานหิน บานลาหมื่น ซ่ึงอยูใตการปกครองของทาวเปอ ดวยความคับแคนใจของคนไทลื้อที่เปนควาญชางรับใชทาวเปอ จึงวางแผนใชของาวเกีย่วชางที่ทาวเปอนั่งอยู ชางตัวนั้นโกรธจนสลัดทาวเปอตกชาง แลวถูกควาญชางฆาตาย คนไทจึงไดปกครองเมืองฮายแทนทาวเปอ ตํานานและนทิานคําบอกเลาสํานวนตางๆ แสดงใหเห็นวาแผนดินเมืองไทลื้อหรืออาณาจักรเชยีงรุงนี้ เดิมเปนที่ตั้งถ่ินฐานของกลุมชนขาสี่แสนหมอนมา ปจจุบันเรยีกวา ปลังหรอืปูหลาง ซ่ึงในปจจุบันยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีบางอยางที่ยืนยนัไดถึงประวัติศาสตรของชาติพันธุกลุมขาสี่แสนหมอนมา ดังจารีตและประเพณีของเมืองตางๆ ตอไปนี ้

1. เมืองเชียงเหนือ ยังมีหมูบานชาวเขาคนรุนหลังของขาสี่แสนหมอนมาที่เรียกวา ขอนเกิ๊ด หมายถึง ชาวสิบสองขอนหมอนมาทีต่กคาง ในเดอืนเมษายของทุกป หมูบานเกาแกที่สุดของคนไทลื้อเชียงเหนือ คือ บานสาน บานโนนดํา บานไก บานเลา จะทําหนาที่เปนตัวแทนคนไทลื้อ นําเอาเงิน เหลา ไก สุนขั เปนของกํานัลไปทําพิธีขอน้ําจากหมูบานขอนเกิ้ด เพระคนไทที่นัน่ยังมีจิตสํานึกถือวาผืนนาและน้ําเปนเปนของขาสี่แสนหมอนมา สวนที่บอแหะซึ่งเปนเปนบอเกลือใหญและมีคณุภาพดีของเมืองลา เจานายไทลื้อก็ตองเชิญขมุมาทําพิธีบวงสรวงพระเสื้อบอเกลือทุกป เมื่อประกอบพธีิเสร็จ เครื่องสังเวยจะตกเปนของชาวขมุ สาเหตุที่พิธีขอฝนและพิธีบวงสรวงพระเสื้อบอเกลือของคนไทที่ตองเชญิชาวขมุมาดําเนินพิธีการ เพราะคนไทถอืวาขมุเปนเจาถ่ินดั้งเดิมของดนิแดน

2. เมืองเชียงเหนือ นับถือเจาฟาสี่ตาเปนพระเสื้อเมือง หอนี้ตั้งอยูที่ตําบลขอนมางซึ่งแต

เดิมเปนศนูยกลางของแควนสามสิบสองขอนหมอนมา ตําบลขอนมางเปน “คนเรือนเจา” ขึ้นตรงตอราชสํานักเชียงเหนือและเมืองยาง ราชสํานัขมอบหมายใหขอนมางทาํ

9 หลิ่วเซี่ยนถิง. “คําบอกเลาเร่ืองความเปนมาของคนไทในเมืองฮาย”. ดงไพรชายแดน. (เซี่ยงไฮ : สํานักพิมพเจิ้งจง. 1946), หนา 183.

Page 11: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

หนาที่ดแูลหอเสื้อเจาสี่ตา ทุกปในเดือน 6 ชาวไทลื้อจะมีพิธีเล้ียงสังเวยหมูดํา “พอหมอขอนมาง” ผูทําพิธีดังกลาวยังสืบทายาทและสืบหนาที่จนถึงทุกวนันี้ สวนชาวปลังในตําบลขอนมางยังยดึถือจารีตเดิม โดยไมยอมรับนับถือพุทธศาสนา เพราะเชือ่วาพุทธศาสนาแพรเขามาหลงัจากที่เจาฟาสี่ตากลายเปนพระเสื้อเมืองแลว ฉะนัน้ ชาวขอนมางตองรักษาจารีตที่ไมนับถือพุทธเหมือนสมัยเจาฟาสี่ตา

3. เมืองพง เปนถ่ินฐานเดมิของเผาขมุมากอน เมื่อคนไทเปนเจาเมืองปกครองเมืองพง

แลว ยังบูชาหวัหนาเผาขมุ ชื่อ “เจาพูจู เจาพูสา” เปนพระเสื้อเมือง ทุก 3 ป จะเลี้ยงสังเวยดวยควาย เจาเมืองเก็บเงินจากไพรเมอืงชาวไทลื้อ เพื่อซ้ือควายและเครื่องสังเวยอ่ืนๆ แตตองเชิญพอหมอขมุมาทําพิธีแทงควาย สวนเนื้อควายทีเ่ล้ียงสังเวยตกเปนของชาวขมุ

4. เมืองลา เปนถ่ินฐานเดิมของเผาพูกอ มีลักษณะคลายคลึงกับขมุมาก ในอดีตมี “เจาปะ

ลุง” ประมุขเผาพูกอปกครอง ตอมาจึงเปนเจาเมืองแพนทีเ่ปนเจาเมืองเช้ือสายไทลื้อ ดังนั้นในเมืองนี้จึงมีพระเสื้อเมืองสององค คือ “เจาปะลุง” และ “เจาเมอืงแพน” ในการทําพิธีบวงสรวงพอหมอและประธานเปนชาวไทลื้อ แตก็เชิญทาวขุนหมูบานเผาพูกอมารวมดวย ชาวพูกอมีอิทธิพลตอเจานายไทลื้อมาก ในสมัยกอนเปลี่ยนการปกครอง เมื่อเจาเมืองลาทําพธีิขึ้นหอเจาเมอืงใหม ตองเชิญทาวขุนเผาพูกอไปรวมพธีิ และจัดงานเลีย้งขันโตกใหทาวขุนพกูอรับประทานอาหารกอน การจัดเล้ียงนีเ้รียกวา “หมูขวัญ” หรือการเลี้ยงขันโตกที่เปนมิ่งขวัญ เพราะถือวาการมารวมพิธีของทาวขุนพูกอนี้ทําใหเกดิความเปนสิริมงคล โดยถือวาทาวขนุพูกอมีฐานะเปนทายาทของเจาเมืองพูกอในอดีต คนไทลื้อจึงใหการเคารพนับถือ

เหตุที่มีการบูชาพระเสื้อเมือง เพราะคนไทลื้อเชื่อวาเผาปลังหรือขมุเปนกลุมชนที่มาตัง้ถ่ินฐานบนดนิแดนแถบนี้กอนคนไทลื้อ จากตาํนานขาสี่แสนหมอนมาและตํานานอืน่ ๆ ตลอดจนนิทานคําบอกเลา ดังคําพังเพยวา “เจาเรือนตายเปนผีเรือน เจาบานตาย เปนผีบาน เจาเมืองตายเปนพระเสื้อเมือง”

Page 12: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ไทลื้อสิบสองปนนา

ดินแดนของชาวไทลื้อ คือดนิแดนที่เรียกวา “สิบสองปนนา” สามารถยอนประวัติศาสตร

ไปไดจนถึงศตวรรษที่ 12 ซ่ึง พระยาเจื๋อง (Phaya Choeng) เปนเจาแผนดินพระองคแรกของรัฐสิบสองปนนา โดยสรางอาณาจกัรขึ้นในป ค.ศ.1180 ใหชื่ออาณาจักแหงนี้วา หวัคําเชยีงรุง หมายถึง อาณาจักรแหงทอง ณ เมืองเชียงรุง เขตแดนของรัฐครอบคลุม ตะวันออกเฉียงเหนือ (เมืองเชียงตุง) ของพมาปจจบุัน ทางเหนือของไทย (ลานนา) ลาวทางตอนเหนือ (ลานสัก) และบางสวนทางตอนเหนือของเวียดนาม(Kaeo)

นอกจากจะเปนประเทศราชของจีนแลว สิบสองปนนายงัคงตกอยูใตอาณัติของพมาเปนบางชวงเวลา ขึ้นอยูกับวาชวงใดอาณาจกัรใดมีอํานาจเหนือกวา หรือบางครั้งจะสงเครื่องบรรณาการใหกับทั้งจีนและพมาโดยมีคาํเปรียบเทียบวา หัวเปนพอ มานเปนแม ซ่ึงหมายถึง จนีเปนพอ พมาเปนแม และบางครั้งก็อยูภายใตอํานาจของลานนา ดินแดนแหงนี้จึงถูกเรียกวา “เมืองสามฝงฟา”10

หัวคําเชยีงรุง หรือ สิบสองปนนาเปนอาณาจักรที่รุงเรอืงจนกระทั่งถึงป ค.ศ.1953 สิบสองปนนาไดกลายเปนสวนหนึ่งของประเทศจีนและเปนวาระสุดทายของการปกครองแบบดั้งเดิมของรัฐสิบสองปนนา

10

รัตนาพร เศรษฐกลุ . การสํารวจทางชาติพันุของชนเผาไทในพื้นท่ีลุมแมนํ้าปง จังหวัดเชียงใหม. ( เชียงใหม : มหาวิทยาลัยพายับ , 2527) . หนา 9.

Page 13: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

สิบสองปนนาเปนชื่อเรียกของอาณาจักรทีร่วมหัวเมืองตางๆ ไว 12 เมอืงใหญ โดยชาวไท

ล้ือจะเรียกเปนประโยควา หาเมิงตะวันตกหกเมิงตะวนัออก ซ่ึงหมายถึง 5 เมืองใหญอยูทางฝงตะวนัออกของแมน้ําลานชาง หรือแมน้ําโขง ( น้ําของ ) และอีก 6 เมอืงอยูทางตะวนัออก แลวรวมเชียงรุงอีกเมืองหนึ่ง จึงเปน สิบสองปนนา อันหมายถึงบริเวณพื้นที่ทํานาของชาวไทลื้อทั้งหมดหลายๆ เมือง รวมกนัเปน 1 ปนนา 12 หัวเมืองก็มี 12 ปนนา ในจํานวนหัวเมืองทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นดวยเมืองเล็กหลายเมือง โดยเมืองที่สําคัญมีดังนี ้

ฝงตะวันตก ประกอบไปดวยเมืองเชียงรุง เมืองฮํา เมืองแช เมืองลู เมอืงออง เมืองลวง เมือง

ฮุน เมืองพาน เมืองเชียงเจงิ เมืองฮาย เมืองเชียงลอ เมืองงาด เมอืงอาง เมืองลําเหนือ เมืองขาง และเมืองบาง

ฝงตะวันออก ประกอบไปดวยเมืองลา เมืองบาน เมืองฮิง เมืองบาง เมืองลา เมืองวัง เมอืงพง เมืองหยวน เมืองมาง เมืองยีปง เมืองอีงู เมืองอูเหนือ และเมืองเชียงทอง11

11

สุจิตต วงษเทศ . คนไทยไมไดมาจากไหน . ( กรุงเทพฯ : เจาพระยา , 2527) .หนา 116.

Page 14: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

ในอดีตแตละเมืองจะมีหวัเมอืงใหญ 12 เมืองคอยดูแลเมืองเล็กที่อยูในเขตการปกครองซึ่ง

เปนพื้นทีใ่กลเคียงหรืออยูในแองที่ราบเดียวกัน โดยมีพระเจาแผนดินเปนประมุขเรียกวา “เจาแสนหวีฟา” ประทบัอยูที่เมืองเชยีงรุง ซ่ึงจีนเรยีกวาเมือง “เชอหล่ี” นอกจากนี้ไทล้ือยังตั้งฐานอยูทางภาคตะวนัออกเฉียงเหนือของรัฐฉานในพมาทีเ่มืองเชียงลาบ เมืองเลน เมืองปาแลว เมืองวะ เมืองนํา เมืองฐาน เมืองขัน เมืองพะยาก เมืองยอง เมืองยุ เมืองหลวย เปนตน โดยสามารถจําแนกหวัเมืองตางๆ ไดดังนี ้ พันนาฝงตะวนัตกมี 6 พันนาประกอบดวยเมืองทั้งหมด 16 เมืองดังนี ้ 1. พันนาเชยีงรุง มีเมืองเชียงรุงกับเมืองฮา 2. พันนาเมืองแช มีเมืองแช เมืองเชียงลู เมืองวัง 3. พันนาเมืองลม 4. พันนาเมืองหุน มีเมืองหนุ เมืองปาน 5. พันนาเชยีงเจิง มีเมืองเชียงเจิง เมืองฮาย 6. พันนาเมืองเชียงลอ มีเมืองเชียงลอ เมืองมาง เมืองงาม ลางเหนือ เมอืงขาง พันนาฝงตะวนัออกมี 6 พันนาประกอบดวยเมืองตางๆ 14 เมืองดังนี ้ 1. พันนาเมืองลา มีเมืองลา เมืองบาง 2. พันนาเมืองฮิง มีเมืองฮิง เมืองปาง 3. พันนาเมืองลา มีเมืองลา เมืองวัง 4. พันนาเมืองพง มีเมืองพง เมืองหยวน เมืองมาง 5. พันนาเมืองอูเหนือ มีเมืองอูเหนือ เมืองอูใต 6. พันนาเจยีงตอง มีเมืองเจยีงตอง เมืองอปีง หรือบอลา อีงู12

12

หลี่ ฟู อี,๋ สิบสองพันนา (ไทเป : ไมปรากฏสํานักพมิพ, 1955), หนา 147.

ลักษณะภูมิประเทศและการตั้งบานเรือนของชาวไทลื้อ รอบเมืองเชียงรุง ภาพ: วรลัญจก บุณยสุรัตน

Page 15: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

แผนที่เมอืงสิบสองปนนาตอนเหนือ (ภาพ : ฐาปนีย เครือระยา)

แผนที่เมืองสิบสองปนนาตอนใต (ภาพ : ฐาปนีย เครือระยา)

Page 16: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

เมืองสําคัญในสิบสองปนนา13 1. เมืองเชียงรุง14 มีเร่ืองเลาวาเจาฟาวอง ผูเปนกษัตรยิของจีน มีโอรส 3 องค ได

แขงขันยิงธนแูลวตกลงกันวา หากลูกธนูไปตกที่ใด พื้นที่เมืองก็จะเปนของคนนั้น องคแรกยิงธนูขึ้นไปในอากาศแลวลูกศรตกลงที่เดิม จึงไดสืบราชสมบัติแทนพระบิดา องครองยิงธนูไปตกที่เมืองอังวะ จึงไดไปเปนกษตัริยของพมา สวนองคสุดทองยิงลูกธนูไปตกที่เวยีงผาครางเชียงรุง จึงไดปกครองสิบสองปนนา

ในทุกสามปโอรสทั้งสามจะตองไปเขาเฝาพระอินทร เพือ่นําขวานทิพยที่พระองค ขวางลงมาบนโลกเวลาฟาผาไปถวายคืน ในปหนึ่งโอรสองคสุดทองเดินทางไปเมืองวองเพื่อชวนผูพี่ไปเขาเฝาพระอินทร ระหวางทางเจอควาย จึงนกึในใจอยากจะนาํมาทําเปนซาเพือ่เสวย แตก็เพียงแคเดินผานไป เมื่อทั้งสามขึ้นไปสวรรค พระอินทรไดกล่ินเหม็นเนื้อดิบ จึงถามหาผูที่ทานเนื้อดิบมา แตทุกคนตางปฏิเสธ จนพระอนิทรตองการพิสูจนโดยใหทั้งสามอาเจียนออกมา องคพี่อาเจียนออกมาเปนถ่ัว องครองเปนปลาราปลาเนา แตองคสุดทายกลับเปนเนื้อดิบ เหตุการณนี้ทําใหองคนองอบัอายเทวดาทีม่าชุมนุมเปนอยางมาก จึงหนีลงสวรรคมากอน ปลอยใหองคพี่ลางอาเจียนของตวัเอง ตั้งแตนัน้มาเมืองเชียงรุงตองเก็บเงินทุกหลังคาเรือนเพื่อสงใหเจาเมืองวองผูเปนองคพี่เพื่อชดเชยที่ตองลางอาเจียนให เมืองเชียงรุง สิบสองปนนา

ภาพ: แอนเจลา ศรสมวงศวฒันา

13

วารสารเมอืงโบราณ. ปท่ี 15 ฉบับท่ี 3. ประจาํเดือนกรกฎาคม-กันยายน. พ.ศ. 2532. หนา 53-54. 14

บุญชวย ศรีสวัสดิ์. ไทยสิบสองปนนา เลม 1. หนา 24.

Page 17: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

2. เมืองลวง มีชายแดนติดตอกับพมา มีเร่ืองเลาของตํานานเมืองวาดวยหญิงนางหนึ่งอาศัยอยูบนดอยระหวางเมอืงเชียงรุงและเมืองลวง วันหนึ่งเหน็สิงหเขาแลวจึงตั้งทอง คลอดลูกแฝดชายหญิงคูหนึ่ง บนดอยที่อาศัยอยูไมมีผูคนเลย นางและลูกทั้งสองจึงเดินทางมาถึงปาเมืองลวง แตกย็ังไมพบใครที่จะแตงงานกับลูกทั้งสองได ดังนัน้ลูกทั้งสองคนจึงแตงงานกันเอง จนลูกหลานสรางบานเรือนเปนเมอืงใหญ อีกตํานานหนึง่คือ มีนายพรานชื่อซูเตี่ยน หรือสุทินตามภาษาไทย เปนคนเชียงใหม ไปเติบโตที่ลาว จนวนัหนึ่งตองอพยพมากับพวกลาวกานน้ํา หรือลาวทีห่นีน้ําทวมมาอาศัยอยูที่ปาเมืองลวง แลวตั้งถ่ินฐานขึ้นเปนเมือง นอกจากนั้นยงักลาวประวัตศิาสตรสมัยหนึ่งวา ทุงเมืองลวงมีสองเขต คือลวงเหนือและลวงใต บานกองคําเปนของชาวไทลื้อ สวนบานซานเปนของปะหลอง ทั้งสองชนชาตินี้อยูดวยกันมานาน จนปะหลองมีศาสนสถานเหมือนคนไทลื้อและมีสถานะเทาเทียมกัน ไมเหมือนคนปะหลองทั่วไปที่เปนขาของคนไท

3. เมืองแจ หรือเมืองแจ อยูหางจากเชยีงรุงไปทางทิศตะวนัออกเฉียงเหนือ 80 กิโลเมตร อยูทางคนละฝงแมน้ําลานชางกับเมืองลา ในอดีตเมืองแจมีอิทธิพลและมีความเขมแขง็ สามารถกอกบฏกับเมืองเชียงรุงได ตามตํานานเลาวา สมัยโบราณที่ราบเมืองแจเปนบึงขนาดใหญ มีชายชื่ออายเฮงหลวง หาบขาวมาแชที่เมืองนี้ แลวหาบกลับไปหวานที่เชยีงกใุนชวงฤดูทํานา ซ่ึงรวมจํานวนทั้งหมดไดลานเจ็ดแสนหาบ คร้ังหนึ่งหาบขาวไปจนไมคานหกั จนบริเวณนั้นชื่อวา ดอยปางคาน

นอกจากนั้นยงัมีเร่ืองเลาของผียักษสองผัวเมีย ที่จะจับชายหนุมชื่อเจาเตเหรือเตมีย ที่เดินมาถึงริมบึง ใหเปนอาหาร แตกลับถูกเจาเตเมฆาตาย ตอมามีพระธุดงคผานมา ไดกล่ินเหม็นเนา จึงใชผากาสาวพัสตรโบกปดกลิ่นจนหายไป ซากศพของตัวผูกลายเปนเนินดินเมืองเจียงเจิง สวนซากศพของตัวมียกลายเปนหอเผือกในเมืองแจ แลวพระธดุงคก็ใชไมเทาขีดไปบนที่ราบกลายเปนแมน้ําฮา น้ําจากแมน้ําไหลไปหมดบึง จนทําใหกนบึงกลายเปนที่ราบทุงหญา ตอมาภายหลังมีคนลาสัตวมาจุดไฟเผาทุงจนควนัไฟลอยไปถงึเมืองเจียวหลา ผูคนที่นั่นจงึตามมาตั้งถ่ินฐานกลายเปนเมืองแจ

4. เมืองฮาย อยูทางทิศตะวนัตกของเมืองเชียงรุง ในอดตีเปนเมืองเสนทางการคาทีสํ่าคัญจากจีนไปพมา ตามตํานานเลาวาเปนที่อยูของชาวฮานีและชาวไทลื้อรวมกัน ภายหลังชาวฮานีมีคนมากกวาแลวขับไลชาวชาวไทลื้อออกไปอยูเมืองเหมิง่เสอเปน จากนั้นอายฮายออกอุบายจะยกสาวไทลื้อใหหัวหนาชาวฮานี โดยจดังานเลี้ยงขึ้นแลวมอมเหลาจนฆาหัวหนาชาวฮานีไดสําเร็จ หลังจากนัน้คนไทลื้อจึงกลบัเขามาในเมืองฮายดังเดิม

Page 18: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

เพื่อการแบงพืน้ที่โดยไมทะเลาะกันอีก คนไทลื้อจึงตกลงกับคนฮานวีา จะแบงที่ดนิใหคนฮานีตามไฟที่ไหมพื้นที่นัน้ แลวจึงจดุไฟทีเ่ชิงเขาไหมขึ้นไปถึงยอด ดังนั้นชาวฮานีจึงขึ้นไปอยูบนภูเขา สวนที่ราบกลายเปนเมอืงของคนไทลื้อแตนั้นมา

5. เมืองสูง พืน้ที่สวนใหญเปนภูเขา มีประชากรหลายชนชาติอยูปะปนกัน เมืองนี้ไมมี

ตําแหนงเจาเมอืงปกครอง แตมีตําแหนงพญาหลวงปกครองแทน คนในเมืองสูงถูกเรียกวา เปนปว เนื่องจากมีหนาที่สงคนไปเลี้ยงมาใหเจาเมืองเชยีงรุง ในอดีตเมืองสูงเคยแข็งเมืองยกทัพมาตีเชียงรุง

6. เมืองเชียงเจิง ตั้งอยูระหวางเมืองแจกับเมืองฮาย ตั้งเมืองโดยพญาเจิงหาญไดรับคําสั่งจากเจาเมืองเชยีงรุง ใหนําผูคนจากเมืองฮายไปสรางถ่ินที่อยูใหม สวนในตํานานไดกลาวถึงตนกําเนดิของพญาเจิงหาญหรอืเจียงหาญ เปนลูกครึ่งระหวางแมเปนไตและพอเปนยกัษ ( ชนกลุมนอยเชื้อชาติอ่ืน ) เดิมทพีญาเจิงหาญอยูในเมืองเชียงรุง เปนคนเกงและฉลาดมาก ไดของวิเศษจากรังผ้ึงแลวจึงนําผูคนออกไปตั้งถ่ินฐานที่เมืองเจยีงเจิง อีกเรื่องหนึ่งไดเลาวา พญาเจิงหาญ ถูกไลออกจากเมืองเชียงรุง เพราะเปนคนนักเลงเกเร แตดวยความฉลาดจึงขอแบงที่ดินจากเจาเมอืงแจและเจาเมืองฮายได ขยายหมูบานออกไปกลายเปนเมืองใหญ

7. เมืองฮุน หรือเมืองหุน มีลําน้ําหุนไหลผาน โดยมีเร่ืองเลาวาสมัยพุทธกาล เดิมทีลําน้ํานี้ไหลไปทางตะวนัออกเฉียงเหนือ แตพระพุทธเจาใชไมเทาชี้สายน้ําใหไหลไปทางทิศตะวนัตก ตั้งแตนั้นมาแมน้ําสายนี้จึงไหลเขาไปหลอเล้ียงเมืองทางทิศตะวนัตก

ในอดีต พืน้ทีน่ี้เปนที่อยูของชาวปะหลองและฮานี ตอมาพญาเจียงหาญไดนําคนไทลื้อจากสิบสองพันหมอขาวเขามาบุกรุก จนขับไลชาวปะหลองและฮานีขึ้นไปอยูบนภูเขาได แลวยึดพืน้ที่ราบไวเพื่อตั้งถ่ินฐานของตวัเอง

Page 19: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

8. เมืองปาน เปนเมืองผานของเสนทางการคาระหวางเมอืงหุนและเมืองทาลอ ตามตํานานไดระบวุา เจาเมืองยาง มาจากเชยีงกุ เปนผูสรางเมือง

9. เมืองเชียงลอ หรือทาลอ เดิมแบงเปนเมืองเชียงลอกบัเชียงราย ทั้งสองเมืองนี้มีเร่ือง

ทะเลาะและรบกันบอย จนภายหลังเมืองเชียงรายทรุดโทรมลงไป กระทั่งทุกวันนีเ้มอืงทาลอมีผีเมืองสององค คือผีของทาลอและเชียงราย

10. เมืองวัง ตั้งอยูทางฝงตะวนัตกของแมน้ําลานชาง เปนเมืองกลุมเดียวกับเมืองอาง เมืองขาง ในตาํนานกลาววา เดิมทีเปนที่อยูของพวก ขามอน ปะหลอง ลาฮู อานี ภายหลังชาวไทล้ือไดอพยพเขามาอยูอาศัย ในอดีตเมืองวังขึ้นกับเจาสี่ตา แตภายหลังเจาเมืองเชียงรุงตีเมืองได จึงตกเปนเมืองของเชียงรุงตั้งแตนั้นมา

11. เมืองยาง หรือเมืองยัง เดิมทีเมื่อส่ีรอยปกอน เมืองยางไมมีเจาเมือง มีแตพญาหลวงซ่ึงเปนหัวหนาบานฮุงปกครองอยู พญาหลวงองคนี้มีกําลังทหารไปตีเมืองเชียงรุง แตถูกเจาเมืองเชียงรุงฆาตาย เมื่อเมืองตกเปนของเชียงรุงแลว เจาหมอมจัน นองชายของเจาเมืองเชียงรุงจึงมาปกครองเมืองยางแทน

12. เมืองฮิง หรือเมืองเฮง คนจีนเรียกวา ผูเหวิน ในอดีตเปนเมืองใหญมีผูคนอยูอาศยัเปนจํานวนมาก แตตองหนภีัยสงครามไปที่เมืองอู ตอมาภายหลังมีผูคนจากที่อ่ืนมาอาศัยอยูจึงเปนเมืองอีกครั้ง 13. เมืองลา หรือเมืองลา มีเร่ืองเลาในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจาเสด็จมาบิณฑบาตที่เมืองนี้ ชาวบานไดนําน้ําลา หรือน้ําชาในภาษาถิ่น ถวายใหพระพุทธเจา แลวพระองคก็ทํานายวา ตอไปภายหนาเมอืงนี้จะไดช่ือวาเมอืงลา เพราะไดเอาน้ําลามาถวาย15 จนกระทั่งทุก วัดบานจอม เมอืงลา ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

15

บุญชวย ศรีสวัสดิ์. ไทยสิบสองปนนา เลม 1. หนา 225.

Page 20: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

วันนี้ชาวเมืองลาก็ยังปลูกใบชาสงออกไปยงัเมืองตางๆ เพราะมีสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวยและเปนเสนทางการคาติดตอกับหลายเมืองไดสะดวก

14. เมืองเชียงทอง หรือเชียงเหนือ เดิมเปนเวยีงกองหลวงของชาวปะหลอง ตอมามีคนไทอพยพมาจากซือเหมา และเชียงกุ มาตั้งถ่ินฐานแลวไลชาวปะหลองออกไป

15. เมืองฮํา อยูทางฝงตะวนัออกของแมน้ําลานชางเปนแองที่ราบอดุมสมบูรณและเปนแหลงทอผาที่มีช่ือเสียง คนจนีเรียกวา เมอืงกานลั่นปา หมายถึงที่ราบที่อุดมไปดวยลูกสมอ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจาเสด็จมาถึงหาดผาคํา เปนเกาะกลางลําน้ําลานชาง ชาวเมอืงไดนําเอาแผนผาฮําปูเรียงนิมนตเสด็จจากหาดมายังวัดสุธาวาส เมื่อเสด็จไปแลวชาวบานจึงนาํผานั้นมาตากไวที่หนาผากองเจิงเฮิง แลวมีเร่ืองเลาสืบตอมาวา ชวงเขาพรรษาเวลาทีฝ่นตกแดดออก จําเหน็ผาผ่ึงแดดอยูบนหนาผา เมื่งเขาไปดูใกลๆ ก็ไมพบอะไร เวลากลางคืนกไ็ดยนิเสียงฆองกลองดังไปทัว่ จึงเปนที่มาของชื่อเมืองฮํา16 ในอดีต เชื่อวาคนไทยอพยพมาอยูเมืองนีส้ามแหลง คือ กลุมแรกอพยพมาจากเมืองจิ่งเซียนและจิ่งไห ( นาจะเปน เชียงแสนและเชียงราย ) กลุมที่สอง เปนกลุมลาวกานน้ําที่หนีน้ําทวมจากเมืองลาวแลวอพยพมาอยูที่เชียงรุง กลุมที่สามเปนกลุมเจาและบรวิารที่เจาเมืองเชียงรุงสงมาปกครองเมืองฮํา

วัดไชย เมืองฮํา ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

16

บุญชวย ศรีสวัสดิ์. ไทยสิบสองปนนา เลม 1. หนา 163.

Page 21: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

16. เมืองขอน เปนเมืองขนาดเล็กอยูใกลเมืองฮํา มีเร่ืองเลากันตอมาวา มีพระเจาแผนดิน

องคหนึ่งถูกฆาตายที่นี่ พระเจาแผนดนิองคตอๆ มาจึงสงคนมาดูแลสสุาน จนภายหลังกลายเปนชุมชนเมืองขึ้นจนถึงปจจุบนั

17. เมืองนุน ตั้งอยูระหวางกลางเทือกเขา ขนาดเมืองเล็ก อยูระหวางกลางเสนทางไปยังเมืองแมนและเมืองพง ติดกบัปากแมน้ําคาํและแมน้ําบาน

สภาพปจจุบนันของเมืองนุน(พ.ศ. 2550) ภาพ: แอนเจลา ศรีสมวงศวัฒนา

พอเฒาชาวไทลื้อที่วัดบานลงิ เมืองฮํา สิบสองปนนา (พ.ศ. 2550) ภาพ: วรลัญจก บุณยสุรัตน

Page 22: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

18. เมืองแวน หรือเมืองแวด เปนหมูบานเล็กๆ ตั้งอยูบนพื้นที่ระหวางซอกเขาสูง ที่เปนหินผามีลําน้ําไหลออกมาจากชองหิน เรียกวา รูถํ้าผาชาง ชาวเมืองแวนเรียกลําหวยนีว้า หวยน้ํากดั ที่แปลวา ลําน้าํเย็น ซ่ึงชาวบานเชื่อในอาถรรพลําน้ํานี้ จะไมเอาภาชนะทองเหลืองทองแดงมาตักน้ํา เพราะจะทําใหเกิดพายแุละลมแรง ชาวบานจึงใชกระบอกไมไผตักน้ําขึ้นมาแทน

สภาพเมืองแวนปจจุบันทีก่ําลังถูกแทรกแซงดวยโรงงานขนาดใหญและถนนซุปเปอรไฮเวย

19. เมืองเฮ็ม หรือเมืองแฮม ตั้งชื่อตามแมน้ําเฮ็มที่ไหลผาน ผูคนที่อาศัยอยูอพยพมาจากเมืองยีปงและอีง1ู7

17

บุญชวย ศรีสวัสดิ์. ไทยสิบสองปนนา เลม 1. หนา 194.

Page 23: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

20. เมืองฮา เปนเมืองเล็กอยูตรงขามคนละฝงแมน้ําลานชางกับเมืองฮํา เจาเมืองมีตําแหนงเปนประธานสภาเจาเมืองสิบสองพันนา

21. เมืองบาน ขึ้นอยูกับเมอืงลา เปนเมืองในเขตชายแดนที่มีการติดตอคาขายไดหลายทาง ซ่ึงสมารถเดินทางไปยงัเมืองอู และเขตอินโดจีนได

22. เมืองบอแฮ เปนเมืองเลก็ที่ปจจุบันขึน้กับเมืองลา แตเมืองนี้มีเกลอืสินเธาวเปนสินคาสงออกที่สําคัญ ที่สงออกไปยังเมืองใหญ เชน เมืองเชยีงรุง เมืองฮํา เมืองอีงู เปนตน

23. เมืองพง ตามตํานานกลาวถึงสมัยพุทธกาล บริเวณนี้เดิมเปนที่อยูของผีโพรง หรือผีกระสือคร้ังหนึ่งพระพุทธเจาเสด็จผานมาไดกล่ินเหมน็สาบผีโพรง จึงผานเลยไปไมเขาเขตนี้ ตอมาผูมีคาถาอาคมไดปราบผีโพรงไดสําเร็จ จึงเปนชื่อเมืองนี้วา เมืองพง แลวผีโพรงจึงกลายเปนเทวดาประจําเมือง

24. เมืองหยวน เปนเมืองอยูทางใตสุดของสิบสองปนนา จึงมีดินแดนติดกับพมาและอินโดจีน ในอดตีพลเมืองมีจํานวนมาก แตถูกกวาดตอนผูคนไปอยูที่ อําเภอเชียงคํา จังหวดัพะเยา และ อําเภอปง จังหวดัเชยีงราย

25. เมืองอูเหนือ และเมืองอูใต ในอดีตเมืองอูถูกเรียกวา เมืองสองสวย เพราะตองสงเครื่องบรรณาการไปยังพมาอังวะและจนี เดิมทีทั้งสองเมืองนี้เปนของสิบสองปนนา แตในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสยึดครองลาวแลวจึงแบงเขตประเทศ จงึทําใหเมืองนีเ้ปนของลาวในภายหลัง แต

26. เมืองลวง หรือเมืองลง มีเร่ืองเลาในอดีตสมัยพุทธกาลวา พระพุทธเจาเสด็จมายงัสิบสองปนนา พอมาถึงเมืองก็เดินผานไป จนพระองคทํานายไววาภายหลังเมืองนี้จะมีชื่อวา เมิงลง หรือเมืองลวง

27. เมืองมาง เปนเมืองที่อยูทางตะวันตกเฉียงของเมืองแจ ตามตํานานเลาวา เปนคนไทล้ือที่อพยพมาจากเมืองมาวหลวง และเมอืงแลม ซ่ึงผูคนที่อยูในเมืองแลมนี้ก็อพยพมาจากเมืองมาว หลวงมากอนแลว

28. เมืองอาง เดิมเปนเมืองทีไ่มไดอยูในอํานาจของเจาเมอืงเชียงรุง แตภายหลังถูกเจา

เมืองเชียงรุงปราบได จนรวมเอาเปนเมืองหนึ่งในการปกครองของเชียงรุง

Page 24: ไทลื้ือคอใคร - Chiang Mai Universityสภาพความเป นอย บ านม องเม องเช ยงร ง ส บสองป นนา

29. เมืองขาง สมัยกอนเปนเมืองคูแขงกับเมืองวัง และเปนเมืองที่ใหญเพราะมีศักดิไ์ดที่นั่งสูงสุดในการประชุมบรรดาเจาเมืองที่เชยีงรุง จนไดรับสมัญญาเจาเมืองวาเจาตนพระในสมยัพญาเจิง ( ขุนเจื๋อง )

30. เมืองอีงู มีเร่ืองเลาเกี่ยวกับเมืองนีว้า กอนเมืองจะถูกสรางขึ้นบริเวณนี้เคยเปนปาทึบ

บนไหลเขา ภเูขานี้มีถํ้าที่ทะลุออกไดสองทาง ภายในโพรงเปนที่อยูของงูตัวใหญสองตัว ผูคนที่เดินทางผานมาตองหยุดพักตอนกลางคืนบริเวณที่ราบ เรียกวางูผี เนือ่งจากตอนกลางคืนคนเดินทางจะกอกองไฟไว เมือ่งูยักษเห็นควนัไฟที่ใดก็จะเลื้อยเขาไปกินคน จะไมมีผูใดกลาพักบริเวณนี้ จนชายหนุมจีนฮอคนหนึ่งเดินทางมาแลวตองพักบริเวณนัน้ จึงตัดไมมาทําเปนกรงขังตัวเองไว แลวเจาะชองพอใหงูผานเขาไปได เมื่อจุดไฟเสร็จงูก็ปรากฏตัวออกมา พอเล้ือยเขาไปในกรงชายหนุมกต็ัดหวังูทั้งสองตัวจนตายไป ภายหลังจึงมคีนเขามาตั้งถ่ินฐานและเรียกเมืองวา อีง1ู8 ในสมัยกอนเมืองอีงูเปนแหลงผลิตฝนเปนจํานวนมาก เพราะเปนศูนยกลางของชาวเขาที่มีอาชีพปลูกฝน

18

บุญชวย ศรีสวัสดิ์. ไทยสิบสองปนนา เลม 1. หนา 205-206.