ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ :...
Post on 06-Mar-2020
9 Views
Preview:
TRANSCRIPT
1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
ระบบนิเวศ
ความหมายตามรากศัพทของนิเวศวิทยา : Ecology มาจาก “oikology” ซึ่งเกิดจากการรวมคําวา
Oikos และ Logos โดย Oikos = Home (บาน) หรือ Habitat (แหลงที่อยู) สวน Logos = Study
(การศึกษา) ความหมายตามรากศัพทนิเวศวิทยาจึงหมายถึง การศึกษาถึงความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่มีตอบาน
หรือแหลงที่อยูซึ่งก็คือสิ่งแวดลอมน่ันเอง
ประเภทของระบบนิเวศ
อาจแบงเปน 3 ประเภทโดยดูจากลักษณะการถายเทมวลสารและพลังงานคือ
1. ระบบนิเวศอิสระ (Isolated ecosystem) เปนระบบนิเวศตามทฤษฎีเทาน้ัน ไมมีการถายเทพลังงาน
และมวลสารภายในระบบกับสิ่งแวดลอมภายนอก
2. ระบบนิเวศแบบปด (Closed ecosystem) มีการถายเทพลังงานจากสิ่งแวดลอม แตไมมีการถายเท
สารระหวางระบบนิเวศกับสิ่งแวดลอม
3. ระบบนิเวศแบบเปด (Open ecosystem) มีการถายเทพลังงานและมวลสารระหวางระบบนิเวศกับ
สิ่งแวดลอม ซึ่งเปนลักษณะของระบบนิเวศที่พบไดทั่วไป
การศึกษานิเวศวิทยา
การศึกษาวิชาน้ีทําไดในหลายระดับแตโดยทั่วไปมุงศึกษาในระดับที่เปนอินทรีย (Organism) เชน เอก
นิเวศวิทยา (Autecology) เปนการศึกษานิเวศวิทยาระดับตัวตน (species/individual) หรือ ระดับประชากร
(population) กับสภาพแวดลอมที่มีผลตอการดํารงชีวิตของมัน เนนเรื่องของการปรับตัว พฤติกรรม และวัฏ
จักรชีวิต สังคมนิเวศวิทยา (Synecology) เปนการศึกษานิเวศวิทยาระดับกลุมสิ่งมีชีวิต (community) ใน
สภาพแวดลอมตามธรรมชาติ โดยเนนถึงความสัมพันธซึ่งกันและกัน ทําใหทราบปฏิสัมพันธของสิ่งมีชีวิต
ทั้งหลายที่มีตอกัน
การศึกษานิเวศวิทยาอาจศึกษาโดยพิจารณาจากแหลงที่อยูเปน
1. นิเวศวิทยานํ้าจืด (Fresh water ecology หรือ Limnology)
2. นิเวศวิทยานํ้าเค็ม (Marine ecology)
3. นิเวศวิทยาบนบก (Terrestrial ecology)
4. นิเวศวิทยานํ้ากรอย (Estuary ecology)
หรืออาจแบงตามลักษณะทางอนุกรมวิธาน ซึ่งอาจแบงตามแขนงใหญ ๆ เปนนิเวศวิทยาพืช และนิเวศวิทยา
สัตว หรือแบงตามเชิงลึกก็ไดเชน
1. นิเวศวิทยาของพืช (plant ecology)
2. นิเวศวิทยาของสัตว (animal ecology)
3. นิเวศวิทยาของแมลง (insect ecology)
4. นิเวศวิทยาของจุลินทรีย (microbial ecology)
5. นิเวศวิทยาของสัตวมีกระดูกสันหลัง (vertebrate ecology)
2 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
โครงสรางของระบบนิเวศ
ระบบนิเวศหน่ึง ๆ ประกอบข้ึนมาจากสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม สิ่งมีชีวิตที่อยูในระบบนิเวศหน่ึง ๆ มี
มากมายหลายชนิด และแตละชนิดก็มีจํานวนหลาย ๆ ตัว ซึ่งตางก็มีความสัมพันธกันในลักษณะที่แตกตางกัน
ไป ซึ่งอาจกลาวคราว ๆ ไดวา สิ่งมีชีวิตชนิดหน่ึง (Species) จะไมอยูอยางโดดเด่ียว การอยูรวมกันเปนกลุม
ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน บนพ้ืนท่ีหนึ่ง ในชวงระยะเวลาหนึ่งนั้น จะเรียกวาเปนประชากร (population)
และถาประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิดมาอาศัยอยูรวมกันในมาตรของเวลา และสถานท่ีเดียวกัน จะ
เรียกวาเปน กลุมสิ่งมีชีวิต หรือสังคมของสิ่งมีชีวิต (Community หรือ Biotic Community) กลุมสิ่งมีชีวิต
เหลาน้ีมีความตองการปจจัยตาง ๆ ในการดํารงชีวิตที่แตกตางกันรวมถึงความตองการพื้นที่สําหรับอยูอาศัย
(Habitat) และอาหาร ซึ่งทําใหแตละชนิดมีบทบาท ความสําคัญในระบบนิเวศ (Ecological Niche หรือ
Niche) แตกตางกันไป ประชากรที่มีจํานวนสมาชิกมากและมีความสําคัญมาในนิเวศน้ันถูกจัดเปนสิ่งมีชีวิตเดน
(Dominant species) ประชากรที่มีจํานวนนอยหรือมีบทบาทความสําคัญนอยกวาจะถูกเรียกวา สิ่งมีชีวิตรอง
(Associated species)
จะเห็นไดวาในระบบนิเวศหน่ึง ๆ น้ันประกอบข้ึนจากโครงสรางเพียง 2 สวนหลัก ๆ เทาน้ันน่ันคือ
1. โครงสรางที่เปนองคประกอบที่ไมมีชีวิต (Abiotic Factor หรือ Abiotic Component)
2. โครงสรางที่เปนองคประกอบที่มีชีวิต (Biotic Factor หรือ Biotic Component)
ซึ่งองคประกอบทั้งสองสวนตางมีกิจกรรมที่สัมพันธซึ่งกันและกัน หรือที่ เรียกวาอันตรกิริยา
(interactive) ความสัมพันธน้ีจะตองอยูในสภาวะแหงการเปลี่ยนแปลงอยางสมดุล (Dynamic equilibrium)
โดยธรรมชาติเสมอ เพื่อความอยูรอดของระบบนิเวศไมใหแตกสลาย
1. สิ่งแวดลอมท่ีไมมีชีวิต (Physical environment/Abiotic factor) ซึ่งประกอบดวย
สารประกอบอินทรีย และอนินทรีย (abiotic substant) และสภาพแวดลอมทางกายภาพ (Abiotic
environment) ไมวาจะเปน
- สภาพภูมิอากาศ (Climate) : อุณหภูมิ, นํ้า, ความช้ืน, แสง, ลม
- ลักษณะทางธรณีวิทยา : ดิน, หิน, แรธาตุ
- การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งรบกวน (Disturbance) :
* การรบกวนตามธรรมชาติ เชน ภูเขาไฟระเบิด, ไฟ, แผนดินไหว, พายุ
* การรบกวนที่มีสาเหตุจากมนุษย
สิ่งแวดลอมทางกายภาพไมวาจะเปน แสงสวาง อุณหภูมิ แรธาตุ ความช้ืน pH ความเค็ม กระแสลม
กระแสนํ้า ฯลฯ มีผลตอสิ่งมีชีวิตในหลาย ๆ ดานเชน
จํานวนชนิดของสิ่งมีชีวิตในบริเวณใดบริเวณหน่ึง การแพรกระจายของสิ่งมีชีวิต
จํานวนประชากรสิ่งมีชีวิต รูปรางลักษณะของสิ่งมีชีวิต พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
3 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
2. สิ่งแวดลอมท่ีมีชีวิต (Biological environment/Biotic factor) สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยูลอมรอบ
และมีปฏิสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตน้ันๆ โดยอาจแบงตามบทบาทของการกินอาหาร (Trophic level) หรือลําดับ
การสงถอดพลังงานและสารอาหารไดเปน
2.1 ผูผลิต (Producer หรือ Autotroph) เปน Autotrophic Organism สามารถสรางอาหารได
เองโดยอาศัยคลอโรฟลลเปนรงควัตถุที่ใชจับพลังงานจากแสงอาทิตย
2.2 ผูบริโภค (Consumer หรือ Phagotroph) เปน Heterotrophic Organism ไมสามารถ
สรางอาหารไดดวยตนเอง จะใชสารอาหารจากผูผลิตอีกทีห่น่ึง ผูบริโภคแบงออกเปนหลายชนิดตามอาหารที่
มันกินเชน
ผูบริโภคพืช (Herbivore)
ผูบริโภคสัตว (Carnivore)
ผูบริโภคทั้งพืชและสัตว (Omnivore)
ผูบริโภคซาก (Detritivore – บริโภคซากอินทรียที่ทับถมในดิน หรือ Scavenger – บริโภคซาก
ตาย)
หรืออาจแบงตามลําดับการบริโภคเปน
ผูบริโภคปฐมภูมิ (Primary consumer) ซึ่งโดยทั่วไปจะเปนผูบริโภคพืช ซึ่งมีลักษณะสําคัญคือ
สามารถยอยเซลลูโลส และเปลี่ยนเน้ือเย่ือพืชใหกลายเปนเน้ือเย่ือสัตวได
ผูบริโภคทุติยภูมิ (Secondary consumer) โดยทั่วไปเปนสัตวที่กินเน้ือของสัตวที่กินพืชเปน
อาหาร โดยทั่วไปมีขนาดใหญและแข็งแรง
ผูบริโภคลําดับตติยภูมิ (Tertiary consumer) จตุรภูมิ (Quatiary consumer) และตอ ๆ ไป
ผูบริโภคลําดับสูงสุด (Top Carnivore) เปนผูบริโภคที่มักจะไมถูกกินโดยสัตวอื่นตอไป
2.3 ผูยอยสลายอินทรียสาร (Decomposer หรือ Saphotroph) ทําหนาที่สลายซากและเศษอินทรีย
ตาง ๆ ใหมีขนาดเล็กลงโดยการยอยภายนอกเซลล
พีระมิดนิเวศ
การแสดงความสัมพันธระหวางระดับอาหารตาง ๆ ในระบบนิเวศสามารถเขียนไดในลักษณะฐานกวาง
ยอดแคบจึงเรียกวา พีระมิดนิเวศ ซึ่งโดยทั่วไปแลวจะแบงเปน 3 แบบคือ
1. พีระมิดจํานวน (Pyramid of Number) เปนพีระมิดที่เปรียบเทียบสัดสวนจํานวนหรือปริมาณ
สิ่งมีชีวิตในหวงโซอาหารหน่ึง ๆ โดยคิดจากจํานวนของสิ่งมีชีวิตตอพ้ืนท่ี โดยทั่วไปพบวาฐานซึ่งเปนสิ่งมีชีวิต
ในกลุมผูผลิตจะมีขนาดกวางมากเน่ืองจากมักจะมีปริมาณมากที่สุด อยางไรก็ตามพบวาในบางหวงโซอาหารที่
ผูบริโภคลําดับที่ 1 มีขนาดเล็กมาก ๆ และไมไดบริโภคผูผลิตครั้งละมาก ๆ ฐานของพีระมิดนิเวศในหวงโซ
อาหารแบบน้ีจะแคบกวาจํานวนผูผลิตเชน กรณีของตนลําไยและแมลง เน่ืองจากผูผลิตคือ ตนลําไย 1 ตนมีด
อกมากมาย และแตละดอกสามารถเปนแหลงอาหารใหกับแมลงไดมากกวา 1 ตัวดังน้ันเมื่อเขียนพีรามิดของ
จํานวนจะไดพีระมิดฐานแคบ
4 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
ภาพ พีระมิดจํานวน
2. พีระมิดนํ้าหนัก (Pyramid of Biomass) เปนพีระมิดที่เปรียบเทียบสัดสวนโดยใชวิธีหาปริมาณ
น้ําหนักแหง (มวลชีวภาพ) ของสิ่งมีชีวิตในแตละระดับ มีหนวยเปนน้ําหนักแหงตอพ้ืนท่ีหรือปริมาตร
โดยทั่วไปจะไดเปนพีรามิดฐานกวางยอดเรียว แตระบบนิเวศบางแหงพีระมิดนํ้าหนักอาจมีฐานแคบยอดกวางก็
ได ถาสิ่งมีชีวิตที่ถูกบริโภคมีขนาดเล็กมาก มีอายุสั้น และมีจํานวนเยอะมากเชน พีระมิดนํ้าหนักของแพลงค
ตอน ปลาเล็ก ปลาใหญ
ภาพ พีระมิดนํ้าหนัก
3. พีระมิดพลังงาน (Pyramid of Energy) เปนพีระมิดที่เปรียบเทียบสัดสวนโดยใชพลังงานท่ีเก็บ
สะสมไวในสิ่งมีชีวิตแตละระดับ ซึ่งสิ่งมีชีวิตสวนใหญจะใชพลังงานไมถึง 20% ของพลังงานที่มันไดรับย่ิง
ระดับการบริโภคยิ่งมาก พลังงานท่ีถูกถายทอดจะยิ่งนอยลง การเขียนพีระมิดชนิดน้ีจะมีหนวยเปนแคลอรี
ตอพื้นที่ โดยทั่วไปพีระมิดพลังงานจะมีฐานใหญ ปลายเรียว
5 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
ภาพ พีระมิดพลังงาน
การถายทอดพลังงานและมวลสาร
การถายทอดพลังงานมีการสูญเสียออกไปในทุก Trophic Level ดังน้ันการถายทอดพลังงาน
ตามลําดับการกินใน food chain จะคอนขางจํากัดประมาณ 4-5 ข้ัน (trophic level ที่ 5 จะไดรับพลังงาน
จากแสงอาทิตยที่พืชนําไปใชไดประมาณ 0.01%) ดังน้ัน Food chain ย่ิงสั้นจะมีพลังงานสะสมในรูปมวล
ชีวภาพมาก
ภาพ การถายทอดพลังงานในหวงโซอาหารท่ียาวตางกัน
ในการถายทอดพลังงาน “ลินแมนด” พบวา พลังงานที่สงผานไปในแตละ trophic level จะสงผาน
แคประมาณ 10-20% ในแตละลําดับข้ัน จะมีการสูญเสียพลังงานไปประมาณ 80-90% ในรูปของ
Metabolism เชน การหายใจ การสรางเน้ือเย่ือ พลังงานความรอน มีบางสวนที่ไมสามารถถายทอดพลังงานสู
อีกข้ันได เชน พืช มีบางสวนที่กินไมไดเชน เปลือก เมล็ด พอพลังงานถายทอดไปที่สัตวก็มีบางสวนในรางกาย
สัตวที่กินไมได จึงสรุปออกมาเปน กฎ 10% หรือ ten percent law
100% 10% 1% 0.1% ----->
6 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตมีการกระจายตัวที่แตกตางกันไปในแตละพื้นที่ แตละสภาพแวดลอมทั้งน้ีเพราะมันมีความ
ตองการตาง ๆ มี niche ที่แตกตางกนั สิ่งมีชีวิตที่เปนผูบริโภคจะมีการกระจายตัวสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตที่เปน
อาหารของมัน สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีการกระจายตัวออกจากกันตามทรัพยากรที่มันตองการ อาจแบง
ระดับความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตไดเปน
1. ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (Intraspecific relationship)
2. ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน (Interspecific relationship)
ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (Intraspecific relationship)
การรวมกลุมของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันทําใหเกิด การแขงขัน (Competition) การติดตอสื่อสาร
(Communication) และความสัมพันธเชิงสังคม (Social interaction) ซึ่งแตกตางกันไปในแตละชนิด เกิด
ลักษณะการกระจายตัวที่แตกตางกันในแตละกลุมประชากรของสิ่งมีชีวิตซึ่งอาจแบงไดเปน
1. การรวมกลุม (Clumped) เชน ฝูงปลา
- พบมากที่สุด
- สิ่งแวดลอมไมสม่ําเสมอ สิ่งมีชีวิตจะไปรวมกันอยูบริเวณที่มีทรัพยากรที่ตองการ หรือบริเวณที่ปลอดภัย
2. สม่ําเสมอ (Uniform) เชน การจองพื้นที่ทํารังของนก
- พบไมบอย
- การแกงแยงรุนแรงเน่ืองจากมีทรัพยากรจํากัด หรือมี niche ที่เหมือน ๆ กันไมอาจเลี่ยงหรือแบงปนได
3. อิสระ (Random) เชน การกระจายตัวของตนไทรในปาที่อุดมสมบูรณมาก ๆ
- คอนขางหายาก
- สิ่งแวดลอมสม่ําเสมอ
- การตอสูไมรุนแรง
ภาพ รูปแบบการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิต
7 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน (Interspecific relationship)
สิ่งมีชีวิตตางชนิดกันมีความสัมพันธกันในแงการถายทอดพลังงานและมวลสาร ความสัมพันธเหลาน้ี
อาจเปนความสัมพันธช่ัวคราว หรือความสัมพันธแบบอยูรวมกันตลอดเวลา
ภาวะ/สัญลักษณ ความหมาย ตัวอยาง
Neutralism (0,0)/(0,0)
ภาวะเปนกลาง
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกันน้ัน ไมมี
ใครไดรับหรือเสียประโยชนจากกัน
และกันโดยตรง และเมื่อแยกทาง
จากกันก็ไมมี ใครไดรับหรือเสีย
ประโยชนเชนกัน
สิงโตกับไมพุมเต้ีย
นกกินปลีกับกวางดาว
Protocooperation (+,+)/(0,0)
ภาวการณไดประโยชนรวมกัน
สิ่งมีชี วิต 2 ชนิดที่ เมื่ออาศัยอยู
รวมกันตางก็ไดรับประโยชนจาก
กันและกัน แตไมจําเปนตองอยู
รวมกันเสมอไปแมแยกกันอยูก็
สามารถดํารงชีวิตอยูตอไปไดเชน
ปูเสฉวนกับดอกไมทะเล
ผีเสื้อและดอกไม
มดดํากับเพลี้ย
Mutualism (+,+)/(-,-)
ภาวะพึ่งพา
สิ่ งมี ชี วิต 2 ช นิดเมื่ ออาศัยอ ยู
ร ว ม กั น ต า ง ฝ า ยต า ง ก็ ไ ด รั บ
ประโยชนจากกันและกันแตหาก
แยกจากกันจะไมสามารถดํารงชีวิต
ตอไปได
ไลเคนส (Lichens) ซึ่งเปนการ
อยูรวมกันระหวางรากับสาหราย
สีเขียว
แบคทีเรียไรโซเบียมในปมราก
ถ่ัว
โปรโตซัวไตรโคนิมฟาในทางเดิน
อาหารปลวก
Commensalisms (+,0)/(-,0)
ภาวะอิงอาศัย
เ มื่ อ อ ยู ร ว ม กั น ฝ า ย ห น่ึ ง ไ ด
ประโยชนอีกฝายหน่ึงไมไดและไม
เสียประโยชน เมื่อแยกจากกันตัวที่
ไ ม ไ ด -ไ ม เ สี ย ป ร ะ โ ย ช น จ ะ
เหมือนเดิมแตฝายที่ เ คยได รับ
ประโยชนจะไมไดอะไรแทนหรือ
อาจจะเสียประโยชนเมื่อไมไดอยู
รวมกันกับผูอื่นเชน
กลวยไมบนตนไม
เหาฉลามกับปลาฉลาม
Predation (+,-)/(-,+)
ภาวะลาเหย่ือ
เมื่ออาศัยอยูรวมกัน โดยฝายหน่ึงที่
เ ป น ผู ล า ( predator) จ ะ ไ ด
ประโยชน สวนเหย่ือ (prey) จะ
- แมลงกับนก นก (ผูลา) จิก
แมลง (เหย่ือ) กินเปนอาหาร นก
จึงไดประโยชน สวนแมลงเสีย
8 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�
เสียประโยชน โดยการสูญเสี ย
อวัยวะ ช้ินสวนหรือเสียชีวิต แต
เ มื่ อ แ ย ก จ า ก กั น ผู ล า จ ะ เ สี ย
ประโยชน สวนเหย่ืออาจไมไดไม
เสียอะไร หรืออาจไดประโยชนจาก
การแยกกันอยู
ประโยชน
- นกกับมนุษย มนุษยเปนผูลานก
เปนอาหาร มนุษยจึงไดประโยชน
สวนนกเปนเหย่ือจึงเสียประโยชน
Parasitism (+,-)/(-,0)
ภาวะปรสิต
เมื่ออาศัยอยูรวมกัน ฝายที่ไดรับ
ประโยชนเรียกวา ปรสิต (parasite)
สวนฝายที่เสียประโยชนเรียกวา ผู
ถูกอาศัย (host) เมื่อแยกทางจาก
กันปรสิตมักจะดํารงชีวิตไดไม ดี
หรือไมอาจดํารงชีวิตไดเลย สวนผู
ถูกอาศัยไมไดไมเสียอะไรจากการ
แยกกันอยู
- เห็บกับสุนัข เห็บเปนปรสิต
ภายนอก (ectoparasite)
- พยาธิกับมนุษย พยาธิ เปน
ปรสิตภายใน (endoparasite)
-ปรสิตสังคม (social parasite)
เชน การวางไขในรังนกอื่นของ
นกกาเหวา
Amensalism (-,0) / (0,0)
ภาวะยับย้ังการเจริญ
เมื่ออาศัยอยูรวมกัน จะมีฝายหน่ึง
เปนผู เสียประโยชน สวนอีกฝาย
หน่ึงไมไดไมเสียประโยชนอะไร เมื่อ
แยกจากกันตางฝายตางดํารงชีวิต
อยูไดตามปกติ
ราสรางสาร antibiotic ไป
ยับย้ังการเจริญของแบคทีเรีย
( บ า ง ค รั้ ง เ รี ย ก ภ า ว ะ
Antibioticism ห รื อ
Allelopathism)
ตนไมยืนตนขนาดใหญ บังแสง
ตนไมพุมเต้ียที่ข้ึนบริเวณโคน
ตน ทํ า ให ตน ไม เ ล็ก ๆ ไม
สามารถเติบโตได
Competition (-,-)
ภาวะแขงขัน
เมื่อสิ่ งมีชี วิต 2 ชนิดอาศัยอยู
รวมกัน แลวทั้งสองฝายตางเสีย
ประโยชนเน่ืองจากมี niche ที่
เหมือน ๆ กันเชน
- กระตายกับวัว ที่อาศัยอยูใน
ทุงหญาเดียวกัน
- กระร อกแล ะนกหั วขวาน
ตองการโพรงในการทํารัง
top related