the legend of lineage ii

51
e Legend Of Lineage II

Upload: kiattisak-promsensa

Post on 02-Dec-2014

107 views

Category:

Documents


3 download

DESCRIPTION

Legend behind the epic MMORPG, Lineage II (2). Written in Thai, adapted from the original article publishing in official Thai Lineage II website by NCTrue.ตำนานที่อยู่เบื้องหลังเกมออนไลน์ยิ่งใหญ่ Lineage 2 ดัดแปลงมาจากต้นฉบับที่เผยแพร่บนเว็บไซท์ Lineage 2 ของไทย

TRANSCRIPT

Page 1: The Legend of Lineage II

The Legend Of

Lineage II

Page 2: The Legend of Lineage II

The Legend of Lineage II Translated to Thai by NCTrue

By EurysthenesAquaBlazeGustin. Thailand

Page 3: The Legend of Lineage II

Contents

อารัมภบท : ข้างกองไฟ ................................................................................1

บทที่ 1 : ปฐมกาล .....................................................................................3

บทที่ 2 : กำาเนิดแห่งเผ่าพันธุ์ .....................................................................5

บทที่ 3 : สงครามทวยเทพ .......................................................................9

บทที่ 4 : น้ำาท่วมใหญ่ ..............................................................................11

บทที่ 5 : การท้าทายของยักษ์ .................................................................13

บทที่ 6 : จุดสิ้นสุดแห่งยุคสมัย ...............................................................15

บทที่ 7 : ย้อนกลับมาสู่กองไฟอีกครั้ง ......................................................17

บทที่ 8 : หลังสงคราม .............................................................................19

บทที่ 9 : พันธมิตรใหม่ ............................................................................21

บทที่ 10 : พันธมิตรกลับกลายเป็นศัตรู ...................................................23

บทที่ 11 : กลับมาสู่กองไฟอีกครา ...........................................................25

บทที่ 12 : ประวัติศาสตร์ถูกจารึกใหม่ .....................................................27

บทที่ 13 : เอลมอร์ อาเดนและพีเรียส ...................................................29

บทที่ 14 : เบเลธและหอคอยงาช้าง .......................................................31

บทที่ 15 : ความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์ ........................................................33

บทที่ 16 : จุดสิ้นสุดของยุคทอง ..............................................................35

บทที่ 17 : หวนกลับมายังกองไฟอีกหน ..................................................37

บทที่ 18 : สงครามชิงดินแดน .................................................................39

บทที่ 19 : การสถาปนาแห่งสองอาณาจักร .............................................41

บทที่ 20 : เหล่าทายาทแห่งแผ่นดิน .......................................................43

บทที่ 21 : ปัจฉิมบท ................................................................................45

Page 4: The Legend of Lineage II
Page 5: The Legend of Lineage II

1

อารัมภบท : ข้างกองไฟ

เขาสูดลมหายใจลึก สูบกล้องยา แล้วพ่นควันออกช้าๆหมวกคลุมเก่าหนา

ที่สวมปิดบังใบหน้าเขาไว้เกือบทั้งหมดและเบื้องหลังของเขาก็มีเพียงความมืดสนิท ในแสง

เรืองสลัวจากกล้องยาสูบนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้เลย

เขาแนะนำาตัวว่าเป็นกวีแต่หาไม่มีผู้ใดเชื่อไม่ ด้วยเสียงของเขานั้นแหบ

ห้าวตะกุกตะกัก และพวกเราก็สงสัยนักที่เขาเดินทางในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายเพียงลำาพัง

อย่างไรก็ตาม เขาเสนอที่จะเล่าเรื่องราวให้พวกเราฟังสักเรื่อง หากเรา

จะแบ่งปันอาหารและไออุ่นจากกองไฟของเราให้แก่เขา พวกเราตกลงเพียงเพราะเราไม่

สามารถจะปล่อยนักเดินทางผู้นี้ไปในป่าที่หนาวเย็น เราทำาตัวให้สบายข้างกองไฟ ถืออาวุธ

เตรียมพร้อมเผื่อเกิดอันตราย และรอฟังเรื่องราวของเขา ราตรีนั้นหนาวเยือก เสียงแหบตำ่า

ของเขาดังแว่วข้ามขุนเขา เมื่อเขาวางกล้องยาสูบลงข้างกาย และเริ่มเล่าเรื่อง .....

Page 6: The Legend of Lineage II

2

Page 7: The Legend of Lineage II

3

บทที่ 1 : ปฐมกาล

เรื่องราวที่ข้าจะเล่าให้ท่านฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหล่าผู้ที่ท่านเรียกว่า

เทพเจ้า จงฟังให้ดี เพราะนี่คือเรื่องจริง…

นานแสนนานมาแล้ว นานสุดจะคาดคิด มีเพียงลูกกลมลูกหนึ่ง ซึ่งรวมทุกสิ่งทุก

อย่างไว้ ในเมื่อไม่มีสิ่งใดที่จะมาเปรียบเทียบลูกกลมนั้นจึงทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งมืดและสว่าง

ทั้งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างและไม่ได้เป็นอะไรเลย

เป็นเวลาเนิ่นนานนับร้อยล้านปี ลูกกลมนั้นเริ่มเติบโตขึ้น และในที่สุดก็เริ่มเกิด

รูปร่างของพลังสองกลุ่มขึ้นช้าๆ ภายในนั้น ในขณะที่แข็งแกร่งขึ้นพลังทั้งสองก็ได้สร้างตัว

ตนและความระลึกรู้ในตัวตนนั้น และได้แยกออกเป็นแสงสว่างและความมืด พลังของแสง

สว่างได้ก่อรูปเป็นร่างของสตรี นามว่า ไอน์ฮัดซัด ส่วนพลังของความมืดนั้นก่อรูปร่างเป็น

บุรุษ และเรียกตัวเองว่า กรัง คายน์ กำาเนิดของทั้งสองนับเป็นสัญลักษณ์แห่งจุดเริ่มต้นของ

จักรวาลทั้งหมด และทุกสิ่งที่พวกเรารู้กันอยู่ทุกวันนี้ ...

ไอน์ฮัดซัดและกรัง คายน์ ผนึกกำาลังกันเพื่อทลายลูกกลมนั้นลง จากการกระทำา

นี้ ลูกกลมนั้นจึงแตกกระจายออกเป็นเศษเสี้ยวของทุกสิ่ง บ้างก็ลอยขึ้นเป็นท้องฟ้า บ้างก็

ตกลงเป็นพื้นโลก ระหว่างฟากฟ้าและพื้นโลกคือผืนนำ้า และบางส่วนของพื้นโลกก็ยกตัวสูง

ขึ้นกลายเป็นแผ่นดิน

ดวงจิตของลูกกลมนั้นมีนามว่าเอเธอร์ ก็ได้แตกกระจายไปด้วยกันกับการแตก

สลายของลูกกลม นำามาซึ่งการกำาเนิดของพืชและสัตว์ต่างๆ มากมาย “สิ่งมีชีวิตแรกเริ่ม”

ถือกำาเนิดขึ้นจากดวงจิตนี้ และยักษ์ก็เป็นพวกที่เป็นเลิศในบรรดาสิ่งมี

ชีวิตเหล่านี้ พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะ ผู้รอบรู้ จากสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด

เช่นเดียวกับร่างกายที่แข็งแกร่ง เหล่ายักษ์ให้สัตย์ว่าจะศรัทธาในไอน์ฮัดซัดและกรัง คายน์

Page 8: The Legend of Lineage II

4

เนื่องจากการกระทำาของเทพเจ้าทั้งสองได้สร้างโลกและให้ชีวิตแก่พวกเขา ไอน์ฮัดซัดและ

กรัง คายน์ พึงพอใจกับพวกยักษ์และแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นนายแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวล นี่เป็น

เหตุการณ์ก่อนที่จะมีความตายและสรวงสวรรค์ที่แท้จริงเกิดขึ้น

ไอน์ฮัดซัดและกรัง คายน์ ให้กำาเนิดบุตรธิดาด้วยกันมากมาย บุตรธิดาห้าคน

แรกได้รับมอบอำานาจด้วยพลังเหนือสิ่งต่างๆ บนโลก ธิดาคนโต ชิลเลน ถือครองพลังแห่ง

นำ้า บุตรคนโต พากริโอ ควบคุมพลังแห่งไฟ ธิดาคนรอง มาเฟอร์ ควบคุมผืนดิน บุตรคน

รอง ซาย์ฮา คือเจ้าแห่งสายลม ส่วนธิดาคนเล็ก อีวา นั้น ไม่มีธาตุใดเหลืออยู่อีก นางจึง

สร้างสรรค์บทกวีและดนตรีการ ในขณะที่เทพเจ้าอื่นๆ ยุ่งอยู่กับภาระความรับผิดชอบของ

ตน อีวาก็รจนาบทกวีและขับขานเป็นบทเพลง ดังนี้เอง ยุคแห่งทวยเทพก็เริ่มต้นขึ้น และ

ไม่มีที่ใดบนโลกที่จะดำารงอยู่โดยที่เหล่าเทพไม่รับรู้

Page 9: The Legend of Lineage II

5

บทที่ 2 : ก�าเนิดแห่งเผ่าพันธุ์

ไอน์ฮัดซัดผู้เป็นเทพีแห่งการสร้าง ได้สร้างรูปลักษณ์ต่างๆ ขึ้นจากจิตของนาง

และเหล่าบุตรธิดาของนางก็ใช้พลังของพวกเขาสร้างชีวิตขึ้นจากรูปลักษณ์เหล่านั้น

ชิลเลนใส่จิตแห่งนำ้าลงในรูปลักษณ์แรกที่ถูกสร้างขึ้น นี่คือกำาเนิดของเผ่าพันธุ์

แห่งเอลฟ์

พากริโอใส่จิตแห่งไฟลงในรูปลักษณ์ที่สองที่ถูกสร้างขึ้น เกิดเป็นเผ่าพันธุ์แห่งอ

อร์ค

มาเฟอร์ใส่จิตแห่งดินลงในรูปลักษณ์ที่สาม เป็นกำาเนิดของเผ่าพันธุ์ดวอร์ฟ

ซาย์ฮาใส่จิตแห่งลมลงในรูปลักษณ์ที่สี่ และเผ่าพันธุ์อาร์เทียสก็ได้กำาเนิดขึ้น

กรัง คายน์ เป็นเทพแห่งการทำาลายล้าง เมื่อเขาได้เห็นงานของไอน์ฮัดซัดก็

เกิดความใคร่รู้และริษยา เขาเลียนแบบไอน์ฮัดซัดและสร้างรูปลักษณ์ขึ้นโดยจำาลองจาก

ตนเอง จากนั้นเขาก็ไปพบชิลเลน ธิดาคนโต และขอให้นางใส่จิตลงในรูปลักษณ์นั้น ชิลเลน

ประหลาดใจนักและกล่าวว่า “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงต้องการทำาสิ่งเช่นนี้ ท่านแม่ไอน์ฮัดซัด

เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ โปรดอย่าปรารถนาในงานที่มิใช่ของท่านเลย สิ่งมี

ชีวิตที่เทพแห่งการทำาลายล้างสร้างขึ้นมีแต่จะก่อให้เกิดหายนะเท่านั้น” แต่กรัง คายน์ ก็ไม่

ยอมแพ้ หลังจากการหว่านล้อมชักจูงมากมาย ในที่สุดชิลเลนก็ยินยอม

“ตกลง ข้าจะทำาตามที่ท่านขอ แต่ข้าได้มอบจิตแห่งนำ้าให้กับท่านแม่ไปแล้ว ดัง

นั้นข้าจึงให้ท่านได้เท่าที่เหลืออยู่เท่านั้น” ชิลเลนมอบจิตแห่งนำ้าที่นิ่งและเน่าเสียให้กับกรัง

คายน์ ซึ่งรับไปด้วยความยินดี

อย่างไรก็ตาม กรัง คายน์ ก็ยังรู้สึกว่าจิตเพียงหนึ่งนั้นไม่เพียงพอกับสิ่งมีชีวิต

ที่เขาจะสร้างขึ้น เขาจึงไปพบพากริโอ บุตรชายคนโต เช่นเดียวกับชิลเลน พากริโอกล่าว

Page 10: The Legend of Lineage II

6

เตือนบิดา แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธกรัง คายน์ได้ สุดท้ายเขาจึงมอบจิตแห่งไฟที่ใกล้มอด

ดับให้กับกรัง คายน์ ซึ่งรับไปด้วยความยินดี

มาเฟอร์อ้อนวอนบิดาด้วยนำ้าตา แต่ก็ลงเอยด้วยการมอบจิตแห่งดินที่แห้งแล้ง

และสกปรกให้กับเขา ส่วนซาย์ฮาก็มอบจิตแห่งลมพายุที่กราดเกรี้ยวรุนแรงให้กับบิดาเมื่อ

ถึงคราวของเขา

กรัง คายน์ รับทุกสิ่งที่เขาได้มาด้วยความพึงพอใจ และร้องออกมาว่า “ดูสิ่งมี

ชีวิตที่ข้ากำาลังจะสร้างขึ้นสิ! ดูพวกเขาที่จะเกิดขึ้นมาด้วยจิตแห่งนำ้า จิตแห่งไฟ จิตแห่งดิน

และจิตแห่งลม พวกเขาจะแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าพวกยักษ์ พวกเขาจะเป็นผู้ที่

ครองโลก!”

กรัง คายน์ ตะโกนก้องด้วยความภาคภูมิ และใส่จิตลงในสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นโดย

จำาลองรูปลักษณ์จากตัวเขาเอง หากผลที่เกิดขึ้นนั้นเลวร้ายนัก สิ่งมีชีวิตที่เขาสร้างขึ้นนั้น

อ่อนแอ โง่เขลา เจ้าเล่ห์ และขี้ขลาด เทพเจ้าอื่นๆ ล้วนดูถูกสิ่งมีชีวิตของกรัง คายน์ ด้วย

ความอับอายจากความล้มเหลวของตน กรัง คายน์ทอดทิ้งสิ่งมีชีวิตที่ตนสร้างขึ้นและหลบ

เร้นกายไปชั่วระยะหนึ่ง สิ่งมีชีวิตนี้ถูกเรียกว่า มนุษย์

เผ่าพันธุ์แห่งเอลฟ์นั้นเฉลียวฉลาดและรู้จักการใช้เวทมนตร์ แต่พวกเขาก็ยัง

เฉลียวฉลาดน้อยกว่ายักษ์ ดังนั้น พวกยักษ์จึงให้เอลฟ์รับใช้ตนในด้านการปกครองและ

กิจการที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์

เผ่าพันธุ์ออร์คนั้นแข็งแกร่ง พวกเขามีพละกำาลังที่ไม่มีวันอ่อนล้าและพลังใจที่

แข็งกล้า แต่พวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่ายักษ์ ดังนั้น พวกยักษ์จึงให้ออร์ครับใช้ตนในการ

สงคราม

เผ่าพันธุ์ดวอร์ฟนั้นเชี่ยวชาญทักษะ พวกเขาเป็นวิศวกรชั้นเยี่ยม นักคำานวณผู้

เชี่ยวชาญ และช่างฝีมือชั้นเลิศ พวกยักษ์จึงให้พวกเขารับใช้ในด้านการเงินและงานช่างทั้ง

หลาย

เผ่าพันธุ์มีปีกอาร์เทียสนั้นรักอิสระและมีความอยากรู้อยากเห็นไร้ที่สิ้นสุด พวก

ยักษ์ต้องการจับและพิชิตเผ่าพันธุ์ที่มีปีกนี้ แต่เมื่อใดก็ตามที่อาร์เทียสถูกขังในกรง พวกเขา

จะสูญสิ้นพลังและตายอย่างรวดเร็ว เหล่ายักษ์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้อาร์เทียส

Page 11: The Legend of Lineage II

7

โบยบินไปได้โดยเสรี เหล่าอาร์เทียสจะมาเยือนเมืองของยักษ์เพื่อนำาข่าวสารจากดินแดนอื่น

ในโลกมาให้ ... พวกมนุษย์นั้นไม่สามารถทำาสิ่งใดได้ดีเลิศ จึงกลายเป็นทาสของพวกยักษ์

ทำางานใช้แรงงานอันตำ่าต้อยทั้งหมด ชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ได้ดีไปกว่าสัตว์เลยแม้สักน้อย

Page 12: The Legend of Lineage II

8

Page 13: The Legend of Lineage II

9

บทที่ 3 : สงครามทวยเทพ

กรัง คายน์ เป็นเทพเจ้าที่เป็นอิสระและไม่มีสิ่งใดจะขัดขวางได้ แต่อย่างไรก็ตาม

เขาได้กระทำาสิ่งผิดพลาดอันมหันต์โดยล่อลวงมีสัมพันธ์กับชิลเลน ธิดาคนโต พวกเขาลอบ

กระทำาพฤติกรรมนี้โดยลับจากสายตาของไอน์ฮัดซัด จนกระทั่งชิลเลนตั้งครรภ์ขึ้น ไอน์ฮัด

ซัดโกรธจัดเมื่อทราบเรื่อง นางปลดธิดาออกจากตำาแหน่งเทพีแห่งนำ้า เนรเทศชิลเลนออก

จากแผ่นดิน ทว่ากรัง คายน์ กลับนิ่งดูดายกับเหตุการณ์นี้ ทิ้งให้ชิลเลนเผชิญกับชะตากรรม

โดยลำาพัง ในขณะที่ยังตั้งครรภ์ ชิลเลนหลบหนีสู่ตะวันออก และลึกเข้าไปในใจกลางของ

ป่าอันมืดทึบนั้น นางก็ให้กำาเนิดบุตร พร้อมกับสาปแช่งไอน์ฮัดซัดและกรันคายน์ด้วยความ

เจ็บปวด และการให้กำาเนิดเหล่าบุตรธิดาที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดแสนสาหัสของชิลเลน

นั้น รับเอาคำาสาปแช่งด้วยความโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวังของมารดาและกลายเป็นปิศาจร้าย

ในหมู่อสุรกายเหล่านี้ พวกที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นได้รับการขนานนามว่า “มังกร”

มังกรมีด้วยกันทั้งสิ้นหกตน กำาเนิดขึ้นด้วยคำาสาปแช่งต่อเทพเจ้าทั้งหก ใจ

ของชิลเลนเปี่ยมไปด้วยความคับแค้นต่อไอน์ฮัดซัดผู้เนรเทศนาง และกรัง คายน์ ผู้ล่อลวง

เสพสมกับนางจากนั้นกลับทอดทิ้งไม่ไยดี นางรวบรวมกำาลังของเหล่าบุตรธิดา และสร้าง

กองทัพขึ้นเพื่อจะลงโทษเหล่าเทพเจ้าให้สาสม

บรรดามังกรผู้แข็งแกร่งที่สุดถูกจัดให้เป็นทัพหน้าของกองทัพปิศาจที่จะต่อสู้กับ

เหล่าเทพ ออลาคิเรีย มังกรแห่งแสง มองชิลเลนด้วยสายตาอันเศร้าสร้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้

และกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านกำาลังทำาอะไรอยู่ ท่านประสงค์จะทำาลายล้าง

เหล่าเทพอันจะไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ หรือท่านประสงค์ให้บิดา มารดา และพี่น้องของท่านต้อง

ล้มลงสู่ทะเลเลือดของพวกเขาเองเช่นนั้นหรือ?” แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนใจชิลเลนได้

ในที่สุด เหล่าปิศาจก็รุกสู่ปราสาทของเทพเจ้า และสงครามอันโหดร้ายก็เริ่มขึ้น

Page 14: The Legend of Lineage II

10

มังกรทั้งหกทำาลายทุกสิ่งในวังของเทพ แม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็ตื่นตระหนกกับพลังอันไม่น่า

เชื่อของมังกร การสู้รบดูราวกับจะดำาเนินต่อไปชั่วกัลปาวสาน และหากสงครามไม่ยุติ โลก

ก็คงจะไม่สามารถดำารงอยู่ต่อไป และทุกชีวิตก็จักพินาศสิ้น

ผู้ถือสาส์นแห่งเทพและเหล่าปิศาจจำานวนมากมายถูกทำาลายหรือสาบสูญไป

อัสนีบาตคำารามไม่เว้นวัน ด้วยการปะทะอันดุเดือดรุนแรงบนฟากฟ้า พวกยักษ์และสิ่งมีชีวิ

ตอื่นๆ บนโลกต่างเฝ้ามองการต่อสู้บนฟ้านี้ด้วยความหวาดหวั่น

ศึกอันดุเดือดดำาเนินอยู่นานหลายปี และในที่สุดฝ่ายหนึ่งก็ค่อยๆ ช่วงชิงความ

ได้เปรียบทีละน้อย ด้วยความเจ็บปวดขมขื่นและบาดแผลมากมาย พลังของไอน์ฮัดซัดและ

กรัง คายน์ ก็แข็งแกร่งขึ้นและทำาลายปิศาจไปเป็นจำานวนมาก

เหล่ามังกรยังคงต่อสู้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสและทั้งร่างเต็มไปด้วย

บาดแผล ความอ่อนล้าของพวกเขาชัดเจนมากขึ้นและมากขึ้น หลังจากเวลาผ่านไป

สงครามก็ดูจะมาถึงจุดจบด้วยการสูญสิ้นของกองทัพแห่งชิลเลน ท้ายที่สุด เหล่ามังกรก็

กางปีกออกและบินหนีกลับลงสู่โลก ติดตามด้วยเหล่าปิศาจที่รอดชีวิต เทพเจ้าต้องการ

จะสังหารกองทัพที่ล่าถอย แต่ด้วยความบาดเจ็บบอบชำ้าของฝ่ายตน พวกเขาจึงได้แต่มอง

เหล่ามังกรและปิศาจจากไป

ด้วยการที่บุตรธิดาล้มตายไปทีละคนและพ่ายแพ้ในสงคราม ชิลเลนไม่สามารถ

จะทนแบกรับความเศร้าโศกได้ นางสร้างโลกใต้พิภพขึ้นและครองโลกนั้น

Page 15: The Legend of Lineage II

11

บทที่ 4 : น�้าท่วมใหญ่

หลังจากที่ชิลเลนจากไป อีวาจึงได้รับการแต่งตั้งให้ครองอำานาจเหนือสายนำ้า

หากอีวานั้นมีนิสัยขี้กลัวโดยธรรมชาติ และหลังจากได้เห็นจุดจบอันเลวร้ายของพี่สาว รวม

ทั้งสงครามระหว่างเทพเจ้า นางก็ยิ่งหวาดกลัว เพื่อจะหลีกเร้นจากนำ้าหนักของภาระความ

รับผิดชอบที่ได้รับ นางจึงขุดอุโมงค์ใต้ทะเลสาบและหลบซ่อนตัวอยู่ในที่นั้น

เมื่อปราศจากเทพีที่คอยปกครอง เหล่าดวงจิตแห่งสายนำ้าจึงไม่มีเป้าหมายและ

เริ่มเร่ร่อนโดยไร้จุดหมาย นำ้ามากมายไหลไปรวมกันยังที่แห่งหนึ่งมากเกินไปและกลายเป็น

หนองนำ้าใหญ่ นำ้าไม่ไหลไปยังที่อีกแห่งเลยจนกลายเป็นทะเลทราย บ่อยครั้งที่แผ่นดินบาง

ส่วนจมลงสู่ห้วงสมุทรอย่างกะทันหัน หรือเกาะใหม่ผุดขึ้นมาโดยไม่มีวี่แววมาก่อน ในบาง

ที่ ฝนตกตลอดทั้งวันและคืน จนกระทั่งทุกสิ่งจมอยู่ใต้นำ้าเว้นแต่ยอดเขาที่สูงที่สุดเท่านั้น

ที่ใดที่ยังมีพื้นดินอยู่เหนือนำ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็พากันไปรวมอยู่ที่นั่นเพื่อรักษา

ชีวิตของตนไว้ และผืนดินนั้นก็เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ทั้งบนแผ่นดินและใน

ห้วงสมุทร ทุกชีวิตต่างทุกข์ทรมาน ในนามแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เหล่ายักษ์จึงร้องเรียนต่อ

เทพเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ

ไอน์ฮัดซัดและกรัง คายน์ ค้นหาทั่วทุกแห่งหนบนแผ่นดิน และสุดท้ายก็พบ

ทะเลสาบที่ซึ่งอีวาซ่อนกายอยู่

“อีวา จงดูว่าเกิดอะไรขึ้นจากการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบของเจ้า เจ้ากำาลัง

ทำาลายความลงตัวของแผ่นดินที่เราสร้างขึ้นด้วยความพยายามทั้งหมดของเรา ข้าจะไม่ทน

อีกต่อไปหากเจ้ายังคงไม่เชื่อฟังข้า” ไอน์ฮาซัดโกรธจัดจนดวงตาเป็นประกายกล้าด้วยเพลิง

โทสะ

จากนำ้าท่วมนี้ ยักษ์และสิ่งมีชีวิตจำานวนนับไม่ถ้วนได้จากไปสู่โลกของชิลเลน

Page 16: The Legend of Lineage II

12

ทำาให้ไอน์ฮาซัดริษยาชิลเลนเป็นอย่างมาก ด้วยความหวาดหวั่น สุดท้ายอีวาจึงยอมแพ้

ต่อมารดา เมื่ออีวาใช้อำานาจของนางจัดการกับสายนำ้าทั้งหลาย หายนะที่เกิดขึ้นจึงค่อย

บรรเทาลง อย่างไรก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกอบกู้แผ่นดินที่เหลือเพียงความพินาศให้กลับ

มาเป็นดังเดิม

Page 17: The Legend of Lineage II

13

บทที่ 5 : การท้าทายของยักษ์

ในใจของบรรดายักษ์เริ่มเสื่อมความศรัทธาลง กรัง คายน์ ได้เผยความโง่เขลา

โดยสร้างสิ่งมีชีวิตชั้นตำ่าที่เรียกว่ามนุษย์ขึ้น นอกจากนี้ ด้วยการกระทำาอันหยาปช้าของ

กรัง คายน์และความริษยาของไอน์ฮัดซัด โลกใต้พิภพจึงถูกสร้างขึ้น และเกิดเหล่าปิศาจขึ้น

มากมาย ด้วยความอ่อนแอและขาดความสามารถของอีวา ทำาให้แผ่นดินอยู่ในสภาพยำ่าแย่

อย่างเลวร้าย เมล็ดพันธุ์แห่งความกังขาเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของยักษ์ เทพเจ้าเช่นนี้คู่ควรกับ

การบูชาของพวกเขาหรือ?

พวกยักษ์นั้นสามารถขับรถม้าที่พวกเขาสร้างขึ้นเองและเข้าออกวังของเหล่าเทพ

ได้โดยเสรี พวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ยกเกาะขึ้น และอาศัยอยู่ในอากาศได้เช่นเดียวกับ

เทพเจ้า พวกเขาสามารถยืดอายุขัยออกไปได้นานจนดูเหมือนกับเป็นอมตะ พวกยักษ์เริ่ม

คิดว่าพวกเขามีพลังอำานาจเทียบเท่าเทพเจ้า และทั้งที่มีสติปัญญาสูงส่ง พวกเขาก็ยังกลาย

เป็นว่าหยิ่งยโสจนเกินควร

และดังนั้นเอง เหล่ายักษ์จึงเริ่มตั้งตัวเป็นเทพเจ้า พวกเขาเริ่มทำาการทดลอง

ปรับเปลี่ยนพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตในรูปแบบใหม่ขึ้น พวกยักษ์เรียก

เวทมนตร์ที่ทำาให้สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ว่า “วิทยาการ”

ด้วยความหลงมัวเมาในอำานาจ พวกยักษ์จึงจัดตั้งกองทัพอันแข็งแกร่งเพื่อจะ

ต่อสู้กับเหล่าเทพ แม้ว่าชิลเลนกับมังกรทั้งหก และปิศาจมากมายจะประสบความล้มเหลว

มาแล้วกับการกระทำาเดียวกันนี้ก็ตาม

เหล่าเทพเจ้าได้เห็นการเตรียมการนี้และโกรธจัด ไอน์ฮัดซัด ผู้ถือสิทธิ์ในการ

สร้างชีวิตอยู่แต่ผู้เดียวถึงกับพูดไม่ออกด้วยแรงโทสะ นางสาบานจะทำาลายยักษ์ทั้งหมดให้

สิ้นซากไปพร้อมกับผืนแผ่นดินและโลกทั้งหมด กรัง คายน์พยายามวิงวอนให้นางสงบลง

Page 18: The Legend of Lineage II

14

“ในเมื่อท่านเป็นมารดาแห่งการสร้าง” เขาแย้ง “การทำาลายล้างจึงเป็นความรับ

ผิดชอบของข้า ท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้าก้าวก่ายหน้าที่ของท่าน

“ข้าจะลงโทษยักษ์ผู้ยโสเหล่านั้นเอง และหากท่านยังคงปรารถนาจะทำาลายโลก

ทั้งหมด ข้าก็จะขัดขวางท่านด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี” กรัง คายน์ไม่ประสงค์จะยอมให้

แผ่นดินถูกทำาลายไม่ว่าด้วยเหตุใด และไอน์ฮัดซัดก็ขุ่นเคืองอย่างยิ่งกับการแทรกแซงของ

กรัง คายน์ แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทั้งสองมีสถานะเท่าเทียมกัน นางจึงไม่สามารถหยุด

เขาได้

ไอน์ฮัดซัดยอมประนีประนอมในที่สุด เพื่อจะลงทัณฑ์เหล่ายักษ์ นางตัดสินใจยืม

ค้อนของกรัง คายน์ที่รู้จักกันในนาม ‘ค้อนแห่งความสิ้นหวัง’ ด้วยอำานาจการทำาลายล้าง

อันมหาศาล แม้แต่กรัง คายน์เองจึงไม่เคยใช้อาวุธนี้เลย ด้วยความกราดเกรี้ยว ไอน์ฮัดซัด

ยกค้อนขึ้นสูงเหนือศีรษะ และฟาดมันลงยังใจกลางของนครแห่งยักษ์

Page 19: The Legend of Lineage II

15

บทที่ 6 : จุดสิ้นสุดแห่งยุคสมัย

เมื่อได้เห็นเปลวเพลิงแดงฉานกระหนำ่าลงมาจากสวรรค์เท่านั้น เหล่ายักษ์ก็ได้

ตระหนักว่าตนได้กระทำาความผิดพลาดอันโง่เขลาลงไปเสียแล้ว พวกเขารวมกำาลังกันเพื่อ

พยายามยับยั้งค้อนแห่งความสิ้นหวังที่ถูกฟาดลงมาด้วยความพิโรธของไอน์ฮัดซัด หากแม้

กระทั่งด้วยกำาลังของยักษ์ พวกเขาก็ทำาได้เพียงเบี่ยงทิศทางของค้อนออกไปเล็กน้อยเท่านั้น

และมันก็ยังคงเฉียดผ่านนครของยักษ์ไปเมื่อมันฟาดลงสู่พื้นโลก

นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำาลายมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ยักษ์จำานวนนับไม่

ถ้วน รวมทั้งเผ่าพันธุ์อื่นๆ ถูกบดขยี้แหลกลาญในทันที หลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนพื้นดิน

และคลื่นยักษ์ก็ปกคลุมพื้นผิวของมันไว้ ในท้ายที่สุด ยักษ์เกือบทั้งหมดก็สูญสิ้นไป

ยักษ์ที่ยังรอดชีวิตหลบหนีสู่ตะวันออกเพื่อหลบหนีจากความพิโรธของไอน์ฮัดซัด

ด้วยเส้นทางอันวกวนขนานไปกับเมื่อครั้งที่ชิลเลนหลบหนี ไอน์ฮัดซัดยังคงไล่ล่าพวกเขา

และเผาเหล่ายักษ์ตายไปทีละตนด้วยสายฟ้า ยักษ์ที่ยังเหลือรอดต่างสั่นเทาด้วยความหวาด

กลัวและสวดอ้อนวอนต่อกรัง คายน์

“กรัง คายน์ ! กรัง คายน์ ! พวกเราสำานึกในความผิดพลาดของพวกเราแล้ว มี

แต่ท่านเท่านั้นที่จะหยุดยั้งโทสะและความบ้าคลั่งของไอน์ฮัดซัดได้ โปรดอย่าปล่อยให้พวก

เราต้องตายเลย เราผู้ซึ่งถือกำาเนิดขึ้นจากสถานที่เดียวกับท่าน เราผู้ซึ่งเฉลียวฉลาดและ

แข็งแกร่งที่สุดในผืนแผ่นดินนี้!”

กรัง คายน์ เกิดความรู้สึกสงสารสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนานี้ขึ้นมา และคิดว่าเหล่า

ยักษ์ได้ทนทุกข์ทรมานเพียงพอแล้วสำาหรับโทษแห่งการล่วงละเมิดอำานาจของเทพ เขายก

กระแสนำ้าที่ลึกที่สุดจากทะเลใต้ขึ้นขวางเส้นทางของไอน์ฮัดซัด

ไอน์ฮัดซัดตวาดด้วยโทสะ “นี่มันอะไรกัน?! ผู้ใดบังอาจมาขัดขวางข้า?! อีวา

Page 20: The Legend of Lineage II

16

ธิดาที่รักของข้า กำาจัดกระแสนำ้าที่ขวางทางข้าออกไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นก็จงเตรียมตัวรับชะตา

กรรมเช่นเดียวกับพี่สาวเจ้า!”

อีวาเกรงกลัวต่อไอน์ฮัดซัดยิ่งนัก และส่งกระแสนำ้ากลับคืนสู่ทะเลทันที ไอน์ฮัด

ซัดไล่ล่ายักษ์ต่อไป สังหารพวกเขาทีละตน ยักษ์ที่เหลือรำ่าร้องต่อกรัง คายน์ อีกครั้ง

“กรัง คายน์ ! เทพเจ้าผู้ทรงพลังเหนือเทพใด! ไอน์ฮัดซัดยังคงไล่ล่าพวกเรา มุ่ง

มั่นจะกำาจัดพวกเราให้สิ้น พวกเราวิงวอนต่อท่าน โปรดเมตตาและช่วยชีวิตพวกเราด้วย!”

กรัง คายน์ ยกแผ่นดินที่เหล่ายักษ์ยืนอยู่ให้สูงขึ้น หน้าผาสูงชันขัดขวางการไล่

ล่าของไอน์ฮัดซัด นางจึงตะโกนก้อง

“มาเฟอร์ ธิดาที่รักของข้า! ผู้ใดบังอาจมาขัดขวางข้า?! ลดแผ่นดินนี้ลงเดี๋ยวนี้ มิ

ฉะนั้นจงเตรียมตัวรับชะตากรรมเช่นเดียวกับพี่สาวเจ้า!”

ด้วยความเกรงกลัวต่อถ้อยคำาเหล่านี้ มาเฟอร์พยายามจะลดแผ่นดินนั้นให้ตำ่าลง

แต่กรัง คายน์ หยุดนางไว้

“ไอน์ฮัดซัด ทำาไมท่านช่างไม่รู้จักยอมแพ้เสียนะ? ทั้งโลกต่างรับรู้ความโกรธ

เกรี้ยวของท่านและพากันหวาดหวั่นต่อแรงโทสะของท่าน พวกยักษ์ที่รอบรู้ทว่าโง่เขลาก็รู้

สำานึกในความผิดของพวกเขาแล้ว จงดูด้วยตาของท่านเองเถิด! เผ่าพันธุ์อันสูงส่งและภาค

ภูมิ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยครองแผ่นดินนี้ บัดนี้ต้องหลบซ่อนอยู่บนผืนแผ่นดินแคบๆ และสั่น

เทาด้วยความกลัวในขณะที่ไขว่คว้าหาหนทางที่จะหลบหนีจากท่าน! พวกเขาไม่สามารถจะ

ท้าทายเทพเจ้าได้อีกต่อไป สถานที่นี้จะเป็นที่คุมขังของพวกยักษ์ไปชั่วนิรันดร์ สงบอารมณ์

ลงเถิด การล้างแค้นของท่านลุล่วงสมบูรณ์แล้ว”

ไอน์ฮัดซัดยังคงเดือดดาล หากนางก็ไม่สามารถจะต้านความประสงค์ของกรัง

คายน์ ได้ ด้วยเขามีพลังเท่าเทียมกับนาง และจากคำาพูดของกรัง คายน์ นางจึงตัดสินใจว่า

จะปล่อยให้พวกยักษ์อยู่บนผืนดินอันคับแคบและแห้งแล้งเพื่อสำานึกบาปไปชั่วนิรันดร์แทน

การสังหารพวกเขาจนหมดสิ้น นางยุติการไล่ล่าและกลับคืนสู่ที่พำานักของนาง

Page 21: The Legend of Lineage II

17

บทที่ 7 : ย้อนกลับมาสู่กองไฟอีกครั้ง

ชายนิรนามหยุดเรื่องเล่าของเขาไว้ชั่วครู่

ด้วยอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องที่เขาเล่า พวกเราไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยในขณะที่เขา

เล่าถึงประวัติศาสตร์ของโลกเรา แม้ว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบาแต่ก็ดังก้องอยู่ในหัวของเรา

ราวกับร่ายมนตร์ สงครามที่เขาเล่านั้นแตกต่างจากในเทพปกรณัมที่เรารู้โดยสิ้นเชิง แต่

เราก็ไม่ได้คัดค้าน พวกเราส่วนมากเป็นนักรบที่ได้ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน หากก็ยังถูก

ดึงดูดเข้าหาชายนิรนาม และยังรู้สึกกดดัน ตึงเครียด กระทั่งหวาดกลัวต่อชายผู้นี้ เมื่อนก

ฮูกแถวนั้นโฉบผ่าน เราถึงกับสะดุ้งกับเสียงกระพือปีกที่ดังขึ้น

บุรุษนิรนามหัวเราะเบาๆ ยกกล้องยาที่คุกรุ่นขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วเล่าเรื่องของ

เขาต่อไป

“อย่าเพิ่งมองข้ามเรื่องที่ข้าเล่าเพราะมันแตกต่างไปจากสิ่งที่ท่านเคยรู้เกี่ยวกับ

เทพเจ้า มันไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ว่านักบวชของพวกท่านจะรู้ข้อเท็จจริงมากไปกว่า

กวีพเนจรผู้หนึ่ง ประวัติศาสตร์ของเหล่าเทพเจ้าคือความประสงค์ของเทพเจ้า มิใช่ของ

มนุษย์ ฉะนั้น นักบวชธรรมดาจะรู้ความจริงได้อย่างไร? ฟังสิ่งที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้ให้ดี นี่คือ

เรื่องราวของดินแดนหลังจากที่เหล่าเทพเจ้าจากไป มันคือประวัติศาสตร์ของพวกท่านเอง”

Page 22: The Legend of Lineage II

18

Page 23: The Legend of Lineage II

19

บทที่ 8 : หลังสงคราม

โลกได้ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่หลังจากการสาบสูญไปอย่างกะทันหัน

ของยักษ์ ด้วยความเคยชินต่อการอยู่ภายใต้การปกครองของยักษ์ ทั้งเอลฟ์ ออร์ค ด

วอร์ฟ และมนุษย์ จึงต้องเผชิญกับความเป็นจริงอันยากลำาบากของการปกครองตนเอง

และที่สุดของความเปลี่ยนแปลงอันน่าตระหนกนี้ก็คือ โลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นตกอยู่ใน

สภาพเสียหายจากการทำาลายของค้อนแห่งความสิ้นหวัง หลายชีวิตตายในหายนะจาก

นำ้ามือของไอน์ฮัดซัด และมากกว่านั้นในสภาวะสับสนอลหม่านที่ตามมา เผ่าพันธุ์ทั้งหลาย

รำ่าร้องวิงวอนต่อเทพเจ้าเพื่อหนทางที่จะหลุดพ้น หากเทพเจ้าก็ไม่ได้ให้คำาตอบใดๆ

ผู้ที่เข้าควบคุมสถานการณ์ในคราแรกคือเหล่าเอลฟ์ ด้วยพวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่

รับผิดชอบด้านการปกครองในยุคสมัยของยักษ์ เอลฟ์ประสบความสำาเร็จในการรวมเผ่า

พันธุ์ต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยังคงดำาเนินชีวิตของพวกเขาต่อไปได้ แต่เมื่อ

เวลาผ่านไป ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าพวกเอลฟ์ไม่มีศักยภาพในการปกครองเช่นเดียวกับที่ยักษ์เคย

มี พวกแรกที่ลุกขึ้นต่อต้านเอลฟ์ก็คือออร์ค

“พวกเอลฟ์แข็งแกร่งกว่าเราเช่นนั้นหรือ? ไม่เลย! แล้วเอลฟ์มีสิทธิ์อะไรมาปก

ครองพวกเราหรือ? ไม่! เราจะไม่ยอมให้พวกที่อ่อนแอกว่าเราบังอาจมาอยู่เหนือเราอีกต่อ

ไป!”

กองกำาลังของออร์คนั้นทรงพลังนัก และเหล่าเอลฟ์ผู้ซึ่งคุ้นเคยแต่กับสันตินั้นก็

ย่อมไม่สามารถต่อกรกับออร์คผู้ทะนงและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด ดินแดนส่วนใหญ่ตกอยู่ใน

การยึดครองของออร์คในทันที และเอลฟ์ก็ถูกขับไปจนสุดมุมแผ่นดิน ที่ซึ่งเหล่าเอลฟ์ได้ขอ

ความช่วยเหลือจากดวอร์ฟ ซึ่งด้วยความมั่งคั่งและมหาศาลและยุทโธปกรณ์ชั้นเยี่ยม ก็มี

โอกาสที่จะต้านทานพวกออร์คได้

Page 24: The Legend of Lineage II

20

“เผ่าพันธุ์แห่งปฐพีเอย” เหล่าเอลฟ์ร้อง “มาให้ความช่วยเหลือแก่เราเถิด ฝูง

ออร์คอันโหดร้ายปฏิบัติต่อพวกเราอย่างทารุณด้วยกำาลังของพวกเขา มาเถิด มาร่วมกัน

ต่อสู้กับพวกนั้นเถิด”

หากดวอร์ฟปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เอลฟ์อย่างเย็นชา ในสายตาของ

พวกเขา โลกได้เปลี่ยนอำานาจไปสู่มือของออร์คแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ดวอร์ฟจะเข้าร่วมกับ

ฝ่ายที่อ่อนแอ พวกเอลฟ์โกรธยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวการตัดสินใจของดวอร์ฟได้

พวกเอลฟ์ตัดสินใจมองหาความช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์แห่งลม อาร์เทียส ทักษะ

ในการลาดตระเวนและการโจมตีทางอากาศของพวกเขาจะช่วยเหลือเอลฟ์ได้อย่างเพียง

พอในการที่จะพิชิตชัยเหนือพวกออร์ค ผู้แทนแห่งเอลฟ์ได้เดินทางไปยังสุดขอบโลกเพื่อขอ

ความช่วยเหลือจากอาร์เทียส

“เผ่าพันธุ์แห่งวายุเอย มาให้ความช่วยเหลือแก่เราเถิด พวกออร์คป่าเถื่อนกดขี่

พวกเราด้วยกำาลังของพวกเขา เรามารวมกำาลังกันและสั่งสอนให้พวกนั้นสำานึกในความโง่

เขลาของตัวเองเถิด

แต่เช่นที่เคย อาร์เทียสไม่ได้สนใจในการปกครองหรือสงครามบนโลก พวกเขา

ตัดสินใจไม่เข้าร่วมฝ่ายใด และซ่อนตัวลึกเข้าไปในแผ่นดิน พวกเอลฟ์ผิดหวังเป็นอันมาก

“อนิจจา ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือแก่เราเลย! นี่จะเป็นจุดจบแห่งเผ่าพันธุ์เรา

เสียแล้วหรือ? พวกออร์คสกปรกเลวทรามนั่นจะได้ครอบครองดินแดน และยึดเอาความ

รุ่งเรืองมั่งคั่งทั้งหมดไปเป็นของพวกมันเช่นนั้นหรือ?”

Page 25: The Legend of Lineage II

21

บทที่ 9 : พันธมิตรใหม่

เมื่อถูกปฏิเสธโดยพวกดวอร์ฟหัวรั้นและอาร์เทียสที่วางตัวเป็นกลาง เหล่าเอลฟ์

ก็ไม่เหลือพันธมิตรใดที่จะทำาสงครามกับออร์ค ในขณะที่พรำ่ารำาพันต่อชะตากรรมของ

ตนนั้นเอง พวกเอลฟ์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นั้น

คุกเข่าลงเบื้องหน้ากษัตริย์เอลฟ์ ผู้ซึ่งเพ่งมองให้ถนัดและพบว่าบุรุษนิรนามนั้นเป็นผู้แทน

ชาวมนุษย์ เขาสวมมงกุฎที่ทำาจากกิ่งไม้

“อะไรกันนี่ ผู้นำาของพวกมนุษย์ตำ่าต้อยหรือ?” กษัตริย์เอลฟ์ถาม “เจ้ามาเพื่อ

เยาะเย้ยสภาพที่สิ้นหวังของพวกเราหรือ?”

มนุษย์ผู้นั้นค้อมศีรษะและกล่าวว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก องค์กษัตริย์ผู้ปรีชา เรา

มาเพื่อดูว่ากองกำาลังอันอ่อนแอของเราอาจเป็นประโยชน์ใดได้บ้าง”

พวกเอลฟ์ต่างปลื้มปิติ ด้วยแม้ว่าพวกมนุษย์จะโง่เขลาและอ่อนแอ หากจำานวน

อันมากมายของพวกเขานั้นก็จะเป็นความช่วยเหลือที่ดีในการศึก

“ท่านช่างน่าสรรเสริญนัก กษัตริย์มนุษย์” กษัตริย์เอลฟ์ยอมรับในที่สุด “พวก

ท่านอาจไม่ได้มีความสำาคัญอะไรนัก แต่การอุทิศตนด้วยความซื่อสัตย์และความเต็มใจที่จะ

เสียสละชีวิตของพวกท่านเพื่อเรานั้นน่ายกย่องนัก จงไปสู้รบและคว้าชัยมาให้ได้ แล้วพวก

ท่านจะได้ยืนอยู่อย่างเท่าเทียมกับพวกเราชาวเอลฟ์”

กษัตริย์มนุษย์ค้อมกายตำ่าต่อกษัตริย์เอลฟ์ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบกับพันธมิตร

ชาวเอลฟ์ “กษัตริย์เอลฟ์ผู้สูงส่งเหนือผู้ใด” เขากล่าว “พวกเราชาวมนุษย์มีเรื่องจะขอร้อง

ท่านข้อหนึ่งก่อนที่เราจะสู้เพื่อชัยชนะอันรุ่งเรืองของเผ่าเอลฟ์ พลังของพวกเรานั้นอ่อนแอ

ยิ่งนัก ฟันของเราไม่สามารถแม้แต่จะสร้างรอยข่วนให้กับผิวหนังของออร์ค เล็บของพวกเรา

ก็ไร้ประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อของพวกเขา เราขอร้องท่าน มอบพลังที่จะสู้กับพวกออร์คได้ให้

Page 26: The Legend of Lineage II

22

เราเถิด สอนเวทมนตร์ของพวกท่านให้แก่เรา”

ข้อเสนออันอาจหาญนี้ทำาให้เอลฟ์ตกใจและเดือดดาลเป็นอันมาก สอนเวทมนตร์

ให้กับมนุษย์น่ะหรือ? ไม่มีวัน! พวกเขาขยับจะร่ายมนตร์สาปให้มนุษย์นั้นกลายเป็นกองเถ้า

ถ่าน หากผู้นำาเอลฟ์ เวโอรา ยื่นมือเข้าไกล่เกลี่ย นางรู้สึกว่าข้อเรียกร้องนั้นไม่ใช่การข่มขู่

และสมควรได้รับเกียรติตามที่ขอ พวกมนุษย์นั้นอ่อนแอเหลือเกิน และน่าสงสัยนักว่าพวก

เขาจะโค่นล้มออร์คได้อย่างไรโดยปราศจากความช่วยเหลือ และด้วยจิตใจอันตำ่าต้อยของ

มนุษย์นั้น พวกเขาไม่อาจแม้แต่จะเรียนรู้เวทมนตร์ได้เสียด้วยซำ้า และดังนั้นนางจึงทำาการ

ตัดสินใจอันต้องแลกด้วยชีวิตของนางเองในเวลาต่อมา

พวกมนุษย์ซึมซับวิถีแห่งเวทมนตร์อย่างรวดเร็ว เรียนรู้ได้เร็วกว่าที่เอลฟ์คาด

ไว้มาก แม้ว่าร่างกายของมนุษย์จะไม่แข็งแกร่งเท่าออร์ค แต่พวกเขาก็แข็งแรงขึ้นจากการ

ทำางานหนักตลอดเวลา และการต่อสู้กันเองภายในเผ่า สองมือของพวกเขาสามารถกวัด

แกว่งอาวุธได้อย่างชำ่าชอง และเหนือสิ่งอื่นใด จำานวนของพวกเขานั้นมากมายมหาศาล

ภายในระยะเวลาอันสั้น กองทัพมนุษย์ก็กลายเป็นกองกำาลังอันน่าเกรงขาม

Page 27: The Legend of Lineage II

23

บทที่ 10 : พันธมิตรกลับกลายเป็นศัตรู

พันธมิตรของมนุษย์และเอลฟ์ค่อยๆ มีชัยเหนือออร์คทีละน้อย และเมื่อความ

ได้เปรียบกลับมาเป็นของฝ่ายพันธมิตร พวกดวอร์ฟก็เปลี่ยนมาสร้างยุทโธปกรณ์ให้แก่

มนุษย์ ด้วยชุดเกราะที่แข็งแกร่งขึ้น และอาวุธของดวอร์ฟอันคมกล้า พวกมนุษย์ก็สามารถ

โค่นกองทัพของออร์คลงได้โดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากกองกำาลังของเอลฟ์เลย

พวกเอลฟ์เริ่มวิตกกังวล ถึงแม้ว่าพันธมิตรจะมีชัยเพิ่มขึ้นเป็นลำาดับ พวกเขา

รู้สึกได้ว่าพวกมนุษย์กำาลังแข็งแกร่งขึ้น และอยู่เหนือการควบคุมของพวกเขา แต่กระนั้น

พวกเอลฟ์ก็ไม่ได้ปล่อยให้ความกระวนกระวายนี้มารบกวนจิตใจ ด้วยพวกเขาไม่อาจจะคาด

คิดได้ว่าพวกชั้นตำ่าอย่างมนุษย์ไร้ค่านี้จะลุกขึ้นมาก่อการปฏิวัติได้ และในเมื่อชัยชนะครั้ง

สุดท้ายเหนือพวกออร์คอยู่เพียงแค่เอื้อม พวกเอลฟ์ก็ไม่มีเวลาจะมานั่งกังวลกับพวกมนุษย์

พวกมนุษย์ยังคงเรียนรู้เวทมนตร์ชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด สงครามก็จบลงด้วยชัยชนะ

ของฝ่ายพันธมิตรมนุษย์และเอลฟ์ พวกออร์คถูกบังคับให้ลงนามในสัญญาสันติภาพอันน่า

อับอายและล่าถอยไปยังที่ซ่อนอันปลอดภัยทางตอนเหนือของเอลมอร์อย่างรวดเร็ว

ผู้นำาของออร์คหัวเราะในขณะที่เขาจากไป “เจ้าเอลฟ์โง่เง่า ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่

ของพวกเจ้าหรอก แต่เป็นของมนุษย์โสโครกพวกนั้นต่างหาก เจ้าคาดหวังว่าจะควบคุม

อสุรกายที่พวกเจ้าสร้างขึ้นมาเองนี่ได้อย่างไรหรือ?”

จริงดังคำาพูดอันเจ็บแสบนี้ บัดนี้เอลฟ์ต้องเผชิญกับการคุกคามครั้งใหม่...พวก

มนุษย์ แต่หลังจากสงครามอันยาวนาน เหล่าเอลฟ์ต่างก็เหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรงเกินกว่า

จะต่อสู้ ในทางกลับกัน พวกมนุษย์แข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังแห่งเวทมนตร์ และดังนั้น พวก

มนุษย์ก็ตั้งตัวต่อต้านเอลฟ์

Page 28: The Legend of Lineage II

24

สายเกินไปเสียแล้ว เอลฟ์ได้ตระหนักว่าที่ตนได้ปกป้องไปนั้นที่แท้คือปิศาจ

ร้าย สงครามอันโหดร้ายระหว่างเวทมนตร์กับเวทมนตร์ได้สั่นสะเทือนแผ่นดินอีกครั้ง แต่

พวกเอลฟ์นั้นอ่อนล้าเกินกว่าจะยับยั้งกำาลังของมนุษย์ได้ พวกเอลฟ์ถูกขับให้ถอยร่นไป

ช้าๆ จนกระทั่งต้องล่าถอยไปยังร่มเงาของป่าอันปลอดภัย จากที่มั่นอันมั่นคง พวกเขาก็

เตรียมการสำาหรับการปะทะครั้งสุดท้ายกับพวกมนุษย์ เวทมนตร์เอลฟ์นั้นแข็งแกร่งที่สุดใน

บริเวณป่าเหล่านี้ และพวกเขาก็หาทางที่จะใช้ความได้เปรียบนี้เพื่อคว้าชัยชนะ

พวกเอลฟ์ขุดอุโมงค์ลึกใต้ดินซึ่งจะสะท้อนเสียงปะทะของอาวุธและเสียงตะโกน

ของการสู้รบได้อย่างรวดเร็ว แต่ชัยชนะทั้งหมดตลอดสามเดือนของการโอบล้อมก็ตกเป็น

ของมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยความภาคภูมิใจของเอลฟ์ หรืออำานาจเวทมนตร์แห่งป่าเอลฟ์ หรือ

แม้กระทั่งเวทมนตร์ที่เหนือกว่าของเอลฟ์ ก็ไม่อาจจะต้านทานกับกระแสที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ของกองกำาลังมนุษย์ได้ พวกเอลฟ์ต้องประสบกับความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ และท้ายที่สุดก็

หลบหนีลึกเข้าไปในป่า ในการล่าถอยนี้ พวกเขาได้สร้างอาณาเขตคุ้มครองอันแข็งแกร่งขึ้น

รอบบริเวณป่าของพวกเขาเพื่อป้องกันมิให้มนุษย์หรือเผ่าอื่นใดล่วงลำ้าเข้ามาได้

และดังนี้เอง มนุษย์จึงกลายเป็นผู้พิชิตเหนือดินแดนทั้งหมด

Page 29: The Legend of Lineage II

25

บทที่ 11 : กลับมาสู่กองไฟอีกครา

ชายพเนจรเงยหน้าขึ้น เรื่องเล่าล่าสุดของเขาจบลงแล้ว

เรื่องราวนี้แตกต่างไปจากทุกเรื่องที่พวกเราเคยได้ฟัง แต่เราก็รู้สึกคุ้นเคยอย่าง

ประหลาด หญิงสาวเอลฟ์ผู้งดงามในคณะของเรานั่งเงียบ นำ้าตาคลออยู่ในดวงตาทั้งสอง

รัตติกาลล่วงผ่านไปในขณะที่ชายนิรนามเล่าเรื่อง และในเวลานี้ก็ไม่มีเสียงร้อง

ของสัตว์ป่าให้ได้ยิน ไม่มีเสียงลมพัดผ่านยอดไม้เหนือศีรษะ แม้แต่เสียงนำ้าในลำาธารที่ไหล

ผ่านก็ฟังแผ่วเบาลงไป มีเพียงเสียงลมหายใจของเราและเสียงปะทุของฟืนในกองไฟที่ดัง

อยู่ในความเงียบสงัดของราตรีนี้ ราวกับว่าทุกสิ่งในธรรมชาติรอบกายเราต่างก็กลั้นหายใจ

เพื่อฟังเรื่องราวที่กำาลังถูกเล่าขาน ณ ข้างกองไฟนี้

พวกเราเอนกายเข้าหากัน ในขณะที่ชายผู้นั้นกระแอมในลำาคอ และเริ่มเล่าเรื่อง

ต่อ ..

“นั่นละ มันจะไม่ดูขัดแย้งไปหน่อยหรือ ที่สิ่งมีชีวิตอันตำ่าต้อยที่สุดอย่างพวก

มนุษย์ จะเป็นผู้ครองอำานาจเหนือดินแดนทั้งหมด? แต่นั่นก็เป็นผลจากเจตนารมณ์ของ

มนุษย์ แม้กระทั่งเหล่าเทพเจ้าก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่มนุษย์จะเป็นผู้ครองโลกนี้ได้

“คราวนี้ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องราวของอาณาจักรมนุษย์อันรุ่งเรืองที่สุดที่

เคยมีมา นี่คือเรื่องราวของพวกมนุษย์ที่เดินตามรอยเดิมของเหล่ายักษ์”

Page 30: The Legend of Lineage II

26

Page 31: The Legend of Lineage II

27

บทที่ 12 : ประวัติศาสตร์ถูกจารึกใหม่

ในช่วงสงครามอันยาวนานระหว่างออร์คและเอลฟ์ พวกมนุษย์ได้เริ่มก่อตั้ง

อาณาจักรแรกเริ่มขึ้นในหมู่พวกเขา กลุ่มแกนนำาประกอบด้วยตระกุลอธีนา และเหล่า

มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในเวทมนตร์ พวกเขาปกป้องจำานวนของตนด้วยกำาลัง จัดระเบียบด้วย

การข่มขู่ และเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้น้อยใหญ่เป็นครั้งคราว

ระบบระเบียบต่างๆ ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เมื่อชูไนมาน ผู้นำาตระกุลอธีนาได้

ผนึกแคว้นซึ่งในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่าอาเดน และเอลมอร์ เข้าด้วยกัน เขาเรียกอาณาจักร

ของตนว่า เอลมอเรเดน และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ มงกุฎกิ่งไม้ที่เคยประดับ

หน้าผากของบรรพชนเปลี่ยนเป็นมงกุฎทองคำากับอัญมณีแวววามที่มาสวมเหนือศีรษะเขา

ในตำานานที่เล่ากันมาในหมู่ชนรุ่นหลังนั้น เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีตัวตนอยู่ที่ใกล้เคียงกับ

เทพเจ้าเลยทีเดียว

จักรพรรดิชูไนมานวิตกถึงข้อจำากัดในชีวิตของมนุษย์ ข้อเท็จจริงที่ว่ากรัง คาย

น์ เทพแห่งความตายและการทำาลายล้างเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นนั้น ทำาให้มนุษย์มีปมด้อยใน

ฐานะอันต้อยตำ่า นอกจากนั้น ที่เล่ากันว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นจากเศษเหลือเดนของเผ่า

พันธุ์อื่นๆ นั้น เป็นเรื่องที่น่าอัปยศยิ่งนักต่อผู้ครองแผ่นดิน เพื่ออาณาจักรใหม่ของพวกเขา

พวกเขาต้องการตำานานใหม่ ประวัติศาสตร์ใหม่ที่จะแสดงตัวตนของพวกเขาว่าเป็นสิ่งมีชีวิต

ที่มีเกียรติ

ในท้ายที่สุด ด้วยการปฏิรูปทางศาสนาครั้งใหญ่ ชูไนมานก็ได้ยกไอน์ฮัด

ซัดขึ้นเป็นเทพีแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์แทนที่กรัง คายน์ เทพปกรณัมและประวัติศาสตร์ถูก

เปลี่ยนแปลง และเหล่าผู้ที่ศึกษามนตร์ดำา รวมทั้งผู้ที่นับถือกรัง คายน์ ก็ถูกปฏิบัติอย่างโหด

ร้าย การปฏิรูปทางศาสนาดำาเนินต่อเนื่องนับชั่วอายุคน และในที่สุดมนุษย์ทั้งหมดก็เชื่อว่า

Page 32: The Legend of Lineage II

28

ไอน์ฮัดซัด เทพีแห่งความดีงาม คือผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้น และกรัง คายน์ ก็เป็นเพียงเทพแห่ง

ความชั่วร้าย เมื่อได้รู้เรื่องนี้ กรัง คายน์ ก็หัวเราะเป็นการตอบรับ

“ถึงพวกเขาจะไม่บูชาข้า ข้าก็ไม่โกรธหรอก แต่เจ้าพวกมนุษย์โง่เง่าเอ๋ย ไม่ว่า

พวกเจ้าจะพยายามปิดฟ้าด้วยมือของเจ้าอย่างไร ท้องฟ้านั้นที่แท้แล้วเล็กกว่ามือของพวก

เจ้าหรือ?”

Page 33: The Legend of Lineage II

29

บทที่ 13 : เอลมอร์ อาเดนและพีเรียส

ในขณะที่จักรพรรดิชูไนมานและอาณาจักรเอลมอร์ อาเดนเจริญรุ่งเรืองขึ้น

ดินแดนเกรเซียอีกฟากของทะเลยังคงตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย สภาพภูมิศาสตร์ของ

เกรเซียนั้นหลากหลายและอันตราย และในขณะที่กลุ่มคนมากมายต่อสู้เพื่ออำานาจที่จะ

ควบคุมนั้น ก็ไม่มีพลังอำานาจใดที่เข้มแข็งพอจะรวมอำานาจขึ้นปกครองทั้งหมดได้ อาณา

จักรเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่ว เรียกร้องการแบ่งสรรที่ดิน และก่อการปะทะเล็กๆ น้อยๆ

ไปจนถึงการต่อสู้ที่รุนแรง เพื่อช่วงชิงอำานาจความเป็นใหญ่ในการปกครอง

แล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อกองทัพอันแข็งแกร่งของเอลมอร์ อาเดนได้รุกผ่านทะเล

ตะวันตก เข้าสู่ดินแดนเกรเซีย และบรรดาอาณาจักรน้อยใหญ่ในเกรเซียก็ถูกบีบให้รวมตัว

กันเพื่อป้องกันตัวเอง เชื้อพระวงศ์และขุนนางจำานวนมากถูกฆ่าไปในการนี้ ส่วนขุนนางที่

เหลือรอดก็มีอำานาจมากขึ้น สุดท้าย การบุกของเอลมอร์ อาเดนก็ถูกต้านไว้ได้ กระนั้น มัน

ก็ส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันสร้างอาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นแห่งเกรเซีย อาณาจักรนี้ได้ชื่อว่า

พีเรียส

ในกาลต่อมา พีเรียสและเอลมอร์ อาเดนก็ยังคงตกอยู่ในภาวะที่มีการช่วงชิง

อำานาจกันอย่างต่อเนื่อง เอลมอร์ อาเดน ซึ่งเป็นอาณาจักรแรกที่ก่อตั้งขึ้นและถือครอง

กำาลังทหารที่แข็งแกร่งนั้นนับว่าเหนือกว่ามาก แต่พีเรียสก็มีข้อได้เปรียบอยู่ ประการแรก

คือทะเลที่แยกทั้งสองอาณาจักรออกจากกันนั้นก็ได้ช่วยจำากัดเส้นทางบุกของเอลมอร์ อา

เดน และที่สำาคัญอีกข้อก็คือ ชาวพีเรียสนั้นมีสิ่งที่ตกทอดมาจากเหล่ายักษ์ ซึ่งสามารถนำามา

ใช้เพื่อความได้เปรียบทางการทหารได้

แม้ว่าจะด้วยกำาลังอันล้นเหลือ แต่สุดท้ายแล้วกองทัพแห่งเอลมอร์ อาเดนก็ไม่

สามารถพิชิตชัยเหนือพีเรียสได้

Page 34: The Legend of Lineage II

30

Page 35: The Legend of Lineage II

31

บทที่ 14 : เบเลธและหอคอยงาช้าง

อาณาจักรเอลมอร์ อาเดนนั้นเป็นที่ตั้งของหอคอยงาช้าง สถาบันแห่งการศึกษา

เวทมนตร์ เหล่านักเวทที่ทำางานอยู่ในหอคอยงาช้างนี้ได้พยายามจะฟื้นฟู ศึกษา และ

พัฒนาเวทมนตร์ของยักษ์ในกาลก่อน ความชำานาญในเวทมนตร์ของบรรดาปราชญ์แห่ง

หอคอยนี้ยิ่งใหญ่นัก และในสมัยหนึ่ง อิทธิพลของพวกเขาที่มีต่ออาณาจักรนั้นก็ใกล้เคียง

กับองค์จักรพรรดิเลยทีเดียว

ในบรรดาผู้คนในหอคอยงาช้างนี้ เบเลธเป็นจอมเวทที่เก่งกาจที่สุด และนับว่า

เป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเกิดมาบนโลกนี้ เขาหลงใหลในเวทมนตร์ของ

ยักษ์ และหาทางจนได้มาซึ่งพลังเกือบทั้งหมดของยักษ์ แต่พลังของยักษ์นั้นเป็นพลังต้อง

สาปสำาหรับมนุษย์ ยิ่งเมื่อได้ครอบครอง ความปรารถนาและกระหายที่จะควบคุมมันของ

เบเลธก็ยิ่งทวีรุนแรงขึ้น ด้วยความตระหนก ทางอาณาจักรและเหล่านักเวทแห่งหอคอย

งาช้างจึงผนึกกำาลังกันเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากเบเลธ แต่เบเลธก็ได้ครอบครองพลังอำานาจ

แห่งศาสตร์มืดอันร้ายกาจยิ่งนัก

ในที่สุด เหล่านักเวทแห่งหอคอยงาช้างจึงใช้มนตร์ดำาต้องห้ามในการสกัดอำานาจ

ของเบเลธเพื่อจะล่อดักและผนึกไว้ใต้หอคอย แต่ทั้งที่เหล่าอัศวินและจอมเวทเฝ้ารักษา

ผนึกอยู่ เบเลธก็ทำาลายผนึกและหลบหนีไปได้สำาเร็จ เขาหนีไปยังเกาะเฮลบาวนด์เพื่อฟื้นฟู

กำาลัง และดำาเนินตามความทะเยอทะยานที่จะพิชิตแผ่นดินต่อไป

มนตร์ดำาที่ใช้เพื่อดักเบเลธนั้นยังคงเหลือผลกระทบอื่นที่ตามมา ดินแดนทาง

ตอนใต้ซึ่งในปัจจุบันคือกลูดิโอนั้นตกอยู่ในภาวะเสียหายเนื่องจากมนตร์ดำา และผู้คน

มากมายก็ล้มตายเมื่อมนตร์ถูกร่าย อาณาจักรกล่าวโทษเบเลธกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแพร่ข่าว

ออกไปว่าเบเลธนั้นคือปิศาจท่ามกลางมวลมนุษย์

Page 36: The Legend of Lineage II

32

Page 37: The Legend of Lineage II

33

บทที่ 15 : ความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในป่าเอลฟ์ในช่วงเวลานี้ หลังจากที่สูญเสีย

อำานาจการปกครองผืนแผ่นดินให้แก่มนุษย์ เหล่าเอลฟ์ก็ค่อยๆ ลดความลำาพองลงทีละ

น้อย พวกเขาลืมความใฝ่ฝันที่จะครองแผ่นดินและพอใจกับชีวิตอันสงบสุขในป่า

ยังมีเอลฟ์อยู่กลุ่มหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในชื่อ บราวน์เอลฟ์ ซึ่งไม่พอใจกับความสงบ

ของเหล่าเอลฟ์ ด้วยแนวทางแห่งปณิธานอันแรงกล้า พวกเขายืนกรานว่าสงครามกับพวก

มนุษย์จะต้องดำาเนินต่อไป ถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการใช้มนตร์ดำาต้องห้ามก็ตาม แต่อย่างไร

ก็ตาม จุดยืนนี้ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากเอลฟ์ที่

ในช่วงเวลานี้เอง นักเวทชาวมนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่พวกบราวน์

เอลฟ์ เขาเข้าไปหาผู้นำาของบราวน์เอลฟ์และกล่าวว่า

“กษัตริย์แห่งบราวน์เอลฟ์เอย ท่านปรารถนาอำานาจ แต่เหล่าทรีเอลฟ์ผู้

อ่อนแอและผู้ที่สนับสนุนนั้นเกรง กลัวว่าพวกท่านจะบรรลุถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่พวกท่าน

สมควรจะได้รับ พวกเขาเพียงแค่กังวลว่าท่านจะโจมตีพวกเขาหรือนำามาซึ่งภัยที่ร้ายแรง

กว่านั้นโดยการไปยั่วโทสะพวกมนุษย์ ความคิดอันอ่อนแอพวกนั้นนั่นเองที่เป็นตัวก่อให้

เกิดความอ่อนแอในเผ่าพันธุ์เอลฟ์ดังที่เป็นอยู่นี้”

ผู้นำาแห่งบราวน์เอลฟ์ตอบอย่างระมัดระวัง “ท่านเป็นใครกัน นักเวทมนุษย์

หรือ? ท่านมีจุดประสงค์ใดกันจึงต้องมาปั่นหัวพวกเรา”

“นามของข้าคือดาสพาเรียน และข้าก็เป็นเพียงนักเวทธรรมดาคนหนึ่ง แต่ข้า

ครอบครองพลังที่ท่านปรารถนา ข้าสามารถช่วยท่านให้บรรลุถึงเป้าหมายของท่าน และ

เพื่อเป็นการตอบแทน ท่านต้องให้ข้าในสิ่งที่ข้าปรารถนา”

Page 38: The Legend of Lineage II

34

“สิ่งที่ท่านปรารถนาหรือ? มันคืออะไรกันเล่า?”

“ความเยาว์วัยของท่าน ความลับแห่งชีวิตนิรันดร์” รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่

มุมปากของดาสพาเรียน “ถึงแม้ว่าข้าจะเชี่ยวชาญเวทมนตร์คาถา แต่ข้าก็ยังคงเป็นมนุษย์

และอายุขัยของข้าก็ไม่ถึงแม้กระทั่งแค่หนึ่งร้อยปี ดังนั้น กษัตริย์แห่งบราวน์เอลฟ์ ท่านจะ

ตัดสินใจอย่างไร? เราสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อจะบรรลุถึงความปรารถนาของเรา

ทั้งคู่”

ด้วยแรงยั่วยวนของอำานาจแห่งมนตร์ดำาที่ดาสพาเรียนครอบครอง พวกบราวน์

เอลฟ์ก็ตกลงรับข้อเสนอของเขา และฝึกฝนศาสตร์มืดภายใต้การชี้นำาของเขา ฝ่ายดาสพา

เรียนก็ได้เรียนรู้ถึงความเป็นอมตะและจากไปอย่างพึงพอใจ

เมื่อได้รับรู้เหตุการณ์นี้ พวกเอลฟ์ก็ขับบราวน์เอลฟ์ ซึ่งละทิ้งไอน์ฮัดซัดและเดิน

ตามวิถีของกรัง คายน์ออกจากเผ่า การต่อสู้เกิดขึ้นในระหว่างเอลฟ์ทั้งหมด พวกบราวน์

เอลฟ์ ดำาเนินตามแผนของดาสพาเรียน ได้ร่ายคาถาแห่งความตายหมายจะกวาดล้างทรี

เอลฟ์ให้สูญสิ้น แต่ด้วยลมหายใจสุดท้ายแห่งทรีเอลฟ์ พวกเขาได้ร่ายคำาสาปใส่บราวน์เอลฟ์

คำาสาปนั้นทำาให้ป่าของพวกบราวน์เอลฟ์ผุพังเสื่อมโทรม และพวกบราวน์เอลฟ์ก็กลายเป็น

เผ่าพันธุ์แห่งความมืด หลังจากนั้น บราวน์เอลฟ์ก็เป็นที่รู้จักกันในนาม ดาร์คเอลฟ์

Page 39: The Legend of Lineage II

35

บทที่ 16 : จุดสิ้นสุดของยุคทอง

ยุคทองแห่งเอลมอร์ อาเดนมาถึงในประมาณหนึ่งพันปีหลังจากการก่อตั้ง ในรัช

สมัยของจักรพรรดิไบอุม ด้วยความเป็นผู้นำาที่ยอดเยี่ยม ไบอุมได้สร้างกองทัพที่แข็งแกร่ง

ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร กองทัพนี้ขับไล่พวกออร์ค ซึ่งครองอิทธิพลอยู่พอ

สมควรในทางเหนือของเอลมอร์ ให้ถอยร่นเข้าไปสู่ป่าดำา ซึ่งเป็นที่รู้จักในภายหลังว่าอาณา

จักรออร์ค นอกจากนี้ กองทัพของไบอุมยังได้โจมตีอาณาจักรพีเรียสครั้งแล้วครั้งเล่า และ

ในที่สุดก็ได้ยึดครองดินแดนทางตอนใต้ของเกรเซียเป็นผลสำาเร็จ

ในช่วงบั้นปลายชีวิต ไบอุมก็คลายความสนใจในการพิชิตชัย และใช้กองกำาลัง

ของอาณาจักรมาเริ่มการก่อสร้างหอคอยอันงดงามที่สูงเทียมเมฆ

“ชื่อของข้าเป็นที่เกรงขามไปทั่วทุกมุมทวีป ชีวิตนับหมื่นอาจอยู่หรือตายเพียง

ข้าขยับมือ ข้าครองอำานาจโดยสมบูรณ์ แต่ข้าจะครองอำานาจนี้อยู่ได้อีกไม่กี่สิบปีเท่านั้น ข้า

ทนสิ่งนี้ไม่ได้! ไม่ ข้าจะต้องได้รับชีวิตอมตะจากเทพเจ้า และครองอาณาจักรของข้าไปชั่วนิ

รันดร์!”

หอคอยอันงดงามเป็นสง่าจากการออกแบบของไบอุมใช้เวลาสามสิบปีในการ

สร้าง เขาหมายจะใช้หอคอยนี้เป็นทางที่จะไต่ขึ้นสู่ที่พำานักของเหล่าเทพเพื่อที่จะได้รับชีวิต

อมตะ เมื่อเขาไต่หอคอยขึ้นไป เทพเจ้าก็เห็นถึงแผนการของเขา และตอบกลับมาดังนี้

“บุตรแห่งมนุษย์อันตำ่าต้อย เจ้าบังอาจทำาให้ที่พำานักของเราต้องแปดเปื้อนเพื่อ

ชีวิตอมตะของเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนของพวกยักษ์เลยหรือ? อย่างนั้น

ก็ดี หากชีวิตนิรันดร์คือสิ่งที่เจ้าปรารถนา เราก็จะให้ตามที่เจ้าขอ แต่เจ้าจักไม่ได้ออกจาก

หอคอยของเจ้าอีกตลอดไป”

ด้วยการนำาโทสะแห่งเทพเจ้ามาสู่ตัวเอง ไบอุมจึงติดอยู่บนยอดหอคอยของตน

Page 40: The Legend of Lineage II

36

ไปชั่วนิรันดร์ หลังจากการหายตัวไปอย่างกะทันหันของจักรพรรดิ การแข่งขันอันรุนแรง

จึงเกิดขึ้นในหมู่เชื้อพระวงศ์ด้วยต่างก็แก่งแย่งสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชย์ ขุนนางจำานวนมากก็

พากันฉวยโอกาสเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์ ทำาให้อาณาจักรแห่งเอลมอร์ อาเดนทั้งหมด

ตกอยู่ในสภาวะความขัดแย้งภายใน แรงเงินและแรงงานที่สูญไปในการก่อสร้างหอคอยนั้น

ทำาให้อาณาจักรอ่อนแอลงอยู่แล้ว ความขัดแย้งและการทรยศหักหลังที่เพิ่มเข้ามาอีกเมื่อ

บัลลังก์ไร้ผู้ครองนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย อาณาจักรเอลมอร์ อาเดนอันรุ่งเรือง ครอง

อำานาจเหนือแผ่นดินมากว่าพันปี ตกอยู่ในภาวะตกตำ่าลงอย่างรวดเร็ว และภายในเวลา

เพียงยี่สิบปี อาณาจักรก็ล่มสลายลง

Page 41: The Legend of Lineage II

37

บทที่ 17 : หวนกลับมายังกองไฟอีกหน

เรื่องราวที่แลกด้วยอาหารและกองไฟอบอุ่นดำาเนินต่อไปในทิศทางที่ไม่ดีนัก เรา

ไม่รู้ว่าชายพเนจรผู้นี้เป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าทำาไมเขาจึงมาเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เราฟัง แต่เราก็

ยังคงนิ่งฟังราวต้องมนตร์ ไม่สามารถจะละสายตาไปที่อื่นหรือขยับตัวได้ ราวกับมีแรงที่มอง

ไม่เห็นยึดเราไว้กับที่ที่เรานั่งอยู่

บุรุษผู้นั้นทำาราวกับพวกเราไม่ได้อยู่ในที่นั้น เขาเก็บกิ่งไม้และเศษไม้แห้งที่อยู่

รอบๆ เท้าของเขา และโยนมันเข้าสู่กองไฟที่ใกล้มอด เปลวไฟที่เจียนดับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

เขาไม่แม้แต่จะมองมาทางเราเมื่อเริ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เรื่องที่ข้าเล่านี้ใกล้จะจบลงแล้ว เรื่องราวที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คุ้นเคย

กันอยู่แล้ว คือเรื่องราวการแก่งแย่งอำานาจของมนุษย์ ซึ่งยังคงดำาเนินมาจนถึงทุกวันนี้ นี่

คือเรื่องราวของดินแดนหลังจากการล่มสลายของเอลมอร์ อาเดน”

Page 42: The Legend of Lineage II

38

Page 43: The Legend of Lineage II

39

บทที่ 18 : สงครามชิงดินแดน

ในขณะที่จุดจบของเอลมอร์ อาเดนช่วยชะลอการล่มสลายของอาณาจักรพีเรีย

สลง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งโรคระบาดที่แพร่จากดินแดนเกรเซียลงสู่ทางใต้ หรือ

ความหนาวเย็นอันทารุณที่พัดพามาจากทางเหนือได้ และเช่นเดียวกับเอลมอร์ อาเดนก่อน

หน้านี้ พีเรียสก็สูญสลายเหลือเพียงจารึกเขรอะฝุ่นในบันทึกประวัติศาสตร์

หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่เหล่านี้ แผ่นดินก็ตกอยู่ใน

ความสับสนวุ่นวายอันน่าสะพรึง และยุคมืดก็กระตุ้นความทรงจำาถึงหายนะหลังจากโรค

ระบาดครั้งใหญ่ เหล่าขุนนางต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ และบ้างก็ถึงกับยอมแลก

ดินแดนกับเผ่าพันธุ์อื่นเพื่อแลกกับกำาลังทหาร พวกออร์คฉวยโอกาสนี้เข้าครอบครองฐาน

ที่มั่น เสริมกำาลังของตนให้แข็งแกร่ง เมื่อจัดตั้งกองทัพขึ้นใหม่ พวกออร์คก็ก่อการสู้รบเพื่อ

ชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินขึ้นอีกครั้ง กองทัพของพวกเขาทรงพลัง และไม่ช้าก็ได้ยึดครอง

ดินแดนทางเหนือของเอลมอร์ แต่การต่อสู้ระหว่างออร์คชั้นสูงและออร์คชั้นตำ่าก็ทำาให้พลัง

อำานาจของพวกเขาอ่อนแอลง

ท่ามกลางความขัดแย้งเหล่านี้ พวกเอลฟ์ไม่สามารถกระทำาการใดได้ นอกจาก

ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนในศึกอันไร้ที่สิ้นสุดต่อพี่น้องผู้เลือกเส้นทางแห่งความมืด และ

ดวอร์ฟก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพออร์คอันบ้าคลั่ง และถูกขับออกไปพ้นทางอย่างง่ายดาย

ในเวลานั้น กลุ่มมนุษย์ที่มีอิทธิพลที่สุดที่ปรากฏอยู่ รู้จักกันในนาม อาณาจักรเอ

ลมอร์ ได้อ้างว่าเป็นทายาทโดยตรงของจักรพรรดิแห่งเอลมอร์ อาเดน ไม่ว่าคำาอ้างนี้จะเป็น

จริงหรือเป็นเรื่องที่สร้างขึ้น ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยพวกเขามีพละกำาลัง

และความแข็งแกร่งอันแท้จริงสนับสนุนคำาพูดนั้น กองทัพเอลมอร์ปะทะกับกองทัพออร์ค

ในหลายสมรภูมิ สงครามดำาเนินอยู่นานหลายปี ยังความสูญเสียแก่แต่ละฝ่ายอย่างสาหัส

Page 44: The Legend of Lineage II

40

กองทัพทั้งสองฝ่ายนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน ด้วยถึงแม้ว่ามนุษย์จะเหนือกว่าในด้าน

กำาลังพลที่มากมาย แต่กำาลังที่เด็ดขาดของกองทัพออร์คอันเกรียงไกรก็ทำาให้พวกเขาเป็น

ศัตรูที่น่าเกรงขาม อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ฝ่ายออร์คก็พ่ายแพ้และถูกขับให้ถอยร่นกลับไป

ยังดินแดนของตนอีกครั้ง เพื่อจะรอคอยเวลาและเตรียมการชำาระแค้น ส่วนพวกดวอร์ฟที่

เหลือเพียงน้อยนิดนั้น ก็ถูกขับออกจากแผ่นดินของมนุษย์ให้ถอยลึกเข้าไปในเทือกเขาสไพน์

ด้วยกองกำาลังที่บัดนี้ลดน้อยลง กองทัพเอลมอร์ก็เข้าควบคุมดินแดนทางเหนือ

ทั้งหมดได้ในที่สุด และเดินทัพลงใต้เพื่อรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่อีกครั้งภายใต้ธงแห่งเอลม

อร์ แต่การรวมดินแดนที่แบ่งแยกออกนั้นก็มิใช่จะกระทำาได้ โอเรน อาณาจักรที่ทรงอำานาจ

ที่สุดในบรรดาอาณาจักรทางใต้ ต่อต้านกองกำาลังผู้บุกรุกด้วยเหล่าจอมเวทผู้แข็งแกร่งและ

ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และเอลมอร์ก็ไม่สามารถจะสู้กับความดุร้ายของกองทัพ

ที่ออกมาป้องกันแผ่นดินของตนได้

อาณาจักรทางใต้ทั้งหลายเจริญรุ่งเรืองขึ้นภายใต้การปกป้องของโอเรน และเริ่ม

รวมตัวกันขึ้นในรูปแบบของประเทศ อาณาจักรเหล่านี้รักษาสมดุลระหว่างกันและกัน และ

เติบโตแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ

Page 45: The Legend of Lineage II

41

บทที่ 19 : การสถาปนาแห่งสองอาณาจักร

สงครามมากมายดำาเนินอยู่นับหลายชั่วอายุคน และโดยที่อยู่พ้นจากความ

วุ่นวายทั้งหลายนี้ เกรเซียจึงเป็นดินแดนแรกที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้ บุรุษนามปารีส

พร้อมด้วยกำาลังทหารและพลังอันมหาศาลได้นำาความรุ่งเรืองมาสู่คนของเขา เขาคว้าชัยใน

หลายศึก และทำาการรวมดินแดนขึ้นภายใต้นาม บีไฮม์

ปารีสได้กลายเป็นตำานานเมื่อเขาและกองทัพต้องเผชิญกับชาวที่สูงควอเซอร์

ผู้ดุร้าย ในการต่อสู้อย่างจนตรอกกับทอร์ นักรบที่ทรงพลังที่สุดของควอเซอร์ ปารีสก็ได้

สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่ทอร์ ด้วยไม่เคยพ่ายแพ้ในการสู้รบใดมาก่อน ตำานานเล่าขาน

กันว่าทอร์ผู้บาดเจ็บถึงกับเอ่ยปากว่า “ท่านเป็นมนุษย์จริงๆ หรือ? พละกำาลังอะไรเช่นนี้?

ความเร็วอะไรเช่นนี้!”

ปารีสยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูของเขา กวาดสายตาไปทั่วสนามรบและเอ่ยตอบ “ข้า

ปรารถนาอย่างยิ่งจะรวมดินแดนนี้ให้เป็นหนึ่งให้จงได้ นักรบผู้กล้าแห่งแดนเหนือเอย

ปฏิญาณจะภักดีต่อข้าเถิด แล้วเราจักร่วมกันพิชิตชัยเหนือผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับเรา”

ดังนั้น ปารีสจึงได้นำาเหล่าอัศวินเหยี่ยวขาว เหล่าอัศวินสายลม และชาวที่สูงซึ่ง

บัดนี้ได้ร่วมเป็นพันธมิตรใหม่ ข้ามดินแดนแห่งเกรเซีย และได้ชัยชนะในการสู้รบมากมาย

บีไฮม์ขยายดินแดนออกถึงกว่าห้าเท่าจากเขตแดนเดิม และสำาหรับตัวปารีสนั้น เขาก่อการ

ต่อต้านราชวงศ์และขึ้นครองราชย์แทน

ในขณะเดียวกัน ดินแดนทางใต้ก็เกิดความเคลื่อนไหวมากมาย และผู้คนจำานวน

มากก็วิตกกังวลกับข่าวความเปลี่ยนแปลงอันวุ่นวายจากเกรเซียและเอลมอร์ ผู้นำาผู้เปี่ยม

ความสามารถนามว่าราอูลได้ปรากฏกายขึ้น และรวบรวมกองกำาลังขึ้นภายใต้ธงของเขา

Page 46: The Legend of Lineage II

42

ด้วยวาทะอันเร่าร้อนรุนแรง ราอูลโค่นล้มผู้ที่ต่อต้านเขา มิใช่ด้วยศาสตราวุธ หากด้วยวาจา

หนึ่งในวาทะของเขามักดำาเนินไปในทำานองว่า

“เหล่าผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดิน พวกท่านไม่เห็นหรือว่ากำาลังเกิดอะไรขึ้น

นอกชายแดนของเรา? กองทัพอันเกรียงไกรของศัตรูกำาลังเดินทัพมาสู่เราในขณะที่เรากำาลัง

พูดกันอยู่นี้! อาณาจักรเอลมอร์พยายามจะยึดชิงความมั่งคั่งของเราและแผ่นดินของเรา

มานานนัก และก็รอเพียงเวลาอันเหมาะสมที่จะเข้าโจมตีเท่านั้น หากดินแดนเกรเซียอีก

โพ้นทะเลก็ตัดสินใจเคลื่อนไหวเช่นกัน เราก็จะถูกบุกโจมตี! ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว

นอกจากมาร่วมกับกองทัพของเรา ร่วมกันเตรียมรับศึกภายใต้ธงของเรา”

ราอูลใช้การโน้มน้าวเพื่อรวมดินแดนทางใต้เข้าด้วยกันอย่างมั่นคง ทว่าการ

คุกคามจากอาณาจักรเอลมอร์นั้นกลับไม่มากเท่าที่เห็น เนื่องจากพวกเขาต้องวุ่นกับการ

รับมือกับการจลาจลของพวกออร์คเกินกว่าที่จะมาให้ความสนใจกับอาเดนได้มากนัก

แต่กระนั้น ราอูลก็ได้ผนึกกำาลังกับพันธมิตรผู้ภักดีของเขา อินนาดริล และ

ได้ร่วมกันสถาปนาอาณาจักรแห่งอาเดนขึ้น แตกต่างจากปารีส ราอูลกระทำาการโดย

ปราศจากการนองเลือด และเขาก็เดินหน้ายึดครองกีรันและดิออนมาได้อย่างง่ายดาย

แต่ที่โอเรนนั้นเอง ที่ราอูลต้องเผชิญกับการต่อต้านเป็นครั้งแรกต่อแผนการของ

เขา โอเรนตั้งตนเป็นผู้นำาของดินแดนทางใต้และไม่ยอมรับผู้นำาอื่นนอกจากพวกเขาเอง

ในที่สุด ทั้งสองอาณาจักรก็เข้าสู่การสู้รบ แต่อาณาจักรอาเดนก็พลิกแพลงเอาชัยได้อย่าง

งดงาม อาณาจักรกลูดิโอนั้น เมื่อได้ประจักษ์ถึงแสนยานุภาพแห่งกองทัพอาเดน ก็สมัครใจ

เลือกที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอาเดน ทำาให้อาเดนได้บรรลุถึงความเป็นเอกภาพโดย

สมบูรณ์ หลังจากนั้น ราอูลก็ได้เป็นที่รู้จักในนาม กษัตริย์ผู้รวมดินแดน

Page 47: The Legend of Lineage II

43

บทที่ 20 : เหล่าทายาทแห่งแผ่นดิน

ไม่นานหลังจากที่อาเดนรวมตัวกันเป็นหนึ่ง เกรเซียก็ได้สร้างเอกภาพขึ้นในดิน

แดนของตน เมื่อฮวูฮ์ ฝ่ายตรงข้ามพวกสุดท้ายที่เหลืออยู่ ได้ตกสู่มือของปารีส ปารีสย้าย

นครหลวงไปยังอาร์เพนิโอ และปรับโครงสร้างของอาณาจักรขึ้นใหม่

อำานาจใหม่เช่นอาเดนได้พิสูจน์กำาลังของตนเองด้วยความสำาเร็จในการต่อต้าน

การโจมตีของเอลมอร์ แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอาเดนก็เกิดขึ้นเมื่อ

โศกนาฏกรรมได้กระหนำ่าใส่อาเดนด้วยมรณกรรมกะทันหันของราอูล ด้วยรับรู้ถึงเวลาแห่ง

การโจมตี เอลมอร์ได้บุกซำ้าครั้งแล้วครั้งเล่าเข้าสู่ดินแดนทางตอนเหนือของอาเดน ทราบิส

ผู้สำาเร็จราชการของราอูล สามารถป้องกันผู้บุกรุกไว้ได้ แต่เขาก็เสียชีวิตลงในเวลาเพียงไม่

นานด้วยโรคลึกลับ ผู้สืบราชบัลลังก์คนต่อไปคือเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบหกชันษา นามอมาเด

โอ

เมื่อได้ยินข่าวนี้ ปารีสได้อุทานว่า “สวรรค์เมตตาช่วยเหลือเราแล้ว! กษัตริย์

อายุสิบหก? นี่เห็นจะเป็นจุดตกตำ่าของอาเดนเสียงแล้ว!”

แต่ปารีสได้ประเมินอมาเดโอผู้เยาว์วัยพลาดไปถัด ยุวกษัตริย์ผู้นี้ประสบความ

สำาเร็จอย่างงดงามในการป้องกันการโจมตีครั้งใหญ่จากเอลมอร์ และปารีสก็รับรู้ได้ว่า

โอกาสจะพิชิตอาเดนกำาลังจะหลุดลอยออกไป และโดยเพิกเฉยต่อคำาแนะนำาทั้งปวง รวม

ทั้งเชื่อมั่นในมือขวาของเขา ดิลเลียส ปารีสก็เคลื่อนกำาลังบุกโจมตีอาเดนทั้งทางบกและ

ทางนำ้า

ผลลัพธ์ของมันคือความหายนะ

แอสแทร์ กษัตริย์ผู้ถูกปลดแห่งเอลมอร์ ได้เข้าร่วมกับอาเดน ศัตรูตลอดกาลของ

บิดา

Page 48: The Legend of Lineage II

44

“ท่านไม่มีความละอายแก่ใจบ้างหรือ? ท่านสมควรปลิดชีพตัวเองเสียด้วยดาบ

ของท่านกับการที่ไปยืนอยู่ข้างศัตรูของบิดาท่านเอง!” ปารีสตะโกนด้วยความโกรธ

แอสแทร์ไม่ใส่ใจต่อคำาวิพากษ์นั้นและกล่าวตอบ “ราชาน้อยนั่นไว้ค่อยจัดการ

ทีหลังได้ แต่ตอนนี้ท่านคือเหยื่อสำาคัญของข้า”

สมรภูมิแห่งกีรันได้เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม กองทหารชาว

เกรเซียที่แตกพ่ายและเสียขวัญล่าถอยกลับไปยังดินแดนของตน ความล้มเหลวในการบุกอา

เดนได้ทิ้งบาดแผลลึกให้แก่ความภาคภูมิของปารีส ด้วยเขาไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้มาก่อน

เลย ในที่สุด ปารีสก็ล้มป่วยและถึงแก่ชีวิตในเวลาไม่นาน

ทายาทแห่งเกรเซียเป็นบุรุษผู้อ่อนแอนามคาร์นาเรีย ผู้ซึ่งหลายฝ่ายลงความเห็น

ว่าไม่เหมาะสมจะขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักร คิวคารัสได้กระทำาการต่อต้าน และคัดค้าน

สิทธิเหนือราชบัลลังก์ของคาร์นาเรีย ด้วยแรงหนุนจากดิลเลียส อดีตที่ปรึกษาผู้เป็นที่ไว้

เนื้อเชื่อใจของปารีส คิวคารัสรวบรวมประชาชนชาวเกรเซีย และเขากับคาร์นาเรียก็แบ่ง

แยกอาณาจักรออกเป็นสองส่วน เกรเซียเหนือและเกรเซียใต้กลายเป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อกัน

และการแก่งแย่งช่วงชิงของพวกเขาก็จักทำาลายพลังของพวกเขาเองลงจนหมดสิ้น

นี่เป็นข่าวดียิ่งสำาหรับอมาเดโอ และเขาก็ใช้ช่วงที่ว่างเว้นจากการสู้รบเสริมความ

แข็งแกร่งให้กับอาณาจักรอาเดน ด้วยความสำาเร็จของเขา อาเดน เอลมอร์ และเกรเซียจึง

ได้ร่วมลงนามในสัญญาสันติภาพ และยุคแห่งความสงบสุขอันไม่ได้เกิดจากความเต็มใจนัก

ก็มาถึง

Page 49: The Legend of Lineage II

45

บทที่ 21 : ปัจฉิมบท

เมื่อบุรุษนิรนามจบเรื่องราวของเขาลง แสงสว่างก็เริ่มคืบคลานเข้าสู่ฟ้าอันมืด

มิด ราตรีอันยาวนานได้ผ่านพ้นไปและรุ่งอรุณกำาลังมาถึง กองไฟเหลือเพียงเถ้าคุกรุ่น ผู้

เล่าเรื่องจุดกล้องยาของเขาอีกครั้ง และสูบควันอย่างครุ่นคิด

“และเรื่องราวของข้าก็จบลงแล้วสำาหรับตอนนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวก็

อาจดำาเนินต่อไป ใครจะรู้ บางทีสักวันชื่อของพวกท่านก็อาจปรากฏอยู่ในเรื่องของข้าก็เป็น

ได้”

แสงทองแห่งอรุณรุ่งทาบสูงขึ้นจากขอบฟ้า และข้าก็รู้สึกได้ถึงความเร่งด่วน ว่า

เหตุการณ์อันสำาคัญนี้กำาลังจะผ่านไป ข้าพยายามควานหาเสียงของตัวเอง และรวบรวม

ความกล้าถามออกไป

“ท่านเป็นใคร? เหตุใดท่านจึงมาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เราฟัง และท่านรู้เรื่อง

ทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน?”

ชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนโดยไร้คำาพูดใด เมื่อเขายืนขึ้นนั้น เขาก็ยืดตัวขึ้นสู่ความสูง

ของเขา เขาดูเหมือนกับชายธรรมดาทั่วไปในขณะที่นั่งอยู่ แต่บัดนี้เขากลับเป็นชายร่างยักษ์

สูงถึงเกือบยี่สิบฟุต เงาของเขาทอดลงปกคลุมคณะของเราทั้งหมด รูปลักษณ์ของเขายัง

คงไม่สามารถเห็นได้ชัดภายใต้หมวกคลุมที่ปิดบังใบหน้า จากนั้น ร่างของเขาก็ค่อยๆ เลือน

หายไปอย่างช้าๆ! ข้าอธิบายได้เพียงว่า มันเหมือนกับค่อยๆ จางลงไป แล้วในทันใดก็เกิด

กระแสลมขึ้นวูบหนึ่ง แล้วเขาก็จากไปราวฝุ่นธุลีในสายลม

เขาไม่ได้บอกอะไรแก่เราเลยในตอนนั้น แต่มาถึงตอนนี้ ข้าก็คิดว่าข้ารู้ว่าเขา

เป็นใคร การปิดบังตัวตนมาเพื่อเล่าประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์แห่งโลกนี้นับว่าเป็นการ

กระทำาที่เชื่อมโยงไปสู่ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับจุดเริ่มต้นของโลก หรือแม้แต่อาจเป็นผู้ที่สร้างเผ่า

Page 50: The Legend of Lineage II

46

พันธุ์มนุษย์ขึ้นมาเองก็เป็นได้?

Page 51: The Legend of Lineage II