ทฤษฎีองค์การ
DESCRIPTION
about theory of organization theory by ShariffTRANSCRIPT
ทฤษฎี�องค์การ (Organization Theory)
ความหมายของค�าว�า องค การ “ ” (Organization)
Chester B Classical Organization Theory arnard ให�ค�านิ�ยามว�า องค การ ค�อกลุ่��มบุ�คคลุ่ตั้��งแตั้�“ ”สองคนิข��นิไปมาร�วมก�นิทำ�างานิเพื่�#อบุรรลุ่�ว�ตั้ถุ�ประสงค เดี'ยวก�นิอย�างม'จิ�ตั้ส�านิ�ก”
Max Weber ให�ค�านิ�ยามว�า องค การ ค�อระบุบุ“ ”ของก�จิกรรมเฉพื่าะเจิาะจิงทำ'#ม'ว�ตั้ถุ�ประสงค อย�างตั้�อเนิ�#อง (A system of continuos purposive activity of a specific kind)
ความหมายของค�าว�าองค การ (ตั้�อ) Richard Hall ให้�ค์วามห้มายของค์�าว�าองค์การเพิ่��มเติ�ม
จาก Max Weber โดยอธิ�บายว�าเป็"นกลุ่%�มค์วามร�วมม&อ (corporate group) ซึ่(�งห้มายถึ(งร*ป็แบบค์วามสั-มพิ่-นธิ
ทางสั-งค์มแบบห้น(�งซึ่(�งได�วางกฎีเกณฑ์ไว�สั�าห้ร-บการเข�ามาเป็"น
สัมาชิ�กของกลุ่%�ม แลุ่ะม�สัมาชิ�กบางท�านในกลุ่%�มน-3นท�าห้น�าท��เป็"นห้-วห้น�าแลุ่ะฝายบร�ห้ารซึ่(�งค์อยด*แลุ่ให้�สัมาชิ�กป็ฏิ�บ-ติ�ติามกฎีเกณฑ์ท��วางไว�
ขอบข�ายเน&3อห้าสัาระของว�ชิาทฤษฎี�องค์การ
เน&3อห้าสัาระสั�าค์-ญของว�ชิาน�3จะพิ่*ดถึ(งขอบเขติท��เก��ยวก-บกรอบค์วามค์�ดทฤษฎี�ในแง�โค์รงสัร�าง (Structure), การกระท�าห้น�าท��ติ�อก-น (Interaction) ห้ร&อ ม�ค์วามสั-มพิ่-นธิติ�อก-น
(Interrelation) แลุ่ะเก��ยวข�องก-บสัาเห้ติ%แลุ่ะการจ-ดการท��เก��ยวข�องก-บการออกแบบองค์การติ�าง ๆ
ว�ว�ฒนิาการทำฤษฎี'องค การ 1. Classical Organization Theory 2. Neoclassical Organization Theory 3. Human Resource Theory or Organizational
Behavior Perspective 4. Modern Structural Organization Theory 5. System Theory and Organizational
Economics 6. Power and Politics Orgnaization Theory
ว�ว�ฒนิาการทำฤษฎี'องค การ 7. Organizational Culture and Sense Making 8. Organizational Culture Reform Movement 9. Postmodernism and the Information Age
Classical Organization Theory ย%ค์โบราณ – Taymiyyah “Principle of Admintration
(Muslim Style) - Socrates explain to Nichomahindes “Generic Management” เก��ยวก-บการป็กค์รองค์น ติ�องร*�ค์วามติ�องการของค์น, เป็"นผู้*�น�าท��ด�, แก�ป็9ญห้าเก�ง ย%ค์ทฤษฎี�องค์การแบบค์ลุ่าสั�ค์ ม�รากฐานจากการป็ฏิ�ว-ติ�
อ%ติสัาห้กรรมในศติวรรษท�� 17 โดยเน�นเป็<าห้มายทางเศรษฐก�จ แลุ่ะการผู้ลุ่�ติ, ม�ว�ธิ�การท��ด�ท��สั%ดเพิ่�ยงว�ธิ�เด�ยว, สัามารถึพิ่�สั*จนทราบได�จากการสั&บค์�นอย�างเป็"นระบบ แลุ่ะเป็"นว�ทยาศาสัติร
Classical Organization Theory ย%ค์ทฤษฎี�องค์การแบบค์ลุ่าสัสั�ค์ - ผู้ลุ่ผู้ลุ่�ติสัามารถึท�าได�สั*งสั%ดโดยผู้�านการ
แบ�งงานก-นท�า แลุ่ะ - ท�างานติามค์วามถึน-ดเฉพิ่าะด�าน
(specialization) - บ%ค์ค์ลุ่ก-บองค์การป็ฏิ�บ-ติ�งานติามห้ลุ่-กการ
ทางเศรษฐก�จท��ม� ค์วามสัมเห้ติ%สัมผู้ลุ่
Classical Organization Theory The first theories of organization were
concerned primarily with the anatomy, or structure, or formal organizations.
Adam Smith,”An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations (1776) and James Watt (1736-1819) ท-3งสัองท�านเป็"นบ%ค์ค์ลุ่ท��ผู้ลุ่-กด-นให้�โลุ่กของเราเป็"นอ%ติสัาห้กรรม
Classical Organization Theory David C. McCullum (1815-1878) เน�นการแบ�งอ�านาจ แลุ่ะ
ค์วามร-บผู้�ดชิอบพิ่อ ๆ ก-น แลุ่ะระบบรายงานอย�างถึ*กติ�องติ�อผู้*�บร�ห้ารระด-บสั*ง
Henry R. Town ม�ท-ศนะว�าองค์การของแรงงานท��ม�ผู้ลุ่ผู้ลุ่�ติจะติ�องชิ-กจ*งแลุ่ะค์วบค์%มบ%ค์ลุ่ากรไม�เพิ่�ยงแติ�ม�การบร�ห้ารท��ด� แลุ่ะกระบวนการสัร�างค์วามค์%�นเค์ยในการท�างานเก��ยวก-บชิ�างเทค์น�ค์ห้ร&อว�ศวกรท��ผู้ลุ่�ติสั�นค์�าได�เป็"นอย�างด� แติ�ย-งติ�องม�ค์วามร*�ในทางป็ฏิ�บ-ติ�ถึ(งว�ธิ�การสั-งเกติ,บ-นท(ก,ว�เค์ราะห้แลุ่ะเป็ร�ยบเท�ยบข�อเท>จจร�งท��สั-มพิ่-นธิก-บค์�าจ�าง,การจ-ดห้าว-ติถึ%ด�บ,บ-ญชิ�ค์�าใชิ�จ�าย แลุ่ะท-3งห้มดน�าเข�าไป็สั*�เศรษฐก�จการผู้ลุ่�ติ แลุ่ะติ�นท%นสั�นค์�าท��ผู้ลุ่�ติ
Classical Organization Theory Henri Fayol, General Principles of Management -Division of labor -Authority and responsibility -Discipline -Unity of command -Unity of direction -Subordination of individual interest to the general interest. -Remuneration of personnel
Classical Organization Theory - Centralization
- Scalar chain (line of authority)
- Order
- Equity
- Stability of tenure of personnel
- Initiative
- Esprit de corps.
Classical Organization Theory Frederick Winslow Taylor, The Principles of
Scientific Management
-พิ่*ดถึ(งผู้ลุ่กระทบติ�อการใชิ�การอ%ป็กรณท��ชิ�วยป็ระห้ย-ดแรงงาน (Labor-saving devices)
-การพิ่-ฒนาของการอ* �งาน (Soldiering)
-ลุ่-กษณะกรรมกรในสัห้ภาพิ่แรงงาน -น�ยามของค์�าว�าการจ-ดการแบบว�ทยาศาสัติร
Classical Organization Theory - สั��งท��การจ-ดการว�ทยาศาสัติรท�า - การค์-ดเลุ่&อกค์นงานแบบว�ทยาศาสัติร - การน�าว�ทยาศาสัติรเข�ามาเก��ยวข�องก-บมน%ษย - การลุ่ดก�จกรรมท��ท�าให้�ป็ระห้ย-ดค์�าใชิ�จ�าย
(เชิ�นการใชิ�แรงเชิ�นการ แซึ่ะด�วยพิ่ลุ่-�ว)
- การใชิ�การจ-ดการแบบว�ทยาศาสัติรค์%�มให้ม ?
Classical Organization Theory Max Weber, Bureaucracy
1. The principles of fixed and official jurisdictional areas, which are generally ordered by rules, that is by law and administrative regulation. ท�างานโดยย(ดห้ลุ่-กกฎีระเบ�ยบข�อบ-งค์-บท��แน�นอน
Classical Organization Theory 2. A hierarchy เน�นการท�างานติามสัายการบ-งค์-บบ-ญชิา 3. There is modern office is based upon written documents. ม�การท�างานแบบสั�าน-กงาน
สัม-ยให้ม�โดยย(ดเอกสัารท��ม�ลุ่ายลุ่-กษณอ-กษร 4. การท�างานย(ดห้ลุ่-กค์วามถึน-ดเฉพิ่าะด�าน, ค์-ดเลุ่&อกค์น
ด�วยระบบค์%ณธิรรม 5.ถึ&อห้ลุ่-กป็ระโยชินสั�วนรวมเห้น&อกว�าป็ระโยชินสั�วนติน
Classical Organization TheoryLuther Gulick, Notes on the Theory of Organization.
Focus on:
1. Division of Labor –The whold and the Parts
2. The co-ordination of work
3. The span of control –One man one master
CEO work is POSDCORB
Classical Organization TheoryLuther Gulick, Notes on the Theory of Organization.
P = Planning
O = Organizing
S = Staffing
D = Directing
CO=Coordinating
R = Reporting
B = Budgetting
Neoclassical Organization Theory Classical organization theory concentrate that
organizations should be based on universally applicable scientific principles.
ย�ค Neoclassical organization theory เป็"นย%ค์ท��ป็ร-บป็ร%งจาก classical organization theory เป็"นลุ่-กษณะ Modern organization theory
Chester I. Barnard, Function of Executive เน�นค์วามร�วมม&อขององค์การ
Neoclassical Organization Theory
The Economy of Incentives ของ Chester I. Barnard
1. The method of incentives
2. The method of pursuasive
Robert K. Morton,Bureaucratic Structure and Personality.
1. The Structure of Bureaucracy
2. The Dysfunction of Bureaucracy
Neoclassical Organization Theory
Herbert A. Simon, The Proverb of Administration มองว�าห้ลุ่-กของ Gulick แลุ่ะ Urwick
เม&�อมาพิ่�จารณาแลุ่�วเป็"นเพิ่�ยงสั%ภาษ�ติ ห้ลุ่-กแติ�ลุ่ะห้ลุ่-กเม&�อมาพิ่�จารณารวมก-นม�ใชิ�ห้ลุ่-กอ�กติ�อไป็
Simon มองว�าการติ-ดสั�นใจม�อย*�ในท%กระด-บขององค์การ การติ-ดสั�นใจไม�สัามารถึแยกข�อเท>จจร�งก-บค์�าน�ยม ด-งน-3นการติ-ดสั�นใจท��สัมบ*รณแบบ จ(งเป็"นการติ-ดสั�นใจท��พิ่อท�าได� (Satificing)
Neoclassical Organization Theory Richard M.Cyert and James G. March
“A Behavioral Theory of Organizational Objectives.”
- The organization as a coalition
- Stabilization and Elaboration of objectives
- Changes in Objective Through Experience.
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective ในอด�ติ ผู้*�บร�ห้ารเป็"นผู้*�ร*�ท��ด�ท��สั%ด (The Boss knows best
mindset) Hugo Munsterberg น-กจ�ติว�ทยาชิาวเยอรม-น ท�างานท��
ม.ฮารวารด ได�ร-บการยกย�องว�าเป็"นบ�ดาแห้�ง จ�ติว�ทยา“อ%ติสัาห้กรรม”
ห้ร&อจ�ติว�ทยาป็ระย%กติ เขาพิ่ยายามค์-ดเลุ่&อกค์นงานให้�เห้มาะก-บค์วามติ�องการของบร�ษ-ท การสั�งเสัร�มให้�พิ่น-กงานม�ท-ศนค์ติ�ในเชิ�งบวกติ�อการท�างาน แลุ่ะติ�อองค์การ แนวค์วามค์�ดของเขาจ(งเน�นถึ(งว�ธิ�การน�าพิ่ฤติ�กรรมศาสัติรมาป็ระย%กติใชิ�ในองค์การได�เป็"นอย�างด�
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective ในทางติรงข�าม Munsterberg ได�พิ่-ฒนาพิ่ฤติ�กรรมศาสัติรโดย
แสัวงห้าค์�าติอบว�าท�าอย�างไรองค์การจ(งจะสั�งเสัร�มบ%ค์ลุ่ากรให้�เติ�บโติแลุ่ะพิ่-ฒนา การสัร�างค์วามสั-มพิ่-นธิระห้ว�างบ%ค์ค์ลุ่ก-บองค์การ เป็"นลุ่-กษณะน�3าพิ่(�งเร&อเสั&อพิ่(�งป็Bา แติ�ม�ใชิ�เป็"นการพิ่(�งพิ่าของฝBายใดฝBายห้น(�ง
Argyris ได�กลุ่�าวว�าบ%ค์ค์ลุ่ใดมององค์การโดยผู้�านเลุ่นสัม%มมองด�านพิ่ฤติ�กรรมองค์การเขาก>จะเน�นเก��ยวก-บค์น, กลุ่%�ม แลุ่ะค์วามสั-มพิ่-นธิระห้ว�างกลุ่%�มแลุ่ะสั��งแวดลุ่�อมขององค์การ แลุ่ะพิ่ฤติ�กรรมองค์การถึ*กวางเป็"นค์�าน�ยมชิ-3นสั*งในการมองมน%ษยในฐานะป็9จเจกชิน, เป็"นสั��งท��ติ�องกระท�าให้�สั�าเร>จโดยเป็Cดเผู้ย แลุ่ะซึ่&3อสั-ติยเพิ่&�อให้�บ%ค์ลุ่ากรได�ร-บข�อม*ลุ่ข�าวสัารถึ*กติ�องมากท��สั%ด
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective ทฤษฎี�ทร-พิ่ยากรมน%ษยได�ร-บอ�ทธิ�พิ่ลุ่จากองค์ค์วามร*�
ทางการว�จ-ย แลุ่ะทฤษฎี�ถึ*กสัร�างจากสัมมติ�ฐานด-งน�3 ก. องค์การเก�ดข(3นมาเพิ่&�อติอบสันองค์วามติ�องการ
มน%ษยมากกว�าการแก�แค์�น ข. เม&�อค์วามสั-มพิ่-นธิระห้ว�างบ%ค์ค์ลุ่ก-บองค์การไม�ด�
ท�าให้�บ%ค์ค์ลุ่ได�ร-บค์วามท%กขทรมานจากภาวะกดข��ค์รอบง�า
ค์. ค์วามเห้มาะสัมระห้ว�างบ%ค์ค์ลุ่ก-บองค์การก>ค์&อ win-win game มน%ษยติ�องการท�างานสัน%กแลุ่ะม�ค์วามห้มาย แลุ่ะองค์การก>ป็รารถึนาค์นเก�ง แลุ่ะค์วามสัามารถึจากบ%ค์ลุ่ากร
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective แนวค์�ดทางพิ่ฤติ�กรรมองค์การท��เด�นชิ-ดท��สั%ด ได�แก�
การศ(กษาว�จ-ยท��โรงงาน Hawthorn study ท��บร�ษ-ท Western Electric Company เขาแสัดงให้�เห้>นการทดลุ่องจากการเป็ลุ่��ยนแป็ลุ่งสัภาพิ่แวดลุ่�อมม�อ�ทธิ�พิ่ลุ่ติ�อการเพิ่��มผู้ลุ่ผู้ลุ่�ติเพิ่�ยงใด โดยศ(กษาป็9จจ-ยด�านแสังสัว�าง, อ-ติราการไห้ลุ่ของว-ติถึ%ด�บ, แผู้นการจ�ายค์�าจ�างทางเลุ่&อก ผู้ลุ่การศ(กษาพิ่บว�าเป็"นป็9ญห้าทางด�านจ�ติว�ทยาสั-งค์มได�แก�ป็9ญห้าค์วามสั-มพิ่-นธิระห้ว�างบ%ค์ค์ลุ่ในกลุ่%�ม, ป็ท-สัถึานของกลุ่%�ม, เป็"นติ-วค์วบค์%มสัภาพิ่แวดลุ่�อม
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective J.Steven Ott’s (1996) เข�ยนเร&�อง Classic Readings in
organizational Behavior
ได�อธิ�บายว�าห้-วใจสั�าค์-ญของทฤษฎี�การบร�ห้ารทร-พิ่ยากรมน%ษยได�แก�
ก. การจ*งใจ (Motivation)
ข. พิ่ฤติ�กรรมกลุ่%�ม แลุ่ะพิ่ฤติ�กรรมระห้ว�างกลุ่%�ม (group and intergroup behavior)
ค์. ภาวะผู้*�น�า (Leadership)
ง. ท�มการป็ฏิ�บ-ติ�งาน แลุ่ะการมอบห้มายอ�านาจให้�ระด-บลุ่�าง (empowerment)
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective แนวค์�ดของ Mary Parker Follett เข�ยน
“The Giving Orders ได�อธิ�บายว�าในองค์การค์วรจะออกค์�าสั-�งอย�างไร ค์�าสั-�งอาจท�าให้�ลุ่ดทอนติ-วบ%ค์ค์ลุ่ (depersonalized) การสัร�างค์วามอ-นห้น(�งอ-นเด�ยวก-นจ(งจะติ�องเข�าไป็เก��ยวข�องก-บการศ(กษาเร&�องสัถึานการณ เพิ่&�อค์�นห้ากฎีของสัถึานการณ (Law of situation) แลุ่ะให้�การเชิ&�อฟั9งสั��งน-3น ๆ
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective ทฤษฎี�แรงจ*งใจ ได�แก� ของ Abraham Maslow ว�าด�วย
ลุ่�าด-บข-3นค์วามติ�องการของมน%ษย (A Hierarchy of Need) ได�อ�ทธิ�พิ่ลุ่จากการศ(กษาท�� Harthorne Experiments แลุ่ะทฤษฎี� X,Y ของ Douglas Mcgregor มาจากจ%ดของการห้-นมาศ(กษาการจ*งใจในองค์การ
ข�อสั-นน�ษฐานทางทฤษฎี�ของ Maslow สัร%ป็ได�ด-งน�3ค์&อ ก. มน%ษยท%กค์นม�ค์วามติ�องการอย*�ภายใติ�โค์รงสัร�าง
แรงจ*งใจ ข. เม&�อค์วามติ�องการในระด-บติ��าติอบสันองแลุ่�ว ก>จะ
ไม�ใชิ�แรงข-บอ�กติ�อไป็
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective ค์. เม&�อค์นงานได�ร-บค์วามพิ่อใจก-บค์วามติ�องการในระด-บติ��ากว�า
แลุ่�ว ก>จะเก�ดแรงผู้ลุ่-กด-นไป็สั*�ค์วามติ�องการในระด-บท��สั*งข(3นกว�าเด�ม
Irving Janis เข�ยนเร&�อง “Groupthink” เป็"นว�ธิ�การค์�ดเป็"นไป็ติามกระแสัของกลุ่%�ม ห้ากไม�ติ�ดกลุ่%�มจะถึ*กมองว�านอกค์อกแลุ่ะไม�ม�มน%ษยสั-มพิ่-นธิในสัายติาของกลุ่%�มเออออห้�อห้มก เขาได�แสัดงถึ(งว�ธิ�การด*อาการของกลุ่%�มเออออห้�อห้มกม�ลุ่-กษณะด-งติ�อไป็น�3
ก. ห้ลุ่งติ-วเองว�าเป็"นผู้*�ไร�เท�ยมทาน ข. สัร�างกลุ่%�มติ�อรองเพิ่&�อค์วามสัมเห้ติ%สัมผู้ลุ่ท��สัมาชิ�กกลุ่%�มลุ่ะเลุ่ย
ติ�อค์�าเติ&อนห้ร&อยอมร-บการทบทวนในเชิ�งน�เสัธิ (Negative feedback)
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective ค์. ม�ค์วามเชิ&�อในจร�ยธิรรมของกลุ่%�มภายในตินเองโดย
เชิ&�ออย�างห้-วป็9กห้-วป็Eาโดยไม�สังสั-ยห้ร&อก-งขาใด ๆ ง. เข�มแข>ง, ม�ท-ศนค์ติ�เชิ�งลุ่บ แลุ่ะม�ท-ศนค์ติ�แบบเห้มา
พิ่วก (Stereotyping) แก�ผู้*�น�ากลุ่%�มท��เป็"นป็รป็9กษ จ. ม�การน�าไป็ใชิ�กดด-นสัมาชิ�กกลุ่%�มท��แสัดงข�อสังสั-ย
เก��ยวก-บค์วามห้ลุ่งผู้�ดในการชิ�วยเห้ลุ่&อแบ�งป็9นของกลุ่%�ม ม�การเอ&3อเฟัF3 อค์วามห้ลุ่งผู้�ดของค์วามค์�ดท��ม�ใชิ�เป็"น
เอกฉ-นท ม�การก�าห้นดการเฝ<ามองสัภาพิ่จ�ติใจ (Mindguard)
Human Resource Theory ,or the Organizational Behavior Perspective Bart Victor and Carroll Stephens เข�ยน Dark
Side of the New organizational forms
พิ่บว�าแนวโน�มย%ค์ม&ดขององค์การค์&อ การม�สั�าน-กงานอ-ติโนม-ติ�, การม�อาชิ�พิ่เสัม&อนจร�ง, ค์วามสั-มพิ่-นธิระห้ว�างบ%ค์ค์ลุ่, ระห้ว�างเพิ่&�อนร�วมงาน, แลุ่ะองค์การม�ลุ่-กษณะชิ-�วค์ราว องค์การแบบ Flat organization จะผู้ลุ่-กด-นค์วามสั-มพิ่-นธิระห้ว�างบ%ค์ค์ลุ่ ไป็สั*�ค์วามติ�องการท��มากกว�าแลุ่ะไป็สั*�การย-ดเย�ยดมากกว�าเด�ม
Modern Structural Organization Theory Classical School เป็"นลุ่-กษณะของ Structuralist
พิ่วกน�3เน�นโค์รงสัร�าง, การออกแบบ, แลุ่ะกระบวนการผู้ลุ่�ติ
Modern Structural organization theory ม�รากฐานมาจาก Fayol, Taylor,Gulick,
Weber โดยมองว�าป็ระสั�ทธิ�ภาพิ่ขององค์การเป็"นสัาระสั�าค์-ญของค์วามสัมเห้ติ%สัมผู้ลุ่ขององค์การ แลุ่ะเป็<าห้มายของ Rationality ก>ค์&อการเพิ่��มผู้ลุ่ผู้ลุ่�ติของค์วามม-�งค์-�งแลุ่ะในแง�ของสั�นค์�าแลุ่ะบร�การท��ด�
Modern Structural Organization Theory Modern Structural Organization Theory ได�ร-บ
อ�ทธิ�พิ่ลุ่จากย%ค์ Neoclassical,human relation, system theory
Bolman and Deal (1997) ได�ติ-3งสัมมติ�ฐานเก��ยวก-บกรอบท-ศนะของโค์รงสัร�างด-งติ�อไป็น�3
ก. องค์การเป็"นสัถึาบ-นท��สัมเห้ติ%สัมผู้ลุ่โดยม�ว-ติถึ%ป็ระสังค์พิ่&3นฐานเพิ่&�อบรรลุ่%เป็<าห้มายจากว-ติถึ%ป็ระสังค์ท��ก�าห้นดไว� พิ่ฤติ�กรรมองค์การสัมเห้ติ%สัมผู้ลุ่จะบรรลุ่%ค์วามสั�าเร>จได�ด�ท��สั%ดจากสั��งท��สัน-บสัน%นค์วามสัมเห้ติ%สัมผู้ลุ่ขององค์การ
Modern Structural Organization Theory ข. จะติ�องม�โค์รงสัร�างท��ด�ท��สั%ดสั�าห้ร-บองค์การใด ๆ
ก>ติาม อย�างน�อยท��สั%ดติ�องม�โค์รงสัร�างท��เห้มาะสัมในแง�ของว-ติถึ%ป็ระสังค์ท��ก�าห้นดไว�
ค์. การจ�าแนกงานเฉพิ่าะด�านแลุ่ะการแบ�งงานก-นท�าเป็"นการเพิ่��มค์%ณภาพิ่แลุ่ะป็ร�มาณของผู้ลุ่ผู้ลุ่�ติ โดยเฉพิ่าะอย�างย��งในการด�าเน�นงานท��อาศ-ยท-กษะ แลุ่ะค์วามเป็"นว�ชิาชิ�พิ่
ง. ป็9ญห้าสั�วนให้ญ�ในองค์การห้น(�งๆ ม-กเก�ดจากค์วามบกพิ่ร�องของโค์รงสัร�าง ซึ่(�งสัามารถึแก�ป็9ญห้าได�ด�วยการเป็ลุ่��ยนแป็ลุ่งโค์รงสัร�าง
Modern Structural Organization Theory Tom Burns and G.M.Stalker เป็"นผู้*�น�าแนวค์�ดเก��ยวก-บ
สั-งค์มเทค์น�ค์สั�าห้ร-บองค์การ ซึ่(�งติ�อมาพิ่-ฒนาเป็"นทฤษฎี�เก��ยวก-บ mechanistic แลุ่ะ organic system ขององค์การ
เขาเสันอแนะว�าในภาวะท��แน�นอนให้�ใชิ�องค์การแบบกลุ่ไก ห้ร&อ mechanistic ซึ่(�งเป็"นการบร�ห้ารแบบด-3งเด�มเก��ยวก-บสัายการบ-งค์-บบ-ญชิาภายใติ�กฎีระเบ�ยบข�อบ-งค์-บท��เป็"นทางการ ม�การสั&�อสัารในแนวด��ง แลุ่ะม�การติ-ดสั�นใจท��ม�การก�าห้นดมาแลุ่�ว แติ�ในสัภาวะท��เป็"นพิ่ลุ่ว-ติร แลุ่ะเป็"นสัถึานการณท��ม�การเป็ลุ่��ยนแป็ลุ่งอย�างรวดเร>ว จ�าเป็"นติ�องใชิ� organic system ซึ่(�งเน�นการม�สั�วนร�วมแลุ่ะไว�วางใจค์นงานสั*ง
Modern Structural Organization Theory Peter M.Blue, W.Richard Scott ได�เข�ยนแนวค์�ดท��เก��ยวก-บ
องค์การท��เป็"นทางการในห้น-งสั&อชิ&�อ “Formal Organization: A Comparative approach” กลุ่�าวว�า องค์การท��ไม�เป็"นทางการม�รากฐานมาจากองค์การท��ไม�เป็"นทางการ แลุ่ะสัน-บสัน%นองค์การท��เป็"นทางการโดยก�าห้นดป็ท-สัถึานเพิ่&�อการด�าเน�นงานขององค์การ
Arthur H.Walker, Jay W.Lorsch ได�เข�ยนถึ(ง Organization Choice:product or function พิ่บว�า ผู้*�เชิ��ยวชิาญค์วรจะรวมห้น�าท��เด�ยวก-นโดยอย*�ภายใติ�นายค์นเด�ยวก-น โดยไม�ค์�าน(งถึ(งค์วามแติกติ�างของผู้ลุ่�ติภ-ณฑ์ ห้ร&อค์วรม�ผู้*�ชิ�านาญการติามห้น�าท��การงานท��แติกติ�างก-นภายใติ�ผู้ลุ่�ติภ-ณฑ์เด�ยวก-น ค์วรรวมกลุ่%�มผู้ลุ่�ติภ-ณฑ์ภายใติ�ห้-วห้น�าค์นเด�ยวก-น
Modern Structural Organization Theory Adam Smith ให้�ค์วามสั�าค์-ญก-บการแบ�งงานก-น
ท�า เพิ่&�อเพิ่��มป็ระสั�ทธิ�ผู้ลุ่ในการผู้ลุ่�ติของโรงงาน ในป็G 1922 Max Weber ได�อธิ�บายถึ(งแรงผู้ลุ่-กด-นท��เข�มแข>ง แลุ่ะติ�อติ�านค์-ดค์�านก-นอย*�ท��ม�ผู้ลุ่กระทบติ�อองค์การท-3งห้มด น-�นค์&อค์วามติ�องการแบ�งงานก-นท�า ก-บการท�างานติามค์วามถึน-ดเฉพิ่าะด�าน การแบ�งงานก-นท�าไม�ได�จ-ดลุ่�าด-บค์วามสั�าค์-ญติามค์วามถึน-ดเฉพิ่าะด�านติามท-กษะ, ผู้ลุ่�ติภ-ณฑ์ แลุ่ะติามกระบวนการ
Modern Structural Organization Theory Henry Minzberg เข�ยน “The Structuring of
Organization” โดยถึ&อเป็"นสั�วนป็ระกอบห้น(�งของModel แลุ่ะเข�ยน “Power in and around Organization” เป็"นสั�วนป็ระกอบท��สัองของ Model แลุ่ะเข�ยน “Five Basic Parts of the Organization”
Modern Structural Organization Theory Five Basic Parts of the Organization
เป.นิแบุบุจิ�าลุ่องขององค การทำ'#ส�วนิประกอบุม'ความเป.นิอ�สระตั้�อก�นิ
ไดี�แก� 1. The strategic apex
2. The middle line
3. The operating core
4. The technostructure
5. The support staff
Modern Structural Organization TheoryElliott Jacques เป.นิผู้0�ปกป1องแนิวค�ดีระบุบุราชการตั้ามแนิว
สายการบุ�งค�บุบุ�ญชา ว�าระบุบุราชการม'ค�ณงามความดี' กลุ่�าวค�อเป.นิการแก�ป5ญหาความไม�ตั้�อเนิ�#องทำางดี�านิจิ�ตั้ใจิ แลุ่ะความซั�บุซั�อนิทำางดี�านิกายภาพื่ เขาม'ทำ�ศนิะว�าสายการบุ�งค�บุบุ�ญชาเป.นิทำางเลุ่�อกทำ'#ดี'ทำ'#ส�ดีในิองค การขนิาดีใหญ� เพื่ราะหากไม�ม'สายการบุ�งค�บุบุ�ญชาบุ�คคลุ่ก9จิะ
ไม�สามารถุตั้รวจิสอบุความผู้�ดีพื่ลุ่าดีไดี� ( แตั้�ถุ�าหากระบุบุราชการนิ�าสายการบุ�งค�บุบุ�ญชาไปใช�อย�างผู้�ดี ๆ ก9จิะเก�ดีป5ญหาตั้ามทำ'# ดีร.พื่�ทำยา บุวรว�ฒนิา กลุ่�าวถุ�งไว�ว�า
Modern Structural Organization Theory ผู้ลุ่เส'ยของการนิ�าระบุบุราชการทำ'#เนิ�นิสายการบุ�งค�บุ
บุ�ญชาไปใช�อย�างผู้�ดี ๆ ก9ค�อ ก. ม�กค�ดีว�าระบุบุราชการเป.นิระบุบุสม�ยใหม� ๆ ทำ'#เนิ�นิ
แนิวราบุ ทำ�าให�เก�ดีการรวมศ0นิย อ�านิาจิมากข��นิ แลุ่ะทำ�าให� hirarchy ม'ความโลุ่ภ
ข. เป.นิคนิเย9นิชาตั้�อส�#งทำ'#ไม�ถุ0กตั้�อง ค. ม��งเนิ�นิความก�าวหนิ�าของตั้นิเอง ง. ในิระดี�บุบุนิ นิ�กปฏิ�ร0ปจิะไดี�เปร'ยบุ จิ. การตั้�ดีส�นิใจิจิะม'ลุ่�กษณะการประนิ'ประนิอมมากเก�นิ
ไป
System Theory and Organizational EconomicsSince WWII the social sciences have used systems
analysis to examine their assertions about human behavior.
Systems theories of organization have two major conceptual themes or components:
1. application of Ludwig von Bertalnanfy’s 2. the use of quantitative tools and technicques to
understand complex relationships among organizational and environtmental variables and thereby to optimize decisions.
System Theory and Organizational EconomicsA system is any organized collection of parts
united by prescribed interactions and designed for the accomplishment of specific goals or general purposes.
Classical organization theory tends to be one dimensional and somewhat simplistic, systems theories tend to be mutidimensional and complex in their assumptions about organizational cause-and-effect relationships.
System Theory and Organizational Economics Norbert Wiener’s model of an organization as
an adaptive systems from his book Cybernatics มาจิากภาษากร'ก ตั้รงก�บุความหมายว�า “steerman” ซั'#งม'ความหมายว�า The multidisciplinary study of the structures and function of control information processing systems in animals and machines.
The system approach is strongly cause-and-effect oriented (“positivist”)
System Theory and Organizational EconomicsPioneering neoclassical theories provided important conceptual foundations
for the system approach Herbert Simon and his associates contributed some of the most important of these. Simon visionary theories addressed bounded rationality and satisficing in organizational decision making (1957) and programmed and unprogrammed decisions (1960)
William G.Scott, article “Organization Theory:An Overview and Appraisal” Katz and Kahn conclude that the traditional closed system view of
organization has led to a failure to fully appreciate the interdependences and interaction between organization and their environments. (“The Social Psychology of Organization”)
System Theory and Organizational Economics
James D.Thompson, in his influential l967 book
Organization in Action, classifies most organization as open systems. เขาให�ความเห9นิว�า แนิวทำางการศ�กษาระบุบุป=ดีอาจิเห9นิจิร�งไดี�จิากระดี�บุเทำคนิ�คของการปฏิ�บุ�ตั้�ในิองค การ Thomson แสวงหาแนิวทำางเช�#อมช�องว�างระหว�างระบุบุป=ดี แลุ่ะระบุบุเป=ดี จิากการถุ�อเอาความไม�แนิ�นิอนิขององค การเพื่�#อแก�ป5ญหาก�บุโลุ่กภายนิอก
System Theory and Organizational Economics
สาขาเศรษฐศาสตั้ร องค การก�าเนิ�ดีจิากบุทำความของ Ronald H.Coase, “The Nature of the Firm” เขาโตั้�แย�งว�าว�ชาเศรษฐศาสตั้ร ไม�ไดี�ข��นิอย0�ก�บุทำฤษฎี'ราคาอย�างเดี'ยวทำ'#จิะอธิ�บุายพื่ฤตั้�กรรมในิองค การ แม�ว�าทำฤษฎี'ราคาม�กจิะอธิ�บุายการตั้�ดีส�นิใจิจิ�ดีสรรทำร�พื่ยากรบุางอย�าง แลุ่ะว�ชานิ'�ขยายเตั้�บุโตั้เป.นิทำฤษฎี'ตั้�วแทำนิ, ทำฤษฎี'ของส�ทำธิ�ในิทำร�พื่ย ส�นิ แลุ่ะทำฤษฎี'ตั้�นิทำ�นิแลุ่กเปลุ่'#ยนิ
Power and Politics Organization TheoryKanter contends that “power is America’s last dirty
word. It is easier to talk about money and much easier to talk about sex- than it is to talk about power”.
The power school rejects these assumptions about organizations as being naïve and unrealistic , and therefore of minimal practical value. Instead organization are viewed as complex systems of individuals and coalitions each having its own interests belief,values, preferences, perspectives and perceptions.
Power and Politics Organization Theory
อ�านิาจิเป.นิส�#งทำ'#ทำ�กคนิเข�าใจิ แตั้�เราไม�ค�อยให�ความสนิใจิ เพื่ราะไม�สนิใจิจิร�งจิ�งทำางว�ชาการ แลุ่ะนิ�กการเม�องบุอกว�าไปขยายอ�านิาจิ เพื่�#มกระทำรวง แค�นิ'�ก9ยอมร�บุไม�ไดี�
ในิ Structural and System School of organization theory เป.นิสถุาบุ�นิเพื่�#อบุรรลุ่�เป1าหมายบุางอย�าง ถุ�อว�าม'เป1าหมายเป.นิ Rational Institutions แตั้�ว�า Rational อย0�ทำ'#องค การม'เป1าหมาย ทำ�กคนิม'เป1าหมาย แลุ่ะทำ�กคนิเข�าส0�เป1าหมาย แตั้� Power school บุอกว�าองค การไม�ม'เป1าหมาย
Power and Politics Organization Theoryทำฤษฎี'นิ'�ม'ลุ่�กษณะส�าค�ญ ๆ ดี�งนิ'� 1. ปฏิ�เสธิสมมตั้�ฐานิทำ'#ว�า ความเข�าใจิเก'#ยวก�บุองค การม'ลุ่�กษณะเป.นิ Naïve ค�อไม�ม'ประโยชนิ อะไร แลุ่ะไม�ตั้รงก�บุความเป.นิจิร�งเพื่ราะว�ามนิ�ษย ม'ผู้ลุ่ประโยชนิ , ความเช�#อ, ค�านิ�ยม, ความชอบุพื่อ,
แลุ่ะม�มมองของตั้นิเอง แตั้�ลุ่ะกลุ่��มจิะแย�งช�งทำร�พื่ยากร ดี�งนิ��นิความข�ดี
แย�งจิ�งเป.นิส�#งทำ'#หลุ่'กเลุ่'#ยงไม�ไดี� การม'อ�ทำธิ�พื่ลุ่เหนิ�อคนิอ�#นิจิ�งเป.นิเคร�#องม�อ
ส�าค�ญในิการแย�งช�งทำร�พื่ยากรในิองค การทำ'#หายาก
Power and Politics Organization Theory 2. เป1าหมายขององค การจิ�งกลุ่ายเป.นิผู้ลุ่ของการเจิรจิาตั้�อรองระหว�าง ป5จิเจิกบุ�คคลุ่ก�บุกลุ่��ม (Coalition) ไม�ใช�เป.นิเป1าหมายของใครตั้��งไว�
ทำ'#จิร�งตั้�องผู้�านิกระบุวนิการ maneuvering (การย�กย�าย,การเลุ่�นิการเม�อง) หากดี�ลุ่อ�านิาจิเปลุ่'#ยนิไปเป1าหมายขององค การก9ม'ส�ทำธิ�เปลุ่'#ยนิแปลุ่งไปดี�วย
3. ดี�งนิ��นิ power แลุ่ะ politics เป.นิส�วนิม�ตั้�ส�าค�ญของช'ว�ตั้ขององค การธิรรมดีา ถุ�าเป.นิ Rational Model จิะปฏิ�เสธิ power politics
หากเป.นิ Classical Model จิะ set ระบุบุว�าทำ�กคนิทำ�าตั้ามหนิ�าทำ'#ทำ'#ไดี�มา ไม�ม'ใครม'อ�ทำธิ�พื่ลุ่เหนิ�อใคร
Power and Politics Organization Theory
Power school มองว�าแผู้นิเปลุ่'#ยนิไดี� เม�#อกลุ่��มใหม�เข�ามาสามารถุเปลุ่'#ยนิแปลุ่งแผู้นิไดี�, จิ�ดีลุ่�าดี�บุความส�าค�ญ, เพื่�#มความส�าค�ญ, ร�ฐบุาลุ่บุางช�ดีม'การเลุ่�มเกมส อ�านิาจิมาก ในิระบุบุราชการถุ�าม'การโยกไดี�
ดี�ลุ่อ�านิาจิก9เปลุ่'#ยนิไดี� แลุ่ะบุอกว�าไม�เลุ่�นิการเม�องซั�#งแทำ�จิร�งแลุ่�วไม�จิร�ง
อ�านิาจิไม�ไดี�ม'ทำ'#มาเป.นิทำางการอย�างเดี'ยว ม'แหลุ่�งทำ'#มาหลุ่ากหลุ่าย อ�านิาจิไม�ใช�เป.นิส�#งทำ'#ว�#งตั้รงจิากข�างบุนิส0�ข�างลุ่�างอย�างเดี'ยว แตั้�อ�านิาจิเป.นิส�#งทำ'#ว�#งไดี�ทำ�กทำาง
Power and Politics Organization Theory Jeffrey Pfeffer (1997) แลุ่ะ Robert Allen,Lyman
Porter กลุ่�าวว�า อ�านิาจิค�อความสามารถุในิการทำ�างานิให�ส�าเร9จิในิว�ธิ'การทำ'#บุ�คคลุ่หนิ�#งตั้�องการ แลุ่ะเป.นิความสามารถุทำ'#อย0�ภายในิการสร�างอ�ทำธิ�พื่ลุ่ตั้�อบุ�คคลุ่อ�#นิ
นิ�กศ�กษาทำ'#เร'ยนิ Management ถุ0ก Socialization ให�เช�#อในิ Rationality ตั้��งแตั้�ตั้�นิ เช�นิการเร'ยนิทำางธิ�รก�จิก9จิะสอนิว�าทำ�าไมธิ�รก�จิของตั้�วเองดี' ถุ�งม'ความก�าวหนิ�าในิว�ชาช'พื่ตั้�าง ๆ ก9เพื่ราะว�า Manage ไดี�ดี' ม' Rationality ม' efficiency, ม'เทำคนิ�คเหมาะทำ'#จิะเป.นิศาสตั้ร Rational Model ไม�เหมาะจิะเป.นิ Power Politics
Power and Politics Organization Theory Rational Choice Model ม'ว�ตั้ถุ�ประสงค ขององค การ 1. ส�#งตั้�าง ๆเก�ดีข��นิโดียเจิตั้นิา ของผู้0�แสดีงทำ'#ม'ความ
สม�#าเสมอ ก. ม'เป1าหมาย ข. ม'เป1าหมายทำ'#เป.นิหนิ�#งเดี'ยว ค. สามารถุเร'ยงลุ่�าดี�บุตั้ามความชอบุไดี� 2. เช�#อว�าองค การม'เป1าหมายทำ'#สม�#าเสมอ 3. สามารถุหาทำางเลุ่�อกการตั้�ดีส�นิใจิ ควบุค�มทำ�ก set ให�
เลุ่�อกเอาทำ�ก Rationality
Power and Politics Organization Theory
4. เราม'ความสามารถุทำ'#จิะประเม�นิ outcome ของทำางเลุ่�อก
ทำ��งหลุ่าย 5. เราม'ความสามารถุดี�วยทำ'#จิะเลุ่�อกทำ'# maximize
มากทำ'#ส�ดีทำ'#จิะให�อ�ตั้ถุประโยชนิ ก�บุเราให�มากทำ'#ส�ดี
Power and Politics Organization Theory
John R.P.French Jr. and Bertram Raven (1959)
กลุ่�าวว�าม'ความส�มพื่�นิธิ ระหว�างตั้�วแทำนิ (agent) สองคนิค�อผู้0�ใช�อ�านิาจิ แลุ่ะผู้0�ถุ0กใช�อ�านิาจิ French and Raven ช'�ถุ�งทำ'#มาของอ�านิาจิทำางส�งคม 5 ชนิ�ดีค�อ Reward power, the perception of coercive power, legitimate power, referent power and expert power
Power and Politics Organization Theory James March ศ�กษาเร�#องอ�านิาจิทำางส�งคมในิองค การ
แลุ่ะอ�านิาจิของช�มชนิ แลุ่ะเสนิอให�ห�นิมาศ�กษาอ�านิาจิของช�มชนิเพื่�#อไปในิทำ�ศทำางเดี'ยวก�นิก�บุความสนิใจิขององค การไร�พื่รมแดีนิ, องค การเสม�อนิจิร�ง แลุ่ะเคร�อข�าย
Henry Mintzberg ในิหนิ�งส�อ Power in and organization (l983) เสนิอว�า พื่ฤตั้�กรรมองค การเป.นิเกมของอ�านิาจิ (power game) ทำ'#ผู้0�เลุ่�นิเป.นิ influence (ผู้0�ม'อ�านิาจิจิ0งใจิ) ทำ'#ม'ความตั้�องการหลุ่ากหลุ่าย ทำ'#ตั้�องการควบุค�มการตั้�ดีส�นิใจิขององค การ แลุ่ะก�จิกรรม
Organizational and Sense MakingOrganizational culture is the culture that exists in
an organization, something akin to a societal culture. It is composed of many intangible phenomena, such as values, beliefs, assumptions, perceptions, behavioral norms, artifacts and patterns of behavior.
The organizational culture perspective rejects the assumptions of the “modern” structural and system theories
From the organizational culture perspective, systems of formal rules, authority, and norms of rational behavior do not restrain the personal preferences of organizational members, Instead, they are controlled by cultural norms, values, beliefs, and assumptions.
The organizational culture school has turned to qualitative research methods such as ethnography and participant observation.
Organizational and Sense Making
Organizational and Sense Making A different orientation to cultures in
organizations started to appear in the organization theory literature during the late 1970, and it became a “Wave” in the mid-1980s. This orientatin is known as the symbolic frame,symbolic management or organzitional symbolism. Bolmen and Deal
(1997) identify the basic tanets of symbolic management as follows:
Organizational and Sense Making 1. The meaning or the interpretation of what is
happening in organizations is more imporgant than what actually is happening.
2. Ambiguity and uncertainty, which are prevalent in most organizations, preclude rational problem-solving and decision-making processes.
3. People use symbols to reduct ambiguity and to gain a sense of direction when they are faced with incertainty.
Organizational and Sense Making In 1976 book The Social Construction of
Reality
By Peter Berger and Thomas Luckmann define
Meanings as “Socially constructed realities” As
W.I.Thomas said, If organizational culture
perspective,meaning (reality) is established by
and among the people in organizations
Organizational and Sense Making The turning point the organizational
culture/symbolic management perspecive, arrived almost overnight in the 1980s. In 1982 best-seller by Thomas Peters and Robert Waterman, Jr., In Search of Excellence ไดี�พื่0ดีถุ�ง
การดี��นิดี�นิหาความเป.นิเลุ่�ศทำางการบุร�หาร ซั�#งม'ช�#อเส'ยงโดี�งดี�งไปทำ�#วโลุ่ก แลุ่ะวารสารทำ'#พื่0ดีถุ�ง Total Quality Mangement (TQM) แลุ่ะ “Reinventing Government”
Organizational and Sense MakingEdgar H.Schein’s book, Organizational Culture and
Leadership เขามองว�าการศ�กษาแบุบุชาตั้�พื่รรณวรรณา เป.นิการศ�กษาว�ฒนิธิรรมองค การเพื่�#อให�เก�ดีเหตั้�ผู้ลุ่ทำาง
ป5ญญา แลุ่ะว�ทำยาศาสตั้ร แตั้�เขาม'ทำ�ศนิคตั้�ว�าผู้0�ปฏิ�บุ�ตั้�งานิในิการว�จิ�ยเช�งค�ณภาพื่เพื่�#อศ�กษาเก'#ยวก�บุว�ฒนิธิรรมองค การ ควรศ�กษาในิลุ่�กษณะของการอาศ�ยความร�วมม�อ (Cooperation) ดี�วย
Meryl Reis Louis (1980) ไดี�เข'ยนิบุทำความเร�#อง “Surprise and Sense Making What Newcomerss Experince in Entering Unfamilliar Organizational Settings
Organizational and Sense MakingJoan Acker เข'ยนิ “Gendering Organizational
Theory” ไดี�กลุ่�าวถุ�ง ว�ธิ'การทำ'#เราอ�านิอ�ทำธิ�พื่ลุ่ขององค การถุ�งว�ธิ'ทำ'#เราจิะผู้ลุ่�ตั้ โดียผู้�านิเลุ่นิส ของผู้0�ชายในิการมอง
Scott Cook แลุ่ะ Dvora Yanow ใช�กรณ'ของ workshop เลุ่9ก ๆ 3 แห�ง เขาไดี�ส�ารวจิถุ�งความส�มพื่�นิธิ ระหว�างว�ฒนิธิรรมองค การ แลุ่ะการเร'ยนิร0 �องค การ
Organizational Culture Reform Movements
This movement has two features:
(1) their origins in the realization that U.S. companies had lost their competitiveness in the last three decades of the twentieth century
(2) Their commitment to increasing organizational effectiveness, competitiveness,
flexibility, and responsiveness by changing organizational cultures
Organizational Culture Reform Movements Origin of this movement: concept of Q.C. by Dr.W.Edward Deming Reform Movement concentrated : 1. empowerment 2. policy, procedures, and layers of the
hierarchy are eliminated. 3. Accoutability to bosses is replaced by
accountability to customers or clients.
Organizational Culture Reform MovementsTQM : Deming’s now-famous fourteen points of
management represent its essence. (see 427-8)
Japanese mangement: Theory Z by William Ouchi
In search for excellent:
the concept by Tom Peters and Bob Waterman, there are 8 attributes of management Excellent :
1. A bias for action
2. Close to the customer
Organizational Culture Reform Movements
3. autonomy and entrepreneurship
4. productivity through people
5. hands-on, value driven
6. stick to the knitting
7. simple form, lean staff; and
8. simulteneous loose-tight properties
Organizational Culture Reform Movements
Learning organization by Peter Senge
1. Personal Mastery
2. Mental Model
3. Shared Vision
4. Team Learning
5. System thinking
Organizational Culture Reform MovementsReinventing government by David OsborneAnd Ted Gaebller , they tell the ten principlesOf reinvention are 1. Catalytic government 2. Community-owned government 3. Competitive government 4. Mission-driven government
Organizational Culture Reform Movements
5. Results-oriented government
6. Custermer-driven government
7. Enterprising government
8. Anticipatory government
9. Decentralized government
l0. Market-oriented government
Organizational Culture Reform Movements
Reengineering by Michael Hammer and James champy from the book, Reengineering the corporation (1993)
Postmodern and the Information Age
This age is the new era, on the boundary between
order and chaos. It refers to a pervasive
condition of unpredictability and complexity.- The chaos and uncertainty of this approaching
postmodern era has been accompanied—and
accelerated-by rapidly advancing information
technology.
Postmodern and the Information Age
Although “automating” represented an
Information technology revolution in the l960’s- Postmodern organizations, the mental ability
of humans in organizations to make sense when confronted by pervasive complexity and
the role of humans and organizations in society.
Postmodern and the Information Age
William Berquist’s (l993) selection reprinted here, “Postmodern Thought in a Nutshell:
Where Art and Science Come Together.”
“in many ways ,postmodernism is a fad-
and at the same time about fads. Berquist
identifies and explicates four themes of post
modernism.
Postmodern and the Information Age
1. Objectivism versus constuctivism
Objectivism is predeminated in the modern
era – is rational, It assumes that there is an
objective reality that can be discovered.
Constructivism is a postmodern phenomenon
believe that we construct our own social
realities.
Postmodern and the Information Age
2. Language is it self reality
3. Globalization and segmentalism.
4. Fragmented and inconsistent image.
Postmodern and the Information Age
Organizations must “stay on top of new
technology” and work continuously to learn
how to use it imaginatively.
Janet Fulk and Gerardine chapter “Articuation of
Communication Technology and Organizational
Form” They utilize three perspectives in their
analysis:
นิ'#ค�อหนิ�าค�ดีลุ่อก ของ http://www.udonshop.com/~senate/ ทำ'# G o o g l e ไดี�สร�างเอาไว� เม�#อ 10 พื่.ค. 2007 08:58:20 GMT.หนิ�าเว9บุทำ'# G o o g l e ไดี�เก9บุไว� เม�#อม'การเข�าไปเก9บุข�อม0ลุ่จิากเว9บุนิ��นิหนิ�านิ'�อาจิเปลุ่'#ยนิแปลุ่งไปแลุ่�ว คลุ่�กทำ'#นิ'#ส�าหร�บุ หนิ�าป5จิจิ�บุ�นิ โดียทำ'#ไม�ม'การเนิ�นิส'หนิ�าทำ'#จิ�ดีเก9บุไว�นิ'�อาจิอ�างถุ�งร0ปภาพื่ทำ'#ไม�ม'อย0�อ'กตั้�อไป คลุ่�กทำ'#นิ'#เพื่�#อดี0เฉพื่าะ ข�อความทำ'#เก9บุไว�ถุ�าตั้�องการลุ่�งค มาหา หร�อบุ�@กมาร กหนิ�านิ'�, โปรดีใช� url ดี�งตั้�อไปนิ'�: http://www.google.com/search?q=cache:_ew4eo7kIcUJ:www.udonshop.com/~senate/+%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3&hl=th&ct=clnk&cd=8&gl=th
Google ไม�ม'ส�วนิเก'#ยวข�องก�บุผู้0�ทำ'#สร�างเว9บุนิ'� แลุ่ะไม�ม'ส�วนิร�บุผู้�ดีชอบุก�บุเนิ��อหาภายในิเว9บุผู้ลุ่การค�นิหาถุ0กเนิ�นิดี�วยส': สัภา ค์ณาจารย แลุ่ะ ข�าราชิการ LinksHomeContact UsNews สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ ม.ราชภ�ฏิอ�ดีรธิานิ' Main Menu หนิ�าแรกปร�ชญา ว�ส�ยทำ�ศนิ สภาคณาจิารย มหาว�ทำยาลุ่�ยราชภ�ฏิอ�ดีรธิานิ'คณะกรรมการสภาข�อบุ�งค�บุก�จิกรรมภารก�จิหลุ่�กคณะอนิ�กรรมการกระดีานิสนิทำนิาดี0งานิภาคเหนิ�อแบุบุส�ารวจิเว9บุไซัตั้ ทำ'#เก'#ยวข�องค�นิหาข�อม0ลุ่คณะกรรมการสภาคณาจิารย ลุ่งทำะเบุ'ยนิแผู้นิกลุ่ย�ทำธิ สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการกระดีานิสนิทำนิาUser Menu MamboServerMamboForgeAdministratorVisitors Counter 7702 VisitorsNewsflash เป็Cดผู้ลุ่สั�ารวจภาระงาน อาจารยชิ�3ไม�เห้>นด�วยก-บแบบป็ระเม�น อาจารยร�อยลุ่ะ 82.9 ไม�เห้>นด�วยก-บเกณฑ์ป็ระเม�น ร�อยลุ่ะ 73.2 ให้�ม�การป็ระชิาพิ่�จารณเกณฑ์ภาระงานก�อนใชิ� ค์วรให้�อาจารยเข�ามาม�สั�วนร�วม ด�านผู้ลุ่กระทบพิ่บว�าอาจารยเสั�ยค์วามร*�สั(กมากท��สั%ดถึ(ง ร�อยลุ่ะ 51.2 ผู้ศ.ส�ร�ยา ธิรรมมา ประธิานิสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ เป=ดีเผู้ยว�า “สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการไดี�จิ�ดีทำ�าแบุบุส�ารวจิความค�ดีเห9นิของอาจิารย ทำ'#ม'ตั้�อการประเม�นิภาระงานิอาจิารย ภาคเร'ยนิทำ'# 2 ปAการศ�กษา 2548 ระหว�างว�นิทำ'# 20 – 30 เมษายนิ 2549 โดียเก9บุข�อม0ลุ่จิากคณาจิารย ทำ��ง 5 คณะ โดียม'ผู้0�ตั้อบุแบุบุสอบุถุามค�นิกลุ่�บุมา จิ�านิวนิ 82 ช�ดี ส�าหร�บุผู้ลุ่การส�ารวจิพื่บุว�า อาจิารย ส�วนิใหญ�ไม�เห9นิดี�วยก�บุเกณฑ์ การประเม�นิ กลุ่�าวค�อ อาจิารย ร�อยลุ่ะ 82.9 ไม�เห9นิดี�วยก�บุเกณฑ์ การแบุ�งงานิสอนิ 60 เปอร เซั9นิตั้ งานิว�จิ�ย 20 เปอร เซั9นิตั้ แลุ่ะงานิบุร�การว�ชาการ 20 เปอร เซั9นิตั้ อาจิารย เห9นิดี�วยเพื่'ยงร�อยลุ่ะ 13.4 ขณะทำ'#ไม�ม'ความค�ดีเห9นิร�อยลุ่ะ 3.7” ส�าหร�บุดี�านิผู้ลุ่กระทำบุทำ'#เก�ดีข��นิก�บุอาจิารย ในิคร��งนิ'� พื่บุว�า อาจิารย ส�วนิใหญ�เส'ยความร0 �ส�กทำ'#ตั้� �งใจิปฏิ�บุ�ตั้�งานิแลุ่�วไม�ผู้�านิประเม�นิมากทำ'#ส�ดี ค�ดีเป.นิร�อยลุ่ะ 51.2 ไม�ม'ผู้ลุ่กระทำบุ จิ�านิวนิร�อยลุ่ะ 32.9 เลุ่�อกทำ�างานิเฉพื่าะงานิทำ'#ม'ภาระงานิเทำ�านิ��นิ ร�อยลุ่ะ 24.4 ตั้�องปร�บุปร�งตั้�วเอง ร�อยลุ่ะ 18.3 ความค�ดีเห9นิอ�#นิ ๆ ร�อยลุ่ะ 12.2 ว�ตั้กก�งกลุ่กลุ่�วเง�นิเดี�อนิไม�ข��นิ ร�อยลุ่ะ 8.5 แลุ่ะค�ดีมากนิอนิไม�หลุ่�บุ ร�อยลุ่ะ 1.2 ตั้ามลุ่�าดี�บุ อาจิารย ม'ความเห9นิให�ม'การจิ�ดีประชาพื่�จิารณ เกณฑ์ การประเม�นิมากทำ'#ส�ดี โดียม'ผู้0�ตั้อบุแบุบุสอบุถุาม ค�ดีเป.นิร�อยลุ่ะ 73.2 รองลุ่งมาค�อควรม'การประเม�นิผู้ลุ่ ร�อยลุ่ะ 56.0 ดี�านิความค�ดีเห9นิในิทำางตั้รงข�าม พื่บุว�า อาจิารย ยอมร�บุเกณฑ์ การประเม�นิ ค�ดีเป.นิร�อยลุ่ะ 4.9 ในิขณะทำ'#ไม�เห9นิดี�วย ค�ดีเป.นิร�อยลุ่ะ 95.1 ส�าหร�บุในิการประเม�นิคร��งตั้�อไป อาจิารย เห9นิว�าควรให�อาจิารย เข�ามาม'ส�วนิร�วมในิการพื่�ฒนิาเกณฑ์ การประเม�นิภาระงานิ ค�ดีเป.นิร�อยลุ่ะ 50.0 รองลุ่งมาค�อควรม'การปร�บุปร�งเกณฑ์ ใหม� ร�อยลุ่ะ 30.5 ควรนิ�าเกณฑ์ มาทำ�าประชาพื่�จิารณ ก�อนิ ค�ดีเป.นิร�อยลุ่ะ 14.6 ในิขณะทำ'#เห9นิดี�วยก�บุเกณฑ์ เดี�ม ร�อยลุ่ะ 2.4 อ�#นิ ๆ ร�อยลุ่ะ 2.4 ตั้ามลุ่�าดี�บุ “จิากผู้ลุ่การประเม�นิในิคร��งนิ'�สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการจิ�งไดี�จิ�ดีประช�มเช�งปฏิ�บุ�ตั้�การเร�#อง “การพื่�ฒนิาเกณฑ์ ภาระงานิอาจิารย ข��นิ เม�#อว�นิทำ'# 27 พื่ฤษภาคม 2549 ณ ฟอราฮิ�ลุ่ดี ร'สอร ทำ อ.เม�อง จิ.เลุ่ย โดียไดี�ร�บุความร�วมม�อจิากตั้�วแทำนิคณะ ๆ ลุ่ะ 2 คนิ แลุ่ะคณะกรรมการสภาฯ จิ�านิวนิ 16 คนิ รวม 26 คนิ เข�าร�วมร�างเกณฑ์ การประเม�นิภาระงานิใหม�ข��นิ ซั�#งขณะนิ'�ก�าลุ่�งสร�ปผู้ลุ่ คาดีว�าจิะนิ�าร�างเกณฑ์ การประเม�นิเข�าประช�มอาจิารย เพื่�#อจิ�ดีทำ�าประชาพื่�จิารณ อ'กคร��ง ตั้ามทำ'#อาจิารย ตั้�องการตั้ามผู้ลุ่ส�ารวจิค�อตั้�องม'การประชาพื่�จิารณ เกณฑ์ ก�อนิใช�ประเม�นิ ส�าหร�บุ ว�นิ เวลุ่า แลุ่ะสถุานิทำ'#จิะแจิ�งให�คณาจิารย ทำราบุอ'กคร��ง” หนิ�าแรกสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการดี0งานิภาคเหนิ�อ User Rating: / 1 เข'ยนิโดีย Administrator Sunday, 12 June 2005 สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการฟัCติจ-ด ศ(กษาด*งานมห้าว�ทยาลุ่-ยภาค์เห้น&อพิ่ร�อมจ-ดท�าแผู้นย%ทธิศาสัติร 2 ป็G ค์ณะกรรมการแข>งข-นร�วมจ-ดติ-3งอน%กรรมการ 6 ฝBายสัร�างสัรรค์ผู้ลุ่งานเพิ่&�ออาจารยแลุ่ะข�าราชิการ ม.ราชิภ-ฏิอ%ดรธิาน� ระห้ว�างว-นท�� 7 – 10 ม�ถึ%นายน 2548
ผู้ศ.ส�ร�ยา ธิรรมมา ประธิานิสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ มหาว�ทำยาลุ่�ยราชภ�ฏิอ�ดีรธิานิ' เป=ดีเผู้ยว�า “ตั้ามทำ'#สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการไดี�เดี�นิทำางไปศ�กษาดี0งานิสภาคณาจิารย มหาว�ทำยาลุ่�ยนิเรศวร มหาว�ทำยาลุ่�ยแม�โจิ� แลุ่ะมหาว�ทำยาลุ่�ยเช'ยงใหม� ในิระหว�างว�นิทำ'# 7 – 10 ม�ถุ�นิายนิ 2548 แลุ่ะไดี�ร�วมก�นิร�างแผู้นิย�ทำธิศาสตั้ร สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ แลุ่ะร�วมก�นิจิ�ดีตั้��งคณะอนิ�กรรมการ 6 ฝ่Gาย เพื่�#อให�การปฏิ�บุ�ตั้�งานิเป.นิไปตั้ามเจิตั้นิารมณ ของพื่รบุ.มหาว�ทำยาลุ่�ยราชภ�ฏิอ�ดีรธิานิ' ซั�#งม'คณะอนิ�กรรมการประกอบุดี�วย 6 ฝ่Gายไดี�แก� คณะอนิ�กรรมการฝ่Gายว�ชาการ คณะ อนิ�กรรมการฝ่Gายส�งเสร�มพื่�ฒนิางานิบุร�หารมหาว�ทำยาลุ่�ย คณะอนิ�กรรมการฝ่Gายส�งเสร�มค�ณธิรรม ภาพื่ลุ่�กษณ แลุ่ะสว�สดี�การของคณาจิารย แลุ่ะข�าราชการ คณะอนิ�กรรมการฝ่Gายส�งเสร�ม แลุ่ะพื่�ฒนิางานิก�จิการนิ�กศ�กษา คณะ อนิ�กรรมการฝ่Gายสารสนิเทำศแลุ่ะประชาส�มพื่�นิธิ แลุ่ะคณะ อนิ�กรรมการฝ่Gายพื่�ฒนิาสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ ซั�#งหากแผู้นิย�ทำธิศาสตั้ร เสร9จิส��นิ ก9จิะนิ�ามาจิ�ดีทำ�าประชาพื่�จิารณ ให�คณาจิารย แลุ่ะข�าราชการทำ�กทำ�านิไดี�ร�วมแสดีงความค�ดีเห9นิตั้�อไป”
ส�าหร�บุคณะอนิ�กรรมการทำ��ง 6 ฝ่Gายนิ'�ก�าลุ่�งอย0�ในิระหว�างการจิ�ดีหาคณะอนิ�กรรมการ อาจิารย แลุ่ะข�าราชการทำ�านิใดีประสงค จิะเข�าร�วมงานิก�บุสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ กร�ณาสม�ครไดี�ทำ'#ส�านิ�กงานิสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ อาคารโรงอาหารใหม� ตั้��งแตั้�บุ�ดีนิ'�เป.นิตั้�นิไป.
แก�ไขลุ่�าส�ดีเม�#อ ( Thursday, 30 June 2005 ) สภาคณาจิารย จิ�ดีประช�มเคร'ยดี ยกเคร�#องภาระงานิอาจิารย User Rating: / 0 เข'ยนิโดีย Administrator Sunday, 28 May 2006 สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการจ-ดป็ระชิ%มเข�ม ร&3อภาระงานอาจารย ภาค์เร�ยนท�� 2 ป็Gการศ(กษา 2548
ด(งอาจารยท%กค์ณะเข�าร�วม พิ่ร�อมป็ร-บเกณฑ์ให้ม�เน�นค์วามร-บผู้�ดชิอบ ท%กงานท��ป็ฏิ�บ-ติ�ติ�องได�ภาระงาน
ผู้ศ.ส�ร�ยา ธิรรมมา ประธิานิสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ มหาว�ทำยาลุ่�ยราชภ�ฏิอ�ดีรธิานิ' เป=ดีเผู้ยว�า สัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการไดี�จิ�ดีประช�มเช�งปฏิ�บุ�ตั้�การ ข��นิ ณ ห�องประช�มฟอร ราว�วร'สอร ทำ จิ.เลุ่ย เม�#อว�นิทำ'# 26 พื่ฤษภาคม 2549 โดียม'คณะกรรมการสัภาค์ณาจารยแลุ่ะข�าราชิการ จิ�านิวนิ 16 คนิเข�าร�วม แลุ่ะไดี�เช�ญตั้�วแทำนิคณะทำ��ง 5 คณะ คณะลุ่ะ 2 คนิ เข�าร�วมประช�มในิคร��งนิ'�ดี�วย
ส�าหร�บุการประช�มในิคร��งนิ'�ไดี�นิ�าเร�#องเร�งดี�วนิแลุ่ะม'ผู้ลุ่ตั้�อคณาจิารย มากค�อเกณฑ์ ประเม�นิภาระงานิอาจิารย ในิภาคเร'ยนิทำ'# 2 ปAการศ�กษา 2548 ซั�#งม'ผู้ลุ่กระทำบุตั้�ออาจิารย เป.นิจิ�านิวนิมาก ส�าหร�บุในิทำ'#ประช�มไดี�มอบุหมายให� ผู้ศ.ว'ระพื่�นิธิ แสงศ�ร�ไพื่ศาลุ่ ร�บุหนิ�าทำ'#เป.นิประธิานิทำ'#ประช�ม แลุ่ะไดี�แบุ�งกลุ่��มภาระงานิออกเป.นิ 7 กลุ่��ม เพื่�#อทำ'#จิะไดี�นิ�ามาเสนิอเกณฑ์ ตั้�อทำ'#ประช�ม ซั�#งประกอบุดี�วย กลุ่��มงานิว�จิ�ย กลุ่��มงานิว�ชาการ กลุ่��มการเร'ยนิการสอนิ กลุ่��มบุร�การว�ชาการ กลุ่�มบุร�หาร กลุ่��มก�จิการนิ�กศ�กษา แลุ่ะกลุ่�มงานิพื่�เศษ ส�าหร�บุบุรรยากาศทำ'#ประช�มเป.นิไปดี�วยความตั้ร�งเคร'ยดี ม'การแลุ่กเปลุ่'#ยนิความค�ดีเห9นิในิการก�าหนิดีภาระงานิ แลุ่ะคาดีว�าการประช�มในิคร��งนิ'�จิะไดี�ตั้�นิแบุบุภาระงานิ แลุ่ะจิะนิ�าเข�าส0�การประชาพื่�จิารณ ของอาจิารย ทำ��งมหาว�ทำยาลุ่�ยอ'กคร��ง ก�อนิจิ�ดีส�งตั้�อฝ่Gายบุร�หารตั้�อไป.
สามารถุดี0ภาพื่ไดี�ทำ'#
Postmodern and the Information Age
1. The technological perspective
2. The organizational perspective
3. The emergence perspective
สร�ป ทำฤษฎี'องค การ ว�ว-ฒนาการของแนวค์�ดทฤษฎี�องค์การ 1. Classical Organization Theory 2. Neoclassical Organization Theory 3. Human Resource Theory or Organizational Behavior
Perspective 4. Modern Structural Organization Theory 5. System Theory and Organizational Economics 6. Power and Politics Orgnaization Theory 7. Organizational Culture and Sense Making 8. Organizational Culture Reform Movement 9. Postmodernism and the Information Age
สร�ป ทำฤษฎี'องค การความหมายขององค การ ก. ความหมายในิแง�เป.นิส�งคม หร�อความสามารถุในิการ รวมเป.นิกลุ่��มก�อนิ (Social unit or collectivity) ข. ความหมายในิแง�ของทำร�พื่ย ส�นิองค การ (organzitional properties) ทำ��งโครงสร�างแลุ่ะกระบุวนิการภายในิหนิ�วย ส�งคม หร�อความสามารถุรวมเป.นิกลุ่��มก�อนิถุ0กจิ�ดีรวบุ
รวบุในิ ว�ถุ'ทำางเฉพื่าะ ไดี�แก�ร0ปแบุบุการจิ�ดีการ, ความส�มพื่�นิธิ ในิ
อ�านิาจิ หนิ�าทำ'#, จิ�านิวนิผู้0�บุ�งค�บุบุ�ญชาตั้�อลุ่0กนิ�อง 1 คนิ
สร�ป ทำฤษฎี'องค การสาระส�าค�ญของทำฤษฎี'องค การ เป.นิความส�มพื่�นิธิ ระหว�างโครงสร�าง แลุ่ะกระบุวนิการขององค การ หร�อบุร�บุทำแลุ่ะส�#งแวดีลุ่�อมอ�#นิ ๆลุ่�กษณะขององค การ ก. ทำ�ศนิคตั้�ทำางดี�านิจิ�ตั้ใจิ ข. พื่ฤตั้�กรรมของแตั้�ลุ่ะบุ�คคลุ่ทำ'#จิ�ดีการก�บุว�ตั้ถุ�ทำ'#เป.นิกายภาพื่ ค. กลุ่��ม, ทำ'ม แลุ่ะการรวมกลุ่��มแบุบุเผู้ช�ญหนิ�า เช�นิกลุ่��มเพื่�#อนิ ง. การจิ�ดีหนิ�วยงานิเป.นิฝ่Gาย, แผู้นิก, บุร�ษ�ทำหร�อส�#งทำ'#ใหญ�กว�า
สร�ป ทำฤษฎี'องค การจิ. เคร�อข�ายของส�วนิตั้�าง ๆขององค การฉ. บุร�บุทำ แลุ่ะส�#งแวดีลุ่�อมขององค การ, ว�ว�ฒนิาการ
ทำางดี�านิเทำคโนิโลุ่ย'# ตั้ลุ่าดี, ค0�แข�งข�นิ, กฎีข�อบุ�งค�บุร�ฐบุาลุ่ป็ระเภทของทฤษฎี� ก. ทฤษฎี�ท��พิ่รรณนาพิ่&3นฐานท��เป็"นสัาระสั�าค์-ญ (the
substantive foundation of explaination) ข. ทฤษฎี�ท��เก��ยวข�องก-บค์วามเป็"นสัถึาบ-น
(Institutional Theories)
สร�ป ทำฤษฎี'องค การ 3. ทฤษฎี�ท��เก��ยวข�องก-บว-ฒนธิรรม ไดี�แก� ค�านิ�ยม, ความชอบุ, ส�ญญาลุ่�กขณ ทำ'#
แสดีงความหมาย, แลุ่ะโปรแกรมทำางจิ�ตั้ใจิค�ณสมบุ�ตั้�ขององค การ ก. กลุ่��มส�งคม (social entity) ข. ขอบุเขตั้ช�ดีเจินิ (relatively idetifiable boundary) ค. ว�ตั้ถุ�ประสงค ช�ดีเจินิ (Specificity of perposes) ง. การจิ�ดีแบุ�งอ�านิาจิหนิ�าทำ'# (Hirarchy of authority) จิ. กฎีระเบุ'ยบุ การดี�าเนิ�นิงานิ การควบุค�มแลุ่ะเทำคนิ�ค (Rules, procedures, controls, and technicques) ฉ. การส�#อสารอย�างเป.นิทำางการ (Formality of communication)
สร�ป ทำฤษฎี'องค การความแตั้กตั้�างแนิวค�ดีทำฤษฎี'องค การแบุบุระบบป็Cด
(closed system)
แลุ่ะระบบเป็Cด (open system)
ความแตั้กตั้�างทำฤษฎี'องค การแบบกลุ่ไก (mechanic
organization) ก�บุทำฤษฎี'องค การแบบอ�นทร�ยะ (organic
organization)
สร�ป ทำฤษฎี'องค การโครงสร�างองค การ ม'หลุ่�กการออกแบุบุโครงสร�าง
องค การไดี�แก�ก. การแบุ�งงานิก�นิทำ�า (division of labor)
ข. การแบุ�งหนิ�วยงานิ (departmentalization)
ค. ช�วงของการควบุค�ม (span of control)
ง. การมอบุหมายอ�านิาจิหนิ�าทำ'# (delegation of authority)
สร�ป ทำฤษฎี'องค การม�ตั้�ของโครงสร�าง ก. ความแตั้กตั้�าง (Differentiation) a) vertical differentiation b) horizontal differentation ข. การรวมเป.นิหนิ�#งเดี'ยวก�นิ (Integration) a) การรวมอ�านิาจิ (Centralization) b) ความเป.นิทำางการ (Formalization) c) การปร�บุตั้�วเข�าหาก�นิ (Mutual adjustment) d) ความเป.นิมาตั้รฐานิ (Standardization)
สร�ป ทำฤษฎี'องค การร0ปแบุบุโครงสร�างองค การ ก. โครงสร�างองค การแบุบุราชการ ของ Weber ข. โครงสร�างองค การซั�#งบุร�หารโดียกลุ่��มผู้0�บุร�หารระดี�บุส0ง ค. โครงสร�างแบุบุราชการซั�#งบุร�หารโดียกลุ่��มผู้0�ทำรง
ค�ณว�ฒ�ภายนิอก ง. โครงสร�างแบุบุราชการทำ'#ม'ทำ'มงานิข�ามหนิ�วยงานิ จิ. โครงสร�างแบุบุแมทำทำร�กซั ฉ. โครงสร�างแบุบุทำ'มงานิ ช. โครงสร�างแบุบุเคร�อข�าย
สร�ป ทำฤษฎี'องค การ