การจัดการเรียนรู้ - kp.ac.th · บทที่...
Post on 15-Feb-2019
218 Views
Preview:
TRANSCRIPT
การจดัการเรียนรู้ กบั ผลการเรียนรู้การจดัการเรียนรู้ หมายถึงการด าเนินการหรือการจดัสภาพการณ์ของการเรียนการสอนตามหลกัการหรือทฤษฎีของผูส้อน เพื่อให้ผูเ้รียนเกิดการเรียนรู้ ตามจดุมุ่งหมายท่ีก าหนด
ผลการเรียนรู้ (learning outcome) หมายถึงส่ิงท่ีผูเ้รียนสามารถท าได้อนัเป็นผลมาจากการเรียนรู้ของผูเ้รียน เป็นการแสดงออกถึงการเรียนรู้ของผูเ้รียน ทัง้ความรู้ ทกัษะการคิด ทกัษะการปฏิบติั และคณุลกัษณะอนัพึงประสงค์
การจดัการเรียนรู้ของครยูคุใหม่
• นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตวัเอง• นักเรียนเรียนรู้ผา่นการลงมือปฏิบติั• นักเรียนมีผลการเรียนรู้ (learning outcome) ครบทกุด้าน คือ ความรู้ ทกัษะการคิดและทกัษะการปฏิบติั และคณุลกัษณะอนัพึงประสงค์
• นักเรียนมีความรู้ความสามารถด้าน Literacy, Numeracy และ Reasoning ability
พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
การจดัการเรียนรู้ของครยูคุใหม่•ครจูดัการเรียนรู้ให้เป็นไปตาม•หลกัสตูรแกนกลางการศึกษาขัน้พืน้ฐาน พ.ศ. 2551• แนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21• แนวทางปรชัญาของเศรษฐกิจพอเพียง•อาเซียนศึกษา
•ครใูช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
21st Century Skills Framework
6
Core Subjects• ภาษาประจ าชาติ / การอ่าน• ภาษาของโลก - ภาษาองักฤษ• ศิลปะ• ภมิูศาสตร ์• ประวติัศาสตร์• คณิตศาสตร์• วิทยาศาสตร์• การปกครอง / การเป็นพลเมือง
21st Century Themes
• ความตระหนักส านึกระดบัโลกการเงิน เศรษฐกิจ ธรุกิจ และการรู้เรื่องการเป็นผูป้ระกอบการ
• การรู้เรื่องความเป็นพลเมือง
• การรู้เรื่องสขุภาพ
OECD (2008)
21st Century Skills Framework
7
Learning & Innovation Skills
▪ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหา
▪ การสร้างสรรค ์และนวตักรรม
▪ การส่ือสาร และการร่วมมือ
Information, Media & Technology Skills
การรู้เรื่องสารสนเทศ
การรู้เรื่องส่ือ
การรู้เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
OECD (2008)
21st Century Skills Framework
8
Life & Career Skills
ความยืดหยุ่นและการปรบัตวั ความคิดริเร่ิมและการน าตนเอง
ทกัษะทางสงัคมและข้ามวฒันธรรม
ผลิตภาพ และความรบัผิดชอบในหน้าท่ี
ความเป็นผูน้ า และความรบัผิดชอบ
OECD (2008)
จดุมุ่งหมายของการจดัการเรียนรู้▪ผูเ้รียนรู้อะไร
▪ผูเ้รียนรู้สึกอย่างไร
▪ผูเ้รียนท าอะไรได้
Cognitive
PsychomotorAffective
Cognitive Domainให้ค าจ ากดัความ (define)
จ าลอง (duplicate)
จดัท ารายการ (list)
ท่องจ า (memorize)
ระลึก (recall)
พดูซ า้ (repeat)
ท าซ า้ (reproduce)
บอก (state)
ความรูค้วามจ า
เป็นความสามารถในการเกบ็รกัษาประสบการณ์ต่างๆ ท่ีได้รบัรู ้และสามารถระลึก
ส่ิงนัน้ได้เม่ือต้องการ
ตวัอย่างค ากริยาท่ีใช้
Cognitive Domainจดัหมวดหมู่ (classify)
บรรยาย (describe)
อภิปราย (discuss)
อธิบาย (explain)
ระบุช่ือ (identify)
ค้นหา (locate)
จ าได้ (recognize)
รายงาน (report)
คดัเลือก (select)
แปลความ (translate)
ถอดความ(paraphrase)
ความเข้าใจ
เป็นความสามารถในการจบัใจความส าคญัของสาระได้ โดยแสดงออกมาในรปูการแปลความ ตีความ หรือขยายความ
ตวัอย่างค ากริยาท่ีใช้
Cognitive Domainเลือก (choose)
สาธิต (demonstrate)
แสดงบทบาท (dramatize)
ค านวณ (compute)
แสดงตวัอย่าง (illustrate)
ด าเนินการ (operate)
ท าก าหนดการ(schedule)
รา่งแบบ (sketch)
หาค าตอบ (solve)
ใช้ (use)
เขียน (write)
การน าไปใช้
เป็นความสามารถของผูเ้รียนในการน าความรูไ้ปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ โดยอาศยัความรู้ความจ า และความเข้าใจ
ตวัอย่างค ากริยาท่ีใช้
Cognitive Domainประเมินค่า/ตีราคา (appraise)เปรียบเทียบ (compare)เทียบความแตกต่าง (contrast)วิพากษ์ (criticize)บอกความแตกต่าง (differentiate)แบง่แยก (discriminate)แสดงให้เหน็ความแตกต่าง (distinguish)ตรวจสอบ (examine)ทดลอง (experiment)
การวิเคราะห ์
เป็นความสามารถของผูเ้รียนในการคิด แยกแยะเรือ่งราวส่ิงต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยหรอืองคป์ระกอบท่ีส าคญัได้ และมองเหน็ความสมัพนัธข์องส่วนท่ีเก่ียวข้องกนั
ตวัอย่างค ากริยาท่ีใช้
Cognitive Domainประเมินคณุค่า (appraise)
โต้แย้ง (argue)
แก้ต่าง (defend)
พิจารณาตดัสิน (judge)
เลือก (select)
สนับสนุน (support)
ให้คณุค่า (value)
ประเมิน (evaluation)
การประเมินค่า
เป็นความสามารถของผูเ้รียนในการตดัสินคณุค่าของส่ิงต่างๆ ทัง้เน้ือหาและวิธีการท่ีเกิดขึน้ อาจจะก าหนดขึน้เองจากความรู้ประสบการณ์
ตวัอย่างค ากริยาท่ีใช้
Cognitive Domainประกอบ/รวบรวม (assemble)
สรา้ง (construct)
สรา้งสรรค ์(create)
ออกแบบ (design)
พฒันา (develop)
คิดค้น (formulate)
แต่ง/ประพนัธ ์(write)
การสรา้งสรรค์
เป็นความสามารถของผูเ้รียนในการผสมผสานส่วนย่อยๆ เข้าด้วยกนั ให้เป็นรปูแบบหรือโครงสร้างใหม่ การสรา้งผลิตภณัฑ์หรอืความคิดเหน็มมุมองใหม่ๆ
ตวัอย่างค ากริยาท่ีใช้
Affective Domain 1. การรบัรูห้รือการยอมรบั (receiving)
เป็นการแปลความหมายความรูสึ้กท่ีเกิดจากส่ิงเรา้ หรอืปรากฏการณ์
2. การตอบสนอง (responding)
เป็นการแสดงออกมาในรปูของความเตม็ใจ ยินยอม และพอใจต่อส่ิงเรา้
3. การเกิดค่านิยม (valuing)
เป็นการเลือกปฏิบติัในส่ิงท่ีสงัคมยอมรบั หรอืปฏิบติัตามในเรือ่งใดเรือ่งหน่ึง จนกลายเป็นความเช่ือและเกิดทศันคติท่ีดีในส่ิงนัน้
Affective Domain4. การจดัระเบียบค่านิยม (organizing)
เป็นการรวบรวมค่านิยมใหม่ท่ีเกิดขึน้ จากแนวคิดและการจดัระบบค่านิยมท่ีจะยึดถือต่อไป หากไม่สามารถยอมรบัค่านิยมใหม่ กจ็ะยึดถือค่านิยมเก่าต่อไปแต่ถ้ายอมรบัค่านิยมใหม่กจ็ะยกเลิกค่านิยมเก่าท่ียึดถือ
5. การสรา้งลกัษณะนิสยัตามค่านิยมท่ียึดถือ (characterization by value)
เป็นการน าค่านิยมท่ียึดถือมาใช้เป็นตวัควบคมุพฤติกรรม ท่ีเป็นนิสยัประจ าตวัของตน ให้ประพฤติปฏิบติัแต่ส่ิงท่ีถกูต้องดีงาม
Psychomotor Domain1. การเลียนแบบ (imitation)
เป็นพฤติกรรมท่ีผูเ้รียนรบัรู้หลกัการปฏิบติัท่ีถกูต้อง หรือ เป็นการเลือกหาตวัแบบท่ีสนใจ
2. กระท าตามแบบ (manipulation)
เป็นพฤติกรรมท่ีผูเ้รียนพยายามฝึกตามแบบท่ีตนสนใจและพยายามท าซ า้ เพ่ือให้เกิดทกัษะตามแบบท่ีตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏิบติังานได้ตามข้อแนะน า
3. ความถกูต้องตามแบบ (precision)
เป็นพฤติกรรมท่ีผูเ้รียนสามารถปฏิบติังานได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องช้ีแนะ พยายามหาความถกูต้องในการปฏิบติัและพฒันาเป็นรปูแบบของตวัเอง
Psychomotor Domain4. การกระท าท่ีมีความต่อเน่ืองประสานกนั(Articulation)
เป็นพฤติกรรมท่ีผูเ้รียนปฏิบติัตามรปูแบบท่ีได้ตดัสินใจเลือกเป็นของตวัเองและจะปฏิบติัตามรปูแบบนัน้อย่างต่อเน่ืองและสม า่เสมอ จนสามารถปฏิบติังานได้อย่างรวดเรว็ ถกูต้อง และคล่องแคล่ว
5. การท าจนธรรมชาติ (Naturalization)
เป็นพฤติกรรมท่ีผูเ้รียนสามารถปฏิบติัส่ิงนัน้ๆ ได้คล่องแคล่วว่องไว โดยอตัโนมติั ดูเป็นไปอย่างธรรมชาติไม่ขดัเขิน
กระบวนการออกแบบการเรียนการสอน• มุ่งไปท่ี ‘การเรียนรูท่ี้ได้รบัการวางแผนหรอืออกแบบมาล่วงหน้า’ (Intentional Learning)
• เก่ียวข้องกบับคุคลท่ีหลากหลาย เช่น ผูเ้ช่ียวชาญด้านการออกแบบการเรียนการสอน ผูเ้ช่ียวชาญในสาระความรูข้องวิชานัน้ๆ นักประเมินผล ฯลฯ
• ด าเนินการได้ในหลายระดบั เช่น ระดบับทเรียน ระดบัหน่วยการเรียนรายวิชา หรอืตลอดหลกัสตูร
• มีล าดบัขัน้ตอน และประกอบด้วยกิจกรรมย่อยในแต่ละขัน้ตอน
• ค านึงถึงธรรมชาติของสถานการณ์การเรียนรูว่้าสามารถเกิดขึน้ได้ทัง้ภายใน และภายนอกบคุคล
ADDIE Model• วิเคราะห:์ ท าความเข้าใจในเป้าหมาย+ความต้องการของหลกัสตูร บริบทของสถานศึกษา และบริบทในการจดัการศึกษาของชาติ
• ออกแบบ: ก าหนดเป้าหมาย/ผลการเรียนรูท่ี้คาดหวงั ก าหนดหวัข้อการเรียนรู ้บทเรียน หรอืหน่วยการเรียนรู ้จดัล าดบัก่อน/หลงั ก าหนดแนวทางการจดัการเรียนรูข้องแต่ละหน่วย/แผน และก าหนดแนวทางการประเมินผล
ADDIE Model• พฒันา: ก าหนดรายละเอียดเก่ียวกบักิจกรรมการเรียนรู ้แนวทางการจดัการ ชัน้เรียน การประเมินผล ตลอดจนเลือก/ระบุส่ือการเรียนการสอนท่ีจะน ามาใช้
• น าไปใช้: น ารอ่งทดลองใช้ และน าไปใช้ในบริบทจริง
• ประเมินผล: ประเมินผลในทุกขัน้ตอน และเสนอแนวทางในการปรบัปรงุให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึน้
ขัน้ตอนการออกแบบการเรียนการสอน
1. การก าหนดเน้ือหาสาระและมโนทศัน์และการก าหนดวตัถปุระสงค์o การวิเคราะหส์าระ มาตรฐาน และตวับง่ช้ีo การวิเคราะหม์โนทศัน์ • มโนทศัน์หลกั• มโนทศัน์ย่อย• การเช่ือมโยงมโนทศัน์
o การวิเคราะหท์กัษะและกระบวนการ
ขัน้ตอนการออกแบบการเรียนการสอน
1. การก าหนดเน้ือหาสาระและมโนทศัน์และการก าหนดวตัถปุระสงค์o การวิเคราะหค์ณุลกัษณะอนัพึงประสงค์o การก าหนดวตัถปุระสงคใ์ห้ครอบคลมุ 3 ด้าน คือ• ด้านความรู้ • ด้านทกัษะและกระบวนการ • ด้านคณุลกัษณะ
สาระการเรียนรู้
ความรู้ ทกัษะกระบวนการ คณุลกัษณะ
มาตรฐาน ตวัช้ีวดัแก้ปัญหา 1 , 2
ให้เหตผุล3
ส่ือสาร 4 เช่ือมโยง 5
คิดสร้างสรรค ์6
ซ่ือสตัย์ มีวินัย ………. ............
บทท่ี 1 พื้นท่ีผิวและปริมาตร
1. รปูเรขาคณิต 3 มิติ ค 3.1 ม. 3/1 ● ○ ○ ○ ● ○
2. ปริมาตรของปริซึม ค 2.1 ค 2.2
ม. 3/2ม. 3/1 ● ○ ○ ● ○ ● ●
3. ปริมาตรของทรงกระบอก ค 2.1 ค 2.2
ม. 3/2ม. 3/1 ● ● ○ ○ ○ ● ●
4. ปริมาตรของพีระมิด ค 2.1 ค 2.2
ม. 3/2ม. 3/1 ● ● ○ ○ ○ ● ○
5. ปริมาตรของกรวย ค 2.1 ค 2.2
ม. 3/2ม. 3/1 ● ● ○ ○ ○ ● ●
6. ปริมาตรของทรงกลม ค 2.1 ค 2.2
ม. 3/2ม. 3/1 ● ● ○ ○ ○ ● ○
......... ● ● ●
● หมายถึง ส่ิงท่ีเน้น ต้องมีวตัถปุระสงค ์ กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีแสดงว่าส่งเสริมให้เกิดส่ิงท่ีเน้น และมีการวดัและประเมินผล
○ หมายถึง ส่ิงท่ีไม่เน้น แต่คาดว่าน่าจะมีหรือเกิดขึน้ แต่อาจไม่ระบชุดัเจนในวตัถปุระสงค ์ กิจกรรมการเรียนการสอน และการวดัและประเมินผล
ขัน้ตอนการออกแบบการเรียนการสอน
2. การก าหนดการวดัและการประเมินผล การก าหนดวตัถปุระสงคใ์ห้ก าหนดวิธีการ เคร่ืองมือ และเกณฑ ์ภาระงาน ช้ินงานแบง่ออกตามวตัถปุระสงคไ์ด้ 3 ด้าน คือ• การวดัและการประเมินผลด้านความรู้• การวดัและการประเมินผลด้านทกัษะและกระบวนการ• การวดัและการประเมินผลด้านคณุลกัษณะ
ขัน้ตอนการออกแบบการเรียนการสอน
3. การก าหนดแนวทาง / ยทุธศาสตรก์ารเรียนการสอน
4. การก าหนดกิจกรรมการเรียนการสอน
7. การประเมินผลกระบวนการเรียนการสอน
5. การเขียนแผนการจดัการเรียนรู้
6. การน ากระบวนการเรียนการสอนท่ีออกแบบไปใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
36
▪ วิธีการทางวิทยาศาสตร ์(scientific method) เป็นขัน้ตอนท่ีใช้ในการสืบสอบ ท าโครงงาน และท าวิจยั
▪ ทกัษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ์(science process skills) เป็นทกัษะทางปัญญา หรอืทกัษะการคิด เป็นทกัษะการคิดทัง้ระดบัพืน้ฐาน และการคิดระดบัสงู
▪ จิตวิทยาศาสตร ์(scientific mind) เป็นคณุสมบติั หรอืคณุลกัษณะอนัพึงประสงคข์องนักเรียน นักวิทยาศาสตรน้์อย นักวิจยั เช่น มีคณุลกัษะ 8 ประการ ตามหลกัสตูรแกนกลางการศึกษาขัน้พืน้ฐาน พทุธศกัราช 2551 เป็นต้น
พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
วิธีการทางวิทยาศาสตร ์(scientific method)
37
Make an observationAsk a questionForm a hypothesisAnd make a predictionDo a test or experimentationAnalyze data and draw a conclusionScientific Method
ท่ีมา: http://www.havefunteaching.com/
Scientific MethodFirst you make an observation of the world aroundTake notes and record all the things that you foundThen you ask a simple question something that you want to learnThen you form a hypothesis to explain what you observedThen you make a prediction about how it's gonna goDo a test with a control and variableThen you analyze the data and draw a conclusionDo the scientific method to avoid all confusion
5 STEPs
38
Literacy
Numeracy
Reasoning ability
Learning to Question
Learning to Search
Learning to Construct
Learning to Communi-
cation
Learning to Service
From 5 STEPs to 21st Century Skills
39
21st
Century Skills
Literacy
Numeracy
Reasoning ability
5 STEPs
5 STEPs
41
ขัน้ตอนท่ี 1 การเรียนรูต้ัง้ค าถาม หรือขัน้ตัง้ค าถามo นักเรียนฝึกสงัเกตสถานการณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ จนเกิดความสงสยัo นักเรียนฝึกตัง้ค าถามส าคญั รวมทัง้การคาดคะเนค าตอบ ด้วยการ
สืบค้นความรูจ้ากแหล่งต่างๆ และสรปุเป็นค าตอบชัว่คราว
5 STEPs
42
ขัน้ตอนท่ี 2 การเรียนรูแ้สวงหาสารสนเทศ เป็นขัน้ตอนการออกแบบ/วางแผนเพ่ือรวบรวมข้อมลู สารสนเทศ จากแหล่งเรียนรูต่้างๆ รวมทัง้การทดลอง การออกแบบเกบ็ข้อมูล
5 STEPs
43
ขัน้ตอนท่ี 3 การเรียนรูเ้พื่อสรา้งองคค์วามรู ้เป็นขัน้ท่ีนักเรียนมีการวิเคราะหข้์อมลูเชิงปริมาณ และเชิงคณุภาพ การส่ือความหมายข้อมลูด้วยแบบต่างๆ หรอืด้วยผงักราฟิก การแปลผล จนถึงการสรปุผล หรอืการสรา้งค าอธิบาย เป็นการสรา้งองคค์วามรู ้ซ่ึงเป็นแก่นของความรูป้ระเภท (1) ข้อเทจ็จริง (2) ค านิยาม (3) มโนทศัน์ (4) หลกัการ (5) กฎ ตลอดจน (6) ทฤษฏี ได้ด้วยตนเอง
5 STEPs
44
ขัน้ตอนท่ี 4 การเรียนรูเ้พื่อการส่ือสาร คือขัน้น าเสนอความรู้ด้วยการใช้ภาษาท่ีถกูต้อง ชดัเจน และเป็นท่ีเข้าใจ อาจเป็นการน าเสนอด้วยการเขียน และน าเสนอด้วยวาจา
5 STEPs
45
ขัน้ตอนท่ี 5 การเรียนรูเ้พื่อตอบแทนสงัคม เป็นขัน้ตอนของการฝึกนักเรียนให้น าความรูท่ี้เข้าใจ น าการเรียนรูไ้ปใช้ประโยชน์เพ่ือส่วนรวม หรือเหน็ประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยการท างานเป็นกลุ่ม รว่มกนัสรา้งผลงานท่ีได้จากการแก้ปัญหาสงัคมอย่างสรา้งสรรค ์ซ่ึงอาจเป็นความรู ้แนวทาง ส่ิงประดิษฐ ์ซ่ึงอาจเป็นนวตักรรม ด้วยความรบัผิดชอบต่อสงัคม อนัเป็นการแสดงออกของความเกือ้กลู (caring) และแบง่ปัน (sharing) ให้สงัคมมีสนัติและยัง่ยืน
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ 5 STEPs
49
การท างานให้ส าเรจ็ (ชาวนากบัลา)
1. ระบคุ าถาม ปัจจยัอะไรบา้งท่ีท าให้เราท างานไม่ส าเรจ็ตามเป้าหมาย2. ขัน้แสวงหาสารสนเทศ คาดคะเนค าตอบโดยใช้หลกัการให้เหตผุลเชิงอธิบาย ครใูห้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการเล่านิทาน เร่ือง ชาวนากบัลา
2.1 ขัน้ตัง้ค าถาม ท าไมชาวนาและลกูชายจึงแบกลาเดินมา ท าไมลาท่ีแบกมาจึงตกน ้า2.2 คาดคะเนค าตอบ
ลาด้ิน 2 คนแบกไม่ไหวชาวนาและลกูโมโห โยนลงน ้า 1. สรปุอ้างอิงลาตาย จึงโยนท้ิงน ้า 2. ให้เหตผุลเชิงอธิบาย (abductive)........
พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ 5 STEPs
50
การท างานให้ส าเรจ็ (ชาวนากบัลา)
ครเูล่านิทานประกอบภาพ1) ชาวนากบัลกูจงูลาเพ่ือพาไปขาย มีคนมาทกัว่า ท าไมไม่ข่ีลา2) ลกูข่ีลา และชาวนาจงูลา มีคนมาทกัว่า ท าไมชาวนาไม่ให้ลกูจงู3) ชาวนาข่ีลา และลกูจงู มีคนมาทกัว่าอากาศร้อยจะตายไป ท าไมไม่ข่ีลาล่ะ4) ชาวนากบัลกูข่ีลา มีคนมาทกัว่า ท าไมทรมานสตัว์5) ชาวนากบัลกูหามลา พอถึงสะพานข้ามลาธาร ลาตกไปในน ้า
พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ 5 STEPs
51
การท างานให้ส าเรจ็ (ชาวนากบัลา)
3. ขัน้สร้างองคค์วามรู้1) ค าถาม วิเคราะหเ์หตกุารณ์ในแต่ละตอน มีอะไรเกิดขึน้2) ชาวนากบัลกูเปล่ียนพฤติกรรมเพราะเหตใุด3) สรปุผลท่ีแท้จริงท่ีลาตกน ้า4) สรปุผล เร่ืองน้ี อะไรเป็นสาเหตท่ีุท าให้ชาวนาและลกูท างานไม่ส าเรจ็ (inductive)
4. ขัน้ส่ือสาร1) ส่ือสารด้วยการเขียน เสนอความรู้ท่ีได้ประกอบการเขียนภาพ และค าสอนใจ ใช้ผงั
กราฟิก (GOs)2) ส่ือสารด้วยการแสดงบทบาทสมมติุแบบย่อๆ หน้าห้องเรียน
พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ 5 STEPs
52
การท างานให้ส าเรจ็ (ชาวนากบัลา)
5. ขัน้ตอบแทนสงัคม1) ให้สร้างนิยายเร่ืองใหม่ท่ีเกิดขึน้ในประชาคมอาเซียนประเทศใดกไ็ด้
ตามความสนใจ ท่ีสะท้อนปัจจยัท่ีเป็นอปุสรรคการทางานให้ส าเรจ็2) จากนัน้ให้จดัท านิทานเร่ืองนัน้เป็นเล่ม และตกแต่งให้สวยงาม โดย
ค านึงถึงหลกัเศรษฐกิจพอเพียง3) งานน้ี อาจท าเด่ียว หรือกลุ่มโดยไม่เกิน 3 คน จงท างานด้วยความ
มุ่งมัน่และรบัผิดชอบ
พิมพนัธ ์เดชะคปุต ์(2556)
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
53
กลุ่มสาระการเรียนรู้สงัคมศึกษา ศาสนา และวฒันธรรมชัน้มธัยมศึกษาปีท่ี 2 รายวิชาประวติัศาสตร ์3เร่ืองการประเมินค่าหลกัฐานทางประวติัศาสตร์ จ านวน 4 คาบ
สาระการเรียนรู้วิธีการประเมินความน่าเช่ือถือของหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นลกัษณะต่างๆ อย่างง่ายๆ การประเมินความน่าเช่ือถือของหลกัฐานทางประวติัศาสตรไ์ทยท่ีอยู่ในหลกัฐานสมยัอยธุยาการแยกแยะระหว่างข้อมลูกบัความคิดเหน็ รวมทัง้ความจริงกบัข้อเทจ็จริงจากหลกัฐานทางประวติัศาสตร์การตีความข้อมลูจากหลกัฐานท่ีแสดงเหตกุารณ์ส าคญัในสมยัอยธุยาความส าคญัของการวิเคราะหข้์อมลูและตีความทางประวติัศาสตร์สถานภาพของพระมหากษตัริยไ์ทยในสมยัอยธุยา
ชยัรตัน์ โตศิลา (2556)
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
54
ขัน้ท่ี 1 ขัน้อภิปรายเพ่ือก าหนดประเดน็ศึกษา (คาบท่ี 1)
1. ผูส้อนสนทนากบัผูเ้รียนในประเดน็เก่ียวกบัสถานภาพของพระมหากษตัริยไ์ทยในสมยัอยธุยา โดยผูส้อนใช้ค าถามเพ่ือน าไปสู่การอภิปรายดงัน้ี
1.1 ชมุชนไทยบริเวณลุ่มแม่น ้าเจ้าพระยาก่อนท่ีจะมีการก่อตัง้เป็นอาณาจกัรอยธุยานัน้แต่เดิมเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติใดมาก่อน
1.2 หลกัฐานท่ีบง่บอกถึงการท่ีชมุชนไทยบริเวณลุ่มแม่น ้าเจ้าพระยาก่อนพทุธศตวรรษท่ี 18 เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจกัรขอมนัน้มีอะไรบา้ง
1.3 นอกจากอาณาจกัรขอมแล้วชมุชนไทยบริเวณลุ่มแม่น ้าเจ้าพระยาก่อนพทุธศตวรรษท่ี 18 เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจกัรอ่ืน ๆ อีกหรือไม่ ถ้ามีได้แก่อาณาจกัรใดบา้ง และมีหลกัฐานท่ีสนับสนุนถึงการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจกัรต่าง ๆ อะไรบ้าง
55
ขัน้ท่ี 1 ขัน้อภิปรายเพ่ือก าหนดประเดน็ศึกษา (คาบท่ี 1)
2. จากค าถามในกิจกรรมท่ี 1 ให้นักเรียนร่วมกนัตอบค าถามและอภิปรายถึงลกัษณะการปกครองของอาณาจกัรอยธุยาท่ีอาจจะได้รบัอิทธิพลมาจากอาณาจกัรต่าง ๆ ก่อนท่ีจะมีการก่อตัง้เป็นอาณาจกัรอยธุยา
3. ให้นักเรียนร่วมกนัอภิปรายลกัษณะการปกครองในสมยัอยธุยา จากนัน้ร่วมกนัตัง้สมมติฐานเก่ียวกบัลกัษณะการปกครองในสมยัอยธุยาและสถานภาพของพระมหากษตัริย์ไทยในสมยัอยธุยา ทัง้น้ีผูส้อนจะเขียนสมมติฐานท่ีผูเ้รียนร่วมกนัตัง้บนกระดาน แล้วให้ผูเ้รียนจดสมมติฐานดงักล่าวลงในสมดุ
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
56
ขัน้ท่ี 2 ขัน้วิเคราะหห์ลกัฐานหลกั (คาบท่ี 1)
1. ผูส้อนให้ผูเ้รียนศึกษาหลกัฐานชัน้ต้นทางประวติัศาสตรจ์ากใบงานท่ี 1
“สมเดจพระเจ้ารามาธิบดีบรมไตรโลกนารถมหามงกฎุเทพมนุษยวิสทุธิสริุยวงษองคพทุธางกรู บรมบพิตรพระพทุธเจ้าอยู่หวัทรงทศพีธราชธรรมถวลัราชประเวนีศรีบรมกระษตัราธิราช พระบาทด ารงภมูมณทล สกลสีมาประชาราษฎร บรมนารถบรมบพิตร”
วินัย พงศศ์รีเพียร, บรรณาธิการ, กฎมณเทียรบาล ฉบบัเฉลิมพระเกียรติ, หน้า 63, 65.
ให้นักเรียนวิเคราะห์หลกัฐานตามประเดน็ ดงัน้ี1. สาระส าคญั/แนวคิดหลกัของหลกัฐาน2. วตัถปุระสงคข์องผูเ้ขียน3. อคติของผูเ้ขียน4. ประเดน็ค าถามท่ีมีต่อเน้ือหาในหลกัฐานดงักล่าว
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
57
ขัน้ท่ี 3 ขัน้แยกแยะหลกัฐาน (คาบท่ี 2 และ 3)
1. ผูส้อนให้ผูเ้รียนศึกษาหลกัฐานชัน้ต้นทางประวติัศาสตรจ์ านวน 3 ช้ิน
หลกัฐานท่ี 1“ราชส านักพระเจ้าแผน่ดินนัน้กว้างใหญ่ไพศาลดสูง่างามย่ิง...เวลาเสดจ็ออกขนุนาง...ขนุ
นางข้าราชการและต ารวจท่ีคมุอาวธุต่างคกุเข่าหมอบอยู่ด้วยความเคารพเบือ้งพระบาท...ชาวต่างประเทศท่ีเข้าเฝ้า จะต้องคกุเข่าประสานมือทัง้สองน้อมศรีษะ และหมอบลงด้วยอาการท่ีเคารพอย่างย่ิง เม่ือจะกราบทูลข้อความใด ๆ จะต้องกล่าวค าน าพระนาม และสรรเสริญพระบารมีเสียก่อน กระแสพระราชโองการของพระองคเ์ฉียบขาด เปรียบประดจุโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้า ซ่ึงข้าราชบริพารจะต้องปฏิบติัและด าเนินตาม...ในขณะเสดจ็พระราชด าเนินน้ี บรรดาราษฎรท่ีเฝ้าอยู่ตามระยะทางต่างกพ็นมมือหมอบราบอยู่บนพืน้ดิน ราวกบักระท าความเคารพบชูาพระผูเ้ป็นเจ้าฉะนัน้...” โยสต์ สเคาเตน็, “จดหมายเหตขุองโยสต์ สเคาเตน็ในรชัสมยัสมเดจ็พระเจ้าทรงธรรมและสมเดจ็พระเจ้าปราสาททอง”, ใน ประชมุพงศาวดารฉบบบักาญจนาภิเษก เล่ม 1, หน้า 260-262
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
58
ขัน้ท่ี 3 ขัน้แยกแยะหลกัฐาน (คาบท่ี 2 และ 3)
1. ผูส้อนให้ผูเ้รียนศึกษาหลกัฐานชัน้ต้นทางประวติัศาสตรจ์ านวน 3 ช้ิน
หลกัฐานท่ี 2“ค าน าหน้าพระนามของพระเจ้าแผน่ดินฟังดโูอ่หรเูป็นอย่างย่ิง และเลยเถิดเกินมนุษย ์ ...
ถ้าผูใ้ดพดูถึงพระเจ้าแผน่ดิน แม้ผูพ้ดูจะไม่มีความส าคญัอนัใด ค าน าหน้าพระนามกจ็ะไม่น้อยไปกว่าถ้อยค าเหล่าน้ีคือ พระพทุธิเจ้าข้าขอรบัพระราชโองการใส่เกล้าใส่กระหม่อม...พระประมขุของประเทศท่ีสวยงามน้ีย่ิงใหญ่กว่าพระเจ้าเสียอีก...พระองคท์รงเป็นสมมติเทพ...พระเจ้าแผน่ดินเป็นผูมี้เกียรติและได้รบัความเคารพจากไพร่ฟ้าข้าแผน่ดินของพระองคม์ากกว่าเทพเจ้าเสียอีก...”
ฟาน ฟลีต, “พรรณนาเรื่องอาณาจกัรสยาม”, ใน รวมบนัทึกประวติัศาสตรอ์ยธุยาของฟาน ฟลีต (วนั วลิต), หน้า 22-25.
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
59
ขัน้ท่ี 3 ขัน้แยกแยะหลกัฐาน (คาบท่ี 2 และ 3)
1. ผูส้อนให้ผูเ้รียนศึกษาหลกัฐานชัน้ต้นทางประวติัศาสตรจ์ านวน 3 ช้ิน
ผูเ้รียนร่วมกนัวิเคราะหห์ลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นแต่ละหลกัฐานในประเดน็เก่ียวกบัสาระส าคญัเบือ้งของหลกัฐานทางประวติัศาสตร ์ ได้แก่ ผูเ้ขียน หวัข้อหลกั ช่วงเวลาท่ีเขียน ประเภทของหลกัฐาน สาระส าคญั/แนวคิดหลกัของหลกัฐาน วตัถปุระสงคข์องผูเ้ขียน และอคติของผูเ้ขียน
หลกัฐานท่ี 3พระมาทรงยศโยศพนั พรหมา
มาพ่างมารถเป็น ป่ินแก้วพระมาเทียบเทียมสมา ธิราช เพชรแฮมาเทียบมาทบแผว้ แผน่ไตร
ลิลิตยวนพ่าย. พระนคร: ศิลปบรรณาคาร, 2513. หน้า 4.
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
60
ขัน้ท่ี 3 ขัน้แยกแยะหลกัฐาน (คาบท่ี 2 และ 3)
2. ผูส้อนให้ผูเ้รียนวิเคราะหค์วามสมัพนัธร์ะหว่างข้อมลูท่ีได้จากการวิเคราะหแ์ละตีความหลกัฐานทางประวติัศาสตรท์ัง้ 3 ช้ินกบัข้อมลูท่ีได้จากการวิเคราะหแ์ละตีความหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนท่ี 2 โดยมีประเดน็ท่ีน าไปสู่การอภิปรายดงัน้ี
2.1 หลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนท่ี 3 มีความสมัพนัธก์บัหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนท่ี 2 อย่างไร
2.2 วิถีชีวิตของประชาชนท่ีพบจากหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนท่ี 2 และขัน้ตอนท่ี 3 มีลกัษณะอย่างไรบา้ง
2.3 ข้อค้นพบท่ีได้จากการศึกษาหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนท่ี 3 มีความเหมือนหรือแตกต่างกบัหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนท่ี 2 อย่างไรบา้ง ให้ยกตวัอย่างข้อมลูท่ีน ามาใช้สนับสนุนการวิเคราะห์
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
61
ขัน้ท่ี 3 ขัน้แยกแยะหลกัฐาน (คาบท่ี 2 และ 3)
3. ผูส้อนอธิบายถึงแนวทางในการค้นคว้าหลกัฐานทางประวติัศาสตรจ์ากแหล่งข้อมลูต่าง ๆ ให้กบัผูเ้รียน จากนัน้แบง่กลุ่มผูเ้รียนออกเป็น 5 กลุ่มแล้วมอบหมายให้ผูเ้รียนไปสืบค้นและรวบรวมหลกัฐานทางประวติัศาสตรท่ี์มีความสมัพนัธก์บัประเดน็ท่ีก าลงัศึกษา / สมมติฐานทางประวติัศาสตรท่ี์นักเรียนได้ร่วมกนัตัง้ขึน้ในขัน้ตอนท่ี 1
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
62
ขัน้ท่ี 4 ขัน้ทดลองสืบค้น (คาบท่ี 4)
1. ผูเ้รียนแต่ละกลุ่มน าหลกัฐานทางประวติัศาสตรต์ามท่ีกลุ่มตนได้สืบค้นและรวบรวมมา จากนัน้ผูส้อนให้ผูเ้รียนแต่ละกลุ่มร่วมกนัวิเคราะหแ์ละตีความหลกัฐานทางประวติัศาสตรข์องกลุ่มตนพร้อมทัง้บนัทึกข้อมลูดงักล่าวลงในสมดุตามประเดน็ต่าง ๆ ดงัน้ี
1.1 สาระส าคญัเบือ้งของหลกัฐานทางประวติัศาสตร ์ ได้แก่ ผูเ้ขียน หวัข้อหลกั ช่วงเวลาท่ีเขียน ประเภทของหลกัฐาน สาระส าคญั/แนวคิดหลกัของหลกัฐาน วตัถปุระสงคข์องผูเ้ขียน และอคติของผูเ้ขียน
1.2 ความสมัพนัธร์ะหว่างข้อมลูท่ีได้จากการวิเคราะหแ์ละตีความหลกัฐานทางประวติัศาสตรใ์นขัน้ตอนน้ีกบัข้อมลูท่ีได้จากการวิเคราะหแ์ละตีความหลกัฐานทางประวติัศาสตร์ในขัน้ตอนท่ี 2 และ 3
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
63
ขัน้ท่ี 5 ขัน้น าเสนอข้อค้นพบ (คาบท่ี 4)
1. ผูเ้รียนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลงานหน้าชัน้เรียน โดยนักเรียนท่ีนัง่ฟังต้องจดบนัทึกการน าเสนอพร้อมทัง้ตัง้ประเดน็ค าถามจากท่ีแต่ละกลุ่มน าเสนอ
2. ผูส้อนตัง้ค าถามเพ่ือน าไปสู่การสรปุบทเรียน ดงัน้ี2.1 การวิเคราะห ์ ตีความ และประเมินความน่าเช่ือถือหลกัฐานทางประวติัศาสตรมี์วิธีการ
อย่างไรบ้าง2.2 การวิเคราะห ์ ตีความ และประเมินความน่าเช่ือถือหลกัฐานทางประวติัศาสตรมี์
ความส าคญัต่อการศึกษาเร่ืองราวทางประวติัศาสตรแ์ละเหตกุารณ์ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกบันักเรียน ครอบครวั ชมุชน และประเทศชาติอย่างไร
2.3 จากการศึกษาหลกัฐานทางประวติัศาสตรเ์ก่ียวกบัสถานภาพของพระมหากษตัริยไ์ทยในสมยัอยธุยาท าให้นักเรียนทราบเก่ียวกบัลกัษณะสถานภาพของพระมหากษตัริยไ์ทยในสมยัอยธุยาอย่างไรบ้าง
2.4 สถานภาพของพระมหากษตัริยไ์ทยในสมยัอยธุยามีความส าคญัต่อการปกครองบ้านเมืองอย่างไรและส่งผลมาสู่การปกครองประเทศไทยในปัจจบุนัอย่างไร
ตวัอย่างกิจกรรมการเรียนรู้
เปรียบเทียบวิธีการทางประวติัศาสตร ์กบั 5 STEPs
64
ขัน้ท่ี 1 ขัน้อภิปรายเพ่ือก าหนดประเดน็ศึกษา
ขัน้ท่ี 2 ขัน้วิเคราะหห์ลกัฐานหลกั
ขัน้ท่ี 3 ขัน้แยกแยะหลกัฐาน
ขัน้ท่ี 4 ขัน้ทดลองสืบค้น
ขัน้ท่ี 5 ขัน้น าเสนอข้อค้นพบ
ตัง้ค าถาม
แสวงหาสารสนเทศ
สร้างองคค์วามรู้
ส่ือสาร
ตอบแทนสงัคม
บนัทึกหลงัการจดัการเรียนรู้
65ชยัรตัน์ โตศิลา (2556)
1. การเรียนการสอน1.1 การบรรลจุดุประสงค์1.2 การเรียนรูข้องผูเ้รียน1.3 ผลงานของนักเรียน1.4 การมีส่วนรว่มในกิจกรรมการเรียนการสอน1.5 ตวัผูส้อน
2. ปัญหา/ส่ิงท่ีต้องการพฒันา3. แนวทางในการแก้ไขปัญหา 4. ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม
top related