บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · web view7....

64
บบบบบ 1 บบบบบบบบ บบบบบบบบบ 1 บบบบบ 1 บบบบบบบบบบบบบบบบบ (Atom and Nucleus) บ บ บ บ บ บบบ บ บบบ บ บ บบ บ บบ บ บ บบ บ บบ บบ บ บ บบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บ.บ. 1895 บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บ.บ. 1986 บบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบ (A.H. Becquerel) บบบ บบ บบบบบบบบบบบบบบบ บ.บ. 1987 บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บ.บ. 1900 บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บ.บ. 1911 บบบบบบบบบบบบบ (E. Rutherford) บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บ.บ. 1913 บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ บบบบบบบบบบบ 1

Upload: others

Post on 18-Jan-2020

0 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

1

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส(Atom and Nucleus)

ความรูเ้บื้องต้นสำาหรบัฟสิกิสน์ิวเคลียร ์ คือความรูท้างด้านฟสิกิสข์องอะตอมและนิวเคลียส จงึควรศึกษาวา่โครงสรา้งของอะตอมมลีักษณะและววิฒันาการมาอยา่งไร การค้นพบแนวคิดที่ส ำาคัญเกี่ยวกับแบบจำาลองโครงสรา้งของอะตอมและนิวเคลียสตัง้แต่เร ิม่ต้นจนถึงปัจจุบนัจะชว่ยใหเ้ขา้ใจแบบจ ำาลองอะตอมที่ยอมรบัในปัจจุบนั และนำามาสูก่ารพฒันาความรูเ้กี่ยวกับอันตรกิรยิาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในนิวเคลียสได้

นิวเคลียรฟ์สิกิสเ์ริม่ต้นเกิดขึ้นด้วยการค้นพบที่สำาคัญเกี่ยวกับอะตอมและนิวเคลียสเรยีงตามลำาดับดังน้ี

ค.ศ. 1895 เรนิต์เกนค้นพบรงัสเีอกซ ์ค.ศ. 1986 นักวทิยาศาสตรช์าวฝรัง่เศสชื่อ แบคเคอเรล

(A.H. Becquerel) ค้นพบ กัมมนัตภาพรงัสีค.ศ. 1987 ทอมสนัค้นพบอิเล็กตรอนค.ศ. 1900 แพลงก์เสนอกฎพื้นฐานของการแผ่รงัสขีอง

วตัถดุำาค.ศ. 1911 รทัเธอรฟ์อรด์ (E. Rutherford) นัก

วทิยาศาสตรช์าวเยอรมนัทดลองเรื่อง การกระเจงิของอนุภาคแอลฟา

ค.ศ. 1913 โบรเ์สนอแบบจำาลองอะตอมของไฮโดรเจน

การค้นพบรงัสเีอกซ์

1

Page 2: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

2

วลิเฮล์ม คอนราด เรนิต์เกน (Wilhelm Conrad Röntgen นักฟสิกิสช์าวเยอรมนัผู้ค้นพบและสรา้งรงัสแีมเ่หล็กไฟฟา้ขนาดที่รูจ้กัในปัจจุบนัวา่ รงัสเีอกซ ์(x-rays) หรอื รงัสเีรนิต์เกน ความสำาเรจ็ที่ท ำาใหเ้รนิต์เกนได้รบัรางวลัโนเบลรางวลัแรก เมื่อ ค.ศ. 1901

ในปี ค.ศ. 1895 มนีักวทิยาศาสตรช์าวอังกฤษเซอร ์วลิเลี่ยม คร ูกส ์(Sir William Crooks) ได ้พบรงัสคีาโทด (Cathode Ray) หรอืลำาแสงอิเล็กตรอนนัน่เอง เมื่อเรนิต์เกนทราบขา่ว เขาจงึทดลองตามครูกส ์คือ การนำาหลอดแก้วที่สามารถสบูอากาศออกได้ เรยีกวา่ "หลอดเบลนนารด์" เมื่อสบูอากาศออกจากหลอดแก้วได้สว่นหนึ่งจงึปล่อยกระแสไฟฟา้เขา้ไป ในครัง้แรกปรากฏแสงสชีมพู เมื่อสบูอากาศออกอีกสว่นหนึ่งแล้วปล่อยกระแสไฟฟา้ ปรากฏวา่เกิดแสงสนีำ้าเงินอ่อนและเมื่อสบูอากาศออกอีกสว่นหนึ่งปรากฏวา่เกิดแสงสีเขยีวแกมแดง ซึ่งผลเป็นเชน่เดียวกับท่ีครูกสพ์บ

แต่เรนิต์เกนได้ทำาการทดลองต่อไป เนื่องจากเขาต้องการรูว้า่รงัสคีาโทดสามารถผ่านหลอดแก้วสญุญากาศออกมาได้หรอืไม ่ผลปรากฏวา่รงัสคีาโทดสามารถผ่านหลอดแก้วบางชนิดแต่ถ้าหากใช้หลอดแก้วชนิดหนารงัสคีาโทดก็ไมส่ามารถผ่านออกมาได้ ต่อจากนัน้เรนิต์เกนได้ทำาการทดลองต่อ โดยใชก้ระดาษสดีำาหอ่หุม้แท่งแก้วนี้อีกชัน้หนึ่งไมใ่หแ้สงสวา่งลอดเขา้ออกได้แล้วใช ้กระดาษที่ท ำาด้วยแบเรยีมแพลติโนไซยาไนด์ (Platinocyanide Paper) ซึ่งเป็นสารประกอบระหวา่งแบบเรยีมและทองคำาขาว กัน้เป็นฉากไวด้้านหลังหลอดอีกทีหนึ่ง จากนัน้ก็เร ิม่ทำาการทดลองปล่อยแสไฟฟา้เขา้ไปในหลอดสญุญากาศ ปรากฏวา่ไมม่แีสงใดผ่านออกมาได ้เลย จากนัน้เรนิต์เกนก็ปิดไฟ และประตหูน้าต่างจนภายในหอ้งมดืสนิท และเริม่การทดลองอีกครัง้หนึ่ง และพบวา่มแีสงเรอืงเกิดขึ้นบนกระดาษฉาก แต่เมื่อเปิดไฟแสงนัน้ก็หายไป เขาทำาการทดลองซำ้าอีกหลายครัง้จนแน่ใจวา่แสงที่เกิดขึ้นไมใ่ชร้งัสคีาโทด  เรนิต์เกนได้ทำาการทดลอง

2

Page 3: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

3

ต่อไปโดยการปิดหอ้งจนมดืสนิท แล้วใชฟ้ลิ์มถ่ายรูปมาวางแทนกระดาษฉากปรากฏวา่เมื่อนำาฟลิ์มไปล้าง ฟลิ์มมลีักษณะเหมอืนถกูแสง เรนิต์เกนได้ตัง้ชื่อรงัสเีขาพบวา่ "รงัสเีอกซ ์(X-ray) หรอื รงัสีเรนิต์เกน (Roentgen Ray)"

ซึ่งภายหลังนักวทิยาศาสตรไ์ด้ศึกษาและทดลองเกี่ยวกับรงัสีชนิดนี้มากขึ้นและสรุปคณุสมบติัของรงัสเีอกซไ์ด้ดังน ี้

1. เป็นทัง้คลื่นและอนุภาค การที่มสีมบตัิเป็นคลื่นเพราะมกีารสะท้อน การหกัเห การแทรกสอดและการเลี้ยวเบน และเป็นอนุภาคเพราะมโีมเมนตัมเหมอืนอนุภาคทัว่ไป

2. เป็นคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ ไมส่ามารถที่จะถกูเบีย่งเบนโดยสนามแมเ่หล็กและสนามไฟฟา้ มคีวามยาวคลื่นอยูใ่นชว่งประมาณ 1.3 x 10-11 ถึง 4.8 x 10-11 เมตร จงึไมส่ามารถมองเหน็ได้

3. ประกอบด้วยรงัสที ี่มคีวามยาวคลื่นแตกต่างก ันมาก เคลื่อนที่เป็นเสน้ตรงด้วยความเรว็เท่ากับความเรว็แสงคือมคี่า 3x108 m/s ในสญุญากาศ

4. สามารถทะลผุ่านวตัถทุี่ไมห่นาจนเกินไปและมคีวามหนาแน่นน้อยๆได้ เชน่ กระดาษ ไม ้เน้ือเยื่อของคนและสตัว ์แต่ถ้าผ่านวตัถท่ีุมีความหนาแน่นมาก ๆ เชน่ แพลตินัม ตะกัว่ กระดกู อำานาจทะลผุ่านก็จะลดลง

5. สามารถทำาใหอ้ากาศแตกตัวเป็นอิออนได้6. สามารถทำาใหผ้ลึกบางชนิดเรอืงแสงและแสงที่เรอืงออกมา

สามารถมองเหน็ได้ด้วยตาเปล่าได้7. ทำาใหเ้กิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมไีด้ เชน่เมื่อรงัสเีอกซไ์ป

ถกูฟลิมถ์่ายรูปจะทำาใหฟ้ลิมด์ ำา จงึนำาผลอันนี้มาใชใ้นการถ่ายภาพบนฟลิมเ์อกซเ์รย์

3

Page 4: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

4

รูป 1 ภาพรงัสเีอกซ ์(ภาพรงัส)ี มอืของอัลเบริต์ ฟอน โคลลิเคอร ์ถ่ายโดยเรนิต์เกน

การค้นพบกัมมนัตภาพรงัสีผู้ค้นพบกัมมนัตภาพรงัส ี คือ เฮนร ีแเบคเคอเรล เป็นชาว

ฝรัง่เศสการค้นพบกัมมนัตภาพรงัสขีองแบคเคอเรล เป็นการค้นพบขณะที่เขากำาลังศึกษาแสงแดดเป็นตัวการที่ทำาใหธ้าตยุูเรเนียมปลดปล่อยรงัสเีอกซ ์บงัเอิญชว่งการทดลองไมม่แีสงแดดเป็นเวลา 2- 3 วนั ชุดทดลองของเขาซึ่งเก็บไวใ้นลิ้นชกัไมถ่กูแสงแดด แต่เมื่อเขานำาฟลิ์มที่มกีระดาษหอ่สารยูเรเนียมไปล้าง ปรากฏวา่ที่ฟลิ ์มมกีารเปล่ียนแปลงที่เขม้กวา่ชว่งถกูแสงแดด แบคเคอเรลจงึคิดวา่น่าจะมีรงัสบีางอยา่งถกูปลดปล่อยออกมาจากธาตนุัน้ตลอดเวลา

เมื่อเขาศึกษาต่อ พบวา่ มธีาตบุางชนิดจะปลดปล่อยรงัสอีอกมาตลอดเวลา เรยีกธาตนุัน้วา่ธาตกุัมมนัตรงัส ี และรงัสทีี่ธาตนุัน้ปลดปล่อยออกมาเรยีกวา่กัมมนัตภาพรงัส ีซ ึ่งม ี3 ชนิด คือรงัสีแอลฟา รงัสเีบตา และรงัสแีกมมา

นอกจากแบคเคอเรลแล้ว นักวทิยาศาสตรท์ี่ศึกษาเกี่ยวกับธาตุกัมมนัตรงัส ีและกัมมนัตภาพรงัสจีนได้รบัรางวลัโนเบล คือ มาดาม มาร ีครูี

4

Page 5: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

5

การค้นพบอิเล็กตรอนเซอร ์ วลิเลียม ครูกส ์(Sir Williams Crookes) นัก

วทิยาศาสตรช์าวอังกฤษ (ในชว่งปี พ.ศ. 2375 – 2462) ทำาการทดลองการนำากระแสไฟฟา้ในหลอดแก้วสญุญากาศท่ีโค้งงอเป็นมุมฉากพบวา่เกิดสารเรอืงแสงสเีขยีวที่ผนังหลอดด้านในตรงขา้มกับขัว้แคโทดซึ่งเป็นขัว้ไฟฟา้ลบแสดงวา่เกิดรงัสอีอกมาจากขัว้แคโทด จงึเรยีกวา่ รงัสแีคโทด (Cathode Ray) ในเวลาต่อมาได้ศึกษาถึงธรรมชาติของรงัสแีคโทด โดยใชแ้ผ่นโลหะบาง ๆ กัน้รงัสแีคโทด ทำาใหเ้กิดเงาของแผ่นโลหะบนผนังหลอด พบวา่ปกติรงัสแีคโทดเคล่ือนเป็นเสน้ตรง แต่จะเบีย่งเบนทิศทางสนามไฟฟา้และสนามแม่เหล็ก

การค้นพบอิเล็กตรอนโดยการทดลองของทอมสนัเจ เจ ทอมสนั (J.J. Thomson) นักฟสิกิสช์าวอังกฤษ ในป ี

พ.ศ. 2440 ใชห้ลอดรงัสแีคโทดหาอัตราสว่นประจุต่อมวล (q/m) ของอนุภาคได้เท่ากับ 1.76 X 10 11 คลูอมบต์่อกิโลกรมั ซ ึ่งการทดลองนี้ช ีใ้หเ้หน็วา่ รงัสแีคโทดประกอบด้วยอนุภาคที่มมีวลและอิเล็กตรอน คือ สว่นประกอบท่ีสำาคัญของอะตอม สรุปผลการทดลองของ Thomson 1. ทอมสนัได้ทำาการทดลองโดยจดัขนาดและทิศทางของสนามไฟฟา้และสนามแมเ่หล็กใหเ้ท่ากัน จนกระทัง่รงัสแีคโทดวิง่เป็นเสน้ตรง ดังรูป 2

FE = FB qE = qvB v =

EB

= VdB

5

Page 6: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

6

รูป 2 แนวทางการเคล่ือนที่ของอนุภาครงัส ี แคโทดในบรเิวณท่ีมีสนามไฟฟา้และสนามแมเ่หล็กเท่ากัน

2. ทอมสนัตัดสนามไฟฟา้ออกเหลือแต่สนามแมเ่หล็กปรากฏวา่รงัสแีคโทดวิง่เป็นเสน้โค้งรศัม ี R

FB = FC qvB =

mv2

R

qm= vBR

= EB2R

รูป 3 แนวทางการเคล่ือนที่ของอนุภาครงัสแีคโทดในบรเิวณท่ีมีสนามแมเ่หล็ก

ถ้ามกีารเรง่ประจุด้วยความต่างศักย ์ หาประจุต่อมวลจาก Ek = EP

12mv2 = qVqm=

v2

2v= E2

2B2V

การหาประจุไฟฟา้ของอิเล็กตรอนโดยการทดลองของมลิลิแกน โรเบริต์ เอ มลิลิแกน ทำาการทดลองและหาประจุไฟฟา้ของอิเล็กตรอนได้สำาเรจ็ โดยการวดัปรมิาณประจุไฟฟา้บนหยดนำ้ามนัดังน้ี

6

Page 7: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

7

รูป 4 แสดงการสอ่งกล้องหาประจุไฟฟา้ของอิเล็กตรอน

สรุปสาระสำาคัญของการทดลองของมลิลิแกน1. มลิลิแกนใชก้ระบอกฉีดนำ้ามนั โดยที่ปากกระบอกมรีูเล็ก

หยดนำ้ามนัเล็ก ๆ ที่ถกูฉีดออกมา พบวา่มปีระจุไฟฟา้ เพราะวา่เกิดการเสยีดสกีับปากกระบอกฉีด หรอืเสยีดสกีับอากาศขณะเคลื่อนที่ บางหยดมปีระจุไฟฟา้เป็นบวกเพราะเสยีอิเล็กตรอนไป บางหยดมีประจุไฟฟา้เป็นลบเพราะได้รบัอิเล็กตรอนเพิม่เขา้มา

2. จากการทดลองถ้าจดัความต่างศักยไ์ฟฟา้ใหเ้หมาะสมจะมีหยดนำ้ามนับางหยดลอยนิ่งอยูก่ับที่แสดงวา่แรงเน่ืองจากสนามไฟฟา้เท่ากับแรงโน้มถ่วงของโลก

FE = mgqE = mg

เมื่อ q คือปรมิาณประจุไฟฟา้บนหยดนำ้ามนั ( C ) E คือขนาดของสนามไฟฟา้ ( V/m )

g คือความเรง่เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก ( m/s2 )

m คือมวลของหยดนำ้ามนั ( kg )จากการทดลองหยดนำ้ามนัของมลิลิแกนพบวา่ปรมิาณประจุที่

วดัได้บนหยดนำ้ามนัเป็นจำานวนเท่าของค่าคงที่คือ 1.6 X 10 -19

เสมอ จากการทดลองมลิลิแกนสรุปวา่บนหยดนำ้ามนัแต่ละหยดที่มี

7

Page 8: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

8

ประจุไฟฟา้ลบนัน้ได้รบัอิเล็กตรอนเพิม่เป็นจำานวนเท่าของ 1.6 X 10 -19 คลูอมบ ์ เชน่ ประจุ 2 ตัว มปีระจุเท่ากับ 3.2 X 10 -19 ค ูลอมบ ์ โดยประจุไฟฟา้ของอิเล็กตรอนหนึ่งตัวมคี่าเท่ากับ –1.6 X 10 -19 คลูอมบ ์ และนิยมใชส้ญัลักษณ์ ( e ) แทนประจุไฟฟา้ของอิเล็กตรอน

การแผ่รงัสขีองวตัถดุำาและสมมติฐานของพลังค์ วตัถดุำา (Black Body) ในอุดมคติ ถือวา่เป็นวตัถทุี่สามารถดดูกลืนรงัสไีด้อยา่งสมบูรณ์และเป็นวตัถทุี่สามารถเปล่งรงัสีได ้อย า่งสมบ ูรณ ์เชน่ก ัน น ัน่ค ือวตัถดุ ำามคี ่าสภาพเปล ่งรงัส ี(Emissivity) และค่าสภาพดดูกลืนรงัส ี (Absorptivity) มคี่าเท่ากับ 1 ตัวอยา่งของวตัถดุ ำาเชน่ ผิวของวตัถทุี่มสีดี ำา เมื่อรงัสีตกกระทบกับวตัถทุี่มผีิวสดีำาอยา่งสมับูรณ์รงัสจีะถกูดดูกลืนหมดโดยไมม่กีารสะท้อนของรงัส ีแล้วผิววตัถจุะแผ่รงัสอีอกไปแต่การคำานวณเพื่อหาสเปกตรมัของการแผ่รงัสคี่อนขา้งยาก ดังนัน้จะพจิารณาวตัถดุำาชนิดพเิศษในทางปฏิบตัิอาจถือเอาก้อนวตัถทุี่ภายในทำาเป็นชอ่งกลวงและมรีูเปิดเล็กๆออกสูภ่ายนอกเป็นวตัถทุี่มสีมบตัิใกล้เคียงกับวตัถดุำาได้ดังรูป 5

รูป 5 แบบจำาลองของวตัถดุำา

8

รงัสตีกกระทบ

Page 9: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

9

จากภาพท่ี 5 ถ้ามรีงัสตีกกระทบผ่านรูเล็กเขา้ไปในวตัถุดำารงัสนีัน้จะสะท้อนไปมาภายในชอ่งกลวงและถกูดดูกลืนในที่สดุโอกาสที่รงัสนัีน้จะเล็ดลอดออกมามน้ีอยมาก เมื่อทำาใหว้ตัถดุำารอ้นจนเกิดสมดลุทางความรอ้นที่อุณหภมูคิ่าต่าง ๆ พบวา่ที่อุณหภมูแิต่ละค่าความเขม้ของการแผ่รงัสี (I) กับความยาวคล่ืน (λ ) มคีวามสมัพนัธด์ังกราฟในรูป 6

รูป 6 ความสมัพนัธร์ะหวา่งความเขม้ของการแผ่รงัสขีองวตัถดุำากับความยาวคล่ืน

ท่ีอุณหภมูค่ิาต่างๆ

จากการศึกษาการแผ่รงัสขีองวตัถดุำาท่ีอุณหภมูค่ิาต่าง ๆ และจากรูปท่ี 6 สรุปได้วา่ 1. เมื่ออุณหภมูเิพิม่ขึ้นพลังงานของทกุสเปกตรมัเพิม่ขึ้น 2. สเปกตรมัของการแผ่รงัสเีป็นแบบต่อเน่ืองคือมทีกุความยาวคล่ืน 3. พลังงานที่วตัถดุำาแผ่ออกมาเป็นไปตามกฏของ ชเตฟาน โบลต์ซมนัต์ – (Stefan – Boltzmann’s Law) ดังน้ีคือ R = σT 4 (6.1)

9

ความยาวคล่ืน (m)

ความเขม้ของ

การแผ่รงัสี

Page 10: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

10

เม ื่อ R ค ือพล ังงานการแผ ่ร งัสขีองคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟา้ทัง้หมดต่อหน่วยเวลาต่อหน่วยพื้นที่ของวตัถดุำาที่อุณหภมู ิ T ใดๆ σ คือค่าคงที่ของ ชเตฟาน โบลต์ซมนัน์ซึ่งมคี่า–เท่ากับ 5 .67×10−8 W /m2K 4 4. เมื่ออุณหภมูเิพิม่ขึ้นยอดของเสน้โค้งจะเลื่อนไปทางชว่งความยาวคล่ืนที่มค่ีาตำ่าความยาวคล่ืนท่ีตรงกับตำาแหน่งยอดของเสน้โค้งในที่นี้เรยีกวา่ λmax ความสมัพนัธร์ะหวา่ง λmaxกับอุณหภมู ิ(T) ข อ ง ว ตั ถ เุ ป ็น ไ ป ต า ม ก ฎ ก า ร ก ร ะ จ ดั ข อ ง ว นี (Wien’s Displacement Law) คือ λmaxT = 2 .898×10−3 m.K (6.2) สมการที่ 6.1 และ 6.2 ใชค้ำานวณหาอุณหภมูขิองวตัถรุอ้นได้โดยการวดัความยาวคล่ืนจากการแผ่รงัสขีองวตัถนุัน้เชน่ วดั λmax ได้ 470 nm สมการ 6.2 คำานวณอุณหภมูไิด้ 6200 เคลวนิ ซึ่งได้ผลสอดคล้องกับสมการ 6.1 ดังนัน้กฎทัง้สองจงึเป็นที่ยอมรบักัน นักวทิยาศาสตรพ์ยายามค้นหาทฤษฎีต่างๆ มาอธบิายการแผ่รงัสขีองวตัถดุำา มนีักวทิยาศาสตรช์าวอังกฤษสองคนคือ ลอรด์ เรยล์ี และเซอร ์เจมส ์จนีส ์ ( Lord Rayleigh and Sir James Jeans) อธบิายโดยใชท้ฤษฎีคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ของแมกซเ์วลล์ โดยแบบจำาลองที่ง่ายที่สดุของการแผ่รงัสกี็คือ การสมมติใหว้ตัถทุี่แผ่รงัสปีระกอบด้วยออสซเิลเตอรจ์ ำานวนมากมาย กำาลังเคลื่อนที่แบบฮารม์อนิกอยา่งง่าย (Simple Harmonic) เนื่องจากอนุภาคมกีารแกวง่กวดัและอนุภาคมคีวามประจุไฟฟา้จะแผ่รงัสอีอกมา ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ของแมกซเ์วลล์กล่าวค ือเม ื่อประจุไฟฟา้เคลื่อนที่ด ้วยความเรง่จะแผ่รงัสหีรอืคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ออกมาด้วยความถี่เท่ากับความถี่ของการสัน่ใน

10

Page 11: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

ความยาวคล่ืน

ผลการทดลอง

กฎของเรลีย ์- จนีส์

ความเขม้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

11

ขณะเดียวกันก็จะรบัพลังงานจากการแผ่รงัสขีองออสซเิลเตอรข์า้งเคียง ดังนัน้ออสซเิลเตอรส์ามารถแผ่หรอืดดูกลืนรงัสไีด้ทกุความถี่ จงึกลายเป ็นกฎการแผ่รงัสขีอง เรล ีย ์- จนีส ์ (Rayleigh - Jeans Law) กฎขอ้นี้แสดงสมการที่ใชค้ ำานวณหาความเขม้ของการแผ่รงัสท่ีีอุณหภมูต่ิาง ๆ ดังน้ีคือ

I ( λ ,T ) = 2π cK BT

λ4 (6.3) เมื่อ c คือค่าความเรว็ของแสง K B คือค่าคงที่ของ โบลต์ซมนัน์ = 1 .38×10−23 J/k สมการท ี่ 6.3 แสดงแนวความคิดเด ิมของการแผ่รงัสขีองวตัถดุำาคืออะตอมจะแผ่รงัสอีอกมาทกุความยาวคลื่นและความเขม้ของการแผ่รงัสขีึ้นอยูก่ับอุณหภมูขิองวตัถุ

รูป 7 แสดงการเปรยีบเทียบของกราฟความสมัพนัธร์ะหวา่งความเขม้ของการแผ่รงัสจีากวตัถดุำากับความยาวคล่ืนระหวา่งผลท่ีได้จาก

การทดลองกับทฤษฎีของเรลีย ์ จนีส์– จากรูปที่ 7 เมื่อเปรยีบเทียบกราฟผลของจากทฤษฎี เรลีย ์ จนีส ์กับผลจากการทดลองพบวา่ทฤษฎีดังกล่าวจะใชไ้ด้ดี–เฉพาะบรเิวณความยาวคล่ืนสงูๆ เท่านัน้ สว่นความยาวคลื่นตำ่า ๆ ผล

11

Page 12: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

12

ของการทดลองกับทฤษฎีเรลีย ์- จนีสจ์ะขดัแยง้กันดังนัน้ทฤษฎียุคเก่าจงึไมส่ามารถอธบิายความเขม้ของการแผ่รงัสขีองวตัถดุำาได้ จากความล้มเหลวของทฤษฎียุคเก่าในการอธบิายการแผ่รงัสขีองวตัถดุ ำา ในปี ค.ศ.1890 แมกซ ์พลังค ์ (Max Planck) นักฟสิกิสช์าวเยอรมนัได้เสนอทฤษฎีใหมข่ึ้นดังน้ีคือ 1. ออสซลิเลเตอรท์ี่สัน่จะมคี่าพลังงานใดๆ มไิด้นอกจากค่าท่ีกำาหนดตามสมการ E = nhυ (6.4) เมื่อ E คือวา่พลังงานของออสซลิเลเตอร์ n คือเลขจำานวนเต็มบวกมคี่าเป็น 1,2, 3 - - - เรยีกวา่เลขควอนตัม (Quanum Number) h คือค่าคงตัวของพลังค์ (Planck’s Constant) มค่ีาเท่ากับ 6 .625×10−34 จูล.วนิาที υ คือความถ่ีของการสัน่ 2. ออสซลิเลเตอรเ์หล่าน้ีจะดดูกลืนหรอืแผ่รงัสอีอกมาเป็นควอนตัมของพลังงาน(Quantum of Energy) โดยควอนตัมของพลังงานมคี่าเป็น hυ นัน่คือ ΔE = hυ (6.5) เมื่อ ΔE คือ ค่าพลังงานที่ออสซลิเลเตอรร์บัหรอืคายออกมา สมการที่ 6.5 แสดงวา่เมื่อออสซลิเลเตอรร์บัหรอืแผ่รงัสอีอกมาพลังงานจะเพิม่ขึ้นลดลงครัง้ละ hυ หรอื หนึ่งควอนตัมของพลังงาน

12ก ข

E = 0

E = Emax

E = 7hυE = 6hυE = 5hυE = 4 hυE = 3hυE = 2hυE = hυ

Page 13: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

13

รูป 8 การเปรยีบเทียบพลังงานของอะตอมที่สัน่ด้วยความถ่ี υ

จากรูปที่ 8 แสดงการเปรยีบเทียบพลังงานของอะตอมที่สัน่ด้วยความถี่ υ ตามทฤษฎีฟสิกิสยุ์คเก่า และตามสมมติฐานของพลังค์ จะเหน็ได้วา่พลังงานตามทฤษฎีฟสิกิสย์ุคเก่ามคี่าต่อเนื่องจาก 0 ถึง Emax แต่ตามสมมติฐานของพลังค์อะตอมมคี่าพลังงานเป็นชว่ง ๆไมต่่อเน่ือง ต่อมาได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับควอนตัมของพลังงานของออสซลิเลเตอรก์ับหลักทางสถิติและได้สมการการแผ่รงัสขีองวตัถดุ ำาซึ่งสอดคล้องกับผลการทดลองทกุความยาวคล่ืนคือ

I ( λ ,T ) = 2π hc 2

λ5 (ehc /λKB T−1) (6.6) สมการท่ี 6.6 เรยีกวา่ กฎการแผ่รงัสขีองพลังค์ (Planck is Radiation Law)

รูป 9 การเปรยีบเทียบผลการคำานวณการกระจายของสเปกตรมัของการแผ่รงัสขีองวตัถดุำาตามสมมติฐานของพลังค์กับผลการ

ทดลอง

จากรูปที่ 9 แสดงใหเ้หน็วา่กฎการแผ่รงัสขีองพลังค์หรอืสมการที่ 6.6 สอดคล้องกับผลการทดลอง แนวคิดของพลังค์เกี่ยว

13

ความยาว

ความ

Page 14: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

14

กับการแผ่รงัสเีป็นควอนตัมไมเ่ป็นที่ยอมรบันักในชว่งแรก แต่ต่อมาได้มกีารยอมรบัเนื่องจากใชอ้ธบิายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตรกิ ปรากฏการณ์คอมปต์ันได้ดีดังนัน้สมมติฐานของพลังค์เป็นพีน้ฐานที่สำาคัญสำาหรบัฟสิกิสยุ์คใหม่

ตัวอยา่ง จงหาความยาวคลื่นสงูสดุของการแผ่รงัสดีังต่อไปนี้จากรา่งกายของมนุษยเ์ม ื่ออุณหภมูเิฉล ี่ยท ี่ผ ิวหนังเท ่าก ับ 35oC อุณหภมูขิองไสห้ลอดไฟฟา้ที่ท ำาด ้วยทังเสตนขณะที่สวา่งอยูม่ ีอุณหภมู ิ2,000 K ที่ผ ิวของดวงอาทิตยเ์ม ื่อมอีุณหภมูเิท ่ากับ 5800 Kวธิทีำา จากสมการ λmaxT = 2 .898×10−3 m.K ก. T = 273 + 35 = 308 K λmax = 2.898×10−3

T λmax = 2.898×10−3

308 λmax = 9 .4×10−6 m ข. T = 2000 K λmax = 2.898×10−3

2000 λmax = 1 .4×10−6 m

14

Page 15: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

15

ค. T = 5800 K λmax = 2.898×10−3

5800 λmax = 0 .50×10−6 m ตอบ ตัวอยา่ง สปรงิเบาอันหนึ่งมคี่านิจสปรงิเท่ากับ 25 N/m แขวนในแนวดิ่ง ตรงปลายล่างแขวนมวล 2.0 กิโลกรมัไวถ้้าใหส้ปรงิยดืออก 0.4 เมตร จากตำาแหน่งสมดลุจงหา พลังงานรวมของระบบและความถี่ของการสัน้โดยใชท้ฤษฎีฟสิกิสเ์ดิม ถ้าพลังงานของระบบดังกล่าวนี้ถกูควอนไตซจ์งหาเลขควอนตัมและค่าพลังงานหนึ่ง ควอนตัมของระบบวธิทีำา ก. จงหาพลังงานรวมของตัวแกวง่กวดั E = 12KA 2

และค่า K = 25 N/m A = 0.4 m ดังนัน้ E = 12×25×(0 .4 )2

E = 2.0 J หาความถ่ีได้จาก f = 12π √ K

m

15

Page 16: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

16

โดยท่ี m = 2.0 Kg

ดังนัน้ f = 12π √252.0

f = 0.56 Hz ข. จากสมการ E = nhυ เมื่อ υ=f

ดังนัน้ n = Ehυ

เมื่อ h = 6 .626×10−34 J.s υ = 0.56 Hz ดังนัน้ n =

2 .06 .626×10−3×0 .56 n = 5 .4×1033

พลังงานหน่ึงควอนตัมหาได้จาก E = hυ

ดังนัน้ E = 6 .626×10−34×0 .56 = 3 .7×10−34 J ตอบ แบบจำาลองอะตอมของรทัเธอรฟ์อรด์

ล อ ร ด์ เ อ อ ร เ์ น ส ท ์ ร ทั เ ท อ ร ฟ์ อ ร ด์ (Lord Ernest Rutherford) นักวทิยาศาสตรช์าวนิวซแีลนด์ และฮันส ์ไกเกอร ์

16

Page 17: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

17

และมารส์เคน ได้ทดลองใชอ้นุภาคแอลฟายงิไปยงัแผ่นโลหะทองคำาบางๆ และใชฉ้ากเรอืงแสงซึ่งฉาบด้วยซงิค์ซลัไฟด์ (ZnS) โค้งเป็นวงกลมเป็นฉากรบัอนุภาคแอลฟาเพื่อตรวจสอบทิศทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคแอลฟา เมื่อยงิอนุภาคแอลฟาซึ่งได้จากการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัส ีจากการทดลองพบวา่ทางเดินของอนุภาคแอลฟามีดังน้ี คือ

1. อนุภาคแอลฟาสว่นใหญ่เดินทางเป็นเสน้ตรงผ่านทะลแุผ่นทองคำาไปได้

2. มบีางอนุภาคที่หกัเหออกจากเสน้ทางเดิม 3. มบีางอนุภาคซึ่งน้อยมากสะท้อนกลับมาทางด้านหน้า 

ดังรูปที่ 10

รูป 10 การทดลองของรทัเทอรฟ์อรด์(ท่ีมา : รูป

จาก http://www.geocities.com/mo31913/rut3.jpg)

จากผลการทดลองของรทัเทอรฟ์อรด์ดังกล่าว ไมส่ามารถใช้แบบจำาลองอะตอมของทอมสนั อธบิายได้ เพราะตามแบบจำาลองของทอมสนั ในอะตอมของทองคำามโีปรตอนและอิเล็กตรอนกระจายอยู่ทัว่ทัง้อะตอม ดังนัน้ถ้าแบบจำาลองอะตอมของทอมสนัถกูต้อง เมื่อ

17

Page 18: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

18

ยงิอนุภาคแอลฟาซึ่งมปีระจุเป็นบวกเขา้ไปในอะตอมของทองค ำา อนุภาคแอลฟาจะต้องผลักกับโปรตอนซึ่งมปีระจุบวกเหมอืนกันและควรจะเบีย่งเบนจากเสน้ตรงเพยีงเล็กน้อย 

แต่จากการทดลองของรทัเทอรฟ์อรด์พบวา่ อนุภาคแอลฟาสว่นใหญ่วิง่ผ่านไปได้เป็นแนวเสน้ตรง มอีนุภาคบางสว่นสะท้อนกลับ ซ ึ่ง ท ำา ใ ห เ้ ก ิด ค ว า ม ค ิด เ ห น็ ไ ม ส่ อ ด ค ล ้อ ง ก ับ ข อ ง ท อ ม ส นั รทัเทอรฟ์อรด์จงึได้อธบิายผลการทดลองวา่ 1.  การที่อนุภาคแอลฟาสว่นใหญ่วิง่ผ่านแผ่นทองคำาไปเป็นแนวเสน้ตรงแสดงวา่ ภายในอะตอมควรจะมทีี่วา่งเป็นจำานวนมาก

     2. การที่อนุภาคแอลฟาบางอนุภาคที่หกัเหออกจากแนวเสน้ตรงเด ิม เพราะภายในอะตอมมอีน ุภาคที่มมีวลมากและม ีประจุไฟฟา้บวกสงูและมขีนาดเล็ก ดังนัน้เมื่ออนุภาคแอลฟาเขา้ใกล้อนุภาคนี้ จะถกูผลักใหเ้บนออกจากทางเดิม หรอืเมื่ออนุภาคแอลฟาเขา้มากระทบอยา่งก็จะสะท้อนกลับ

รทัเทอรฟ์อรด์จงึได้เสนอแบบจำาลองอะตอมขึ้นมาใหม ่ดังน้ี “อะตอมประกอบด้วยโปรตอนรวมกันเป็นนิวเคลียสอยูต่รง

กลางนิวเคลียสมขีนาดเล็กมากแต่มมีวลมากและมปีระจุบวก สว่นอิเล็กตรอนซึ่งมปีระจุลบ และมมีวลน้อยมากวิง่อยูร่อบๆ นิวเคลียสเป็นบรเิวณกวา้ง ดังรูป” 11

รูป 11 แบบจำาลองอะตอมของรทัเทอรฟ์อรด์

18

Page 19: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

19

(ท่ีมา : รูปจาก http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/.

..001.gif)

แบบจำาลองอะตอมของโบร์

หลังจากได้ศึกษาแบบจำาลองอะตอมของรทัเทอรฟ์อรด์ จะเหน็ได้วา่แบบจำาลองอะตอมของรทัเทอรฟ์อรด์ ใหโ้ครงสรา้งอะตอมที่ชดัเจน คืออะตอมประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 3 ชนิดได้แก่ โปรตอน นิวตรอนและอิเล็กตรอน โดยโปรตอนและนิวตรอนรวมกันอยูใ่นนิวเคลียส สว่นอิเล็กตรอนวิง่วนรอบนิวเคลียสนัน้ ยงัมปีัญหาส ำาหรบัน ักวทิยาศาสตรอ์ ีกมากมายที่ยงัตอบไมไ่ด ้ เชน่ ท ำาไมอิเล ็กตรอนซ ึ่งว ิง่วนรอบนิวเคลียส จงึไมห่ลดุออกไปหรอืถกูนิวเคลียสดดูเขา้ไปรวมกัน

จากความร ูเ้ร ื่องสเปกตรมั และจากทฤษฎีพลังงานของคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ของแมกซพ์ลังค์ นักฟสิกิสช์าวเยอรมนั นีลส์  โบร ์ ได ้ท ำาการศึกษาขอ้ม ูลของอะตอมเพ ิม่ เต ิม จากการเก ิดสเปกตรมัของแก๊สไฮโดรเจนและค่าพลังงานไอออไนเซชัน่ (IE) เกิดแนวคิดเกี่ยวกับการจดัเรยีงอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสขึ้น จงึได้เสนอแบบจำาลองอะตอมขึ้นมาใหมโ่ดยปรบัปรุงแบบจำาลองอะตอมของรทัเทอรฟ์อรด์ เพ ื่อใหเ้หน็ลักษณะของอิเล ็กตรอนที่อยูร่อบ ๆ นิวเคลียสเป็นวงคล้ายกับวงโคจรของดาวเคราะหร์อบดวงอาทิตย์ ดังรูป 12

19

Page 20: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

20

รูป 12 แบบจำาลองอะตอมของโบร์ (ท่ีมา : รูปจาก http://www.kr.ac.th/tech/detchm48/electronb.gif)

ส ร ุป แ บ บ จ ำา ล อ ง อ ะ ต อ ม ข อ ง โ บ ร ์ 1.  อิเล็กตรอนจะอยูเ่ป ็นช ัน้ ๆ แต่ละช ัน้เรยีกวา่ ระดับ“พลังงาน ซึ่งปัจจุบนัพบถึงชัน้ที่คือ ” K L M N O P Q … หรอื n 1 2 3 4 5 6 7… 2. แต่ละระดับพลังงานจะมอิีเล็กตรอนบรรจุได้ดังน้ี

จำานวนอิเล็กตรอน = 2n2 (เมื่อ n คือระดับชัน้พลังงาน)

3. อิเล็กตรอนที่อยูใ่นระดับพลังงานนอกสดุเรยีกวา่ เวเลนซ์อิเล็กตรอน (Valence electron)

4. อิเล็กตรอนที่อยูใ่นระดับพลังงานวงในอยูใ่กล้นิวเคลียสจะเสถียรมาก เพราะประจุบวกจากนิวเคลียสดึงดดูเอาไวอ้ยา่งดี สว่นอิเล็กตรอนในระดับพลังงานนอกสดุจะไมเ่สถียร เพราะนิวเคลียสสง่แรงไปดึงดดูไปได้น้อยมาก จงึท ำาให ้อิเล็กตรอนเหล่าน้ีหลดุออกจากอะตอมได้ง่าย

5.  ระดับพลังงานวงในจะอยูห่า่งกันมาก สว่นระดับพลังงานว ง น อ ก จ ะ อ ย ูช่ ดิ ก ัน ม า ก

20

Page 21: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

21

6.  การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอน ไมจ่ ำาเป็นต้องเปล่ียนในระดับถัดกัน อาจเปล่ียนขา้มระดับพลังงานก็ได้

สเปกตรมั (Spectrum) หมายถึง แถบส ีแถบแสงส ีหรอืเสน้สขีองพลังงานในรูปคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ เมื่อผ่านเขา้ไปปรากฏอยู่ในสเปกโตรสโคป

สเปกโตรสโคป (Spectroscope) คือ อุปกรณ์หรอืเคร ื่องมอืที่ใชแ้ยกพลังงานในรูปคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ใหป้รากฏเป็นสเปกตรมัที่มเีสน้หรอืสต่ีางๆ

สเปกตรมั ม ี2 ชนิด คือ1. สเปกตรมัต่อเนื่อง (Continuous spectrum)

เป็นสเปกตรมัที่ประกอบด้วยแถบของสทีี่ต่อเนื่องกันไปจากสหีนึ่งไปยงัอีกสหีนึ่ง โดยจะมองไมเ่หน็ชอ่งวา่งระหวา่งสเีลย เชน่ สเปกตรมัของแสงขาว เกิดขึ้นจากเมื่อผ่านแสงขาว (แสงอาทิตย ์หรอืแสงจากหลอดไฟทังสเตน) ไปยงัปรซิมึจะเกิดการกระจายแสงออกเป็นแถบสตี่อเนื่องกัน 7 แถบส ีปรากฏใหเ้หน็บนฉากขาว ได้แก่ สมีว่ง คราม นำ้าเงิน เขยีว เหลือง แสดและแดง ดังรูปท่ี 13

รูป 13 สเปกตรมัต่อเน่ือง (Continuous spectrum)(ท่ีมา : รูปจาก http://www.pt.ac.th)

2. ส เ ป ก ต ร มั ไ ม ต่ ่อ เ น ื่อ ง (Discontinuous spectrum) เป็นสเปกตรมัที่มลีักษณะเป็นเสน้สสีวา่งบนพื้นดำามดื บางทีเรยีกวา่ เสน้สเปกตรมั โดยจะมองเหน็เป็นเสน้สเีรยีงจาก

21

Page 22: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

22

เสน้สหีนึ่งไปยงัอีกเสน้สหีนึ่ง โดยแต่ละเสน้สจีะมชีอ่งวา่งระหวา่งเสน้สแียกกันชดัเจน ดังรูป 14

รูป 14 สเปกตรมัไมต่่อเน่ือง (Discontinuous spectrum)

(ท่ีมา : รูปจาก http://www.pt.ac.th)

ส ร ุป ก า ร เ ก ิด ส เ ป ก ต ร มั    1. การตรวจหาสเปกตรมัถ้าเป็นสารประกอบทำาโดยการเผาสารประกอบถ้าเป็นก๊าซ ทำาโดยนำาก๊าซมาบรรจุในหลอดแก้ว แล้วปรบัความดันใหต้ำ่าแล้วใชพ้ลังงานไฟฟา้แทนการเผา

2.  สเีปลวไฟ หรอืสเปกตรมั เกิดจากสาเหตเุดียวกัน ขอ้แตกต่าง คือสเีปลวไฟ เป็นสทีี่มองจากตาเปล่าจะเหน็เป็นสเีดียว ซึ่งเป็นสีที่เด่นชดัที่สดุ สสีเปกตรมัเป็นสทีี่ใชเ้ครื่องมอื สเปกโตรสโคป สอ่งดูเปลวไฟจะเหน็เป็นเสน้สเปกตรมัหลายเสน้และความเขม้มากที่สดุจะเป็นสเีดียวกันกับสขีองเปลวไฟ

3. สขีองเปลวไฟ หรอืสขีองสเปกตรมัเป็นสท่ีีเกิดจากสว่นที่เป็นไอออนของโละหรอืไอออนบวกนัน่เอง ดังเชน่        Li+       สแีดง   Na+     สเีหลือง   K+     สมีว่ง  ,   Ca2+         สแีดงอิฐ             Ba2+          สเีขยีวอมเหลือง 

Cu2+        สเีขยีว

22

Page 23: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

23

การจดัอิเล็กตรอนในอะตอม   จากการศึกษาแบบจ ำาลองอะตอมของโบร ์ทำาใหท้ราบวา่ อะตอมธาตมุกีารจดัเรยีงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานต่าง ๆ ดังน้ี 

ระดับพลังงาน(n) จำานวนอิเล็กตรอนท่ีมไีด้สงูสดุ

n  =  1 2n  =  2 8n  =  3 18n  =  4 32n  =  5 32n  =  6 18n  =  7 8

สำาหรบัระดับพลังงานที่ 5 – 7 จะบรรจุอิเล็กตรอนได้เต็มที่ไม่เกิน 32, 18 และ 8 อิเล็กตรอนตามลำาดับเท่านัน้ ไมส่ามารถใสต่ามสตูร 2n2 ได้

สมบติัของนิวเคลียสจากการทดลองของรทัเธอรฟ์อรด์ เร ื่องการกระเจงิของ

อนุภาคแอลฟา ทำาใหท้ราบวา่นิวเคลียสเป็นศูนยก์ลางของอะตอมที่มีประจุบวก มขีนาดเล็กมาก ในหวัขอ้นี้จะได้ศึกษาถึงธรรมชาติของนิวเคลียสในรายละเอียด

นิวเคลียสประกอบด้วยกลุ่มของ โปรตอนและนิวตรอน“ ” (รวมเรยีกวา่ น ิวคล ีออน (Nucleon)) มวลโดยรวมมากกวา่อิเล็กตรอนประมาณ 2,000 เท่า แต่มขีนาดเล็กมากเทียบกับอะตอม ดังนัน้ความหนาแน่นของนิวเคลียสจงึสงูมาก ความแตกต่างระหวา่งนิวเคลียสของอะตอมพจิารณาจากจำานวนของนิวตรอนและโปรตอนในนิวเคลียส สามารถเขยีนสญัลักษณ์ ได้เป็น A

ZX โดยที่ A คือ เลข

23

Page 24: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

24

มวล (จำานวนของนิวตรอนและโปรตอน) Z คือ เลขอะตอม (จำานวนของโปรตอน) เชน่ 27

13Al เมื่อกล่าวถึงชนิดต่างๆของนิวเคลียส (nuclear species) จะใชค้ ำาวา่ นิวไคลด์ “ ” (nuclide) ซึ่งการจำาแนกชนิดหรอืประเภทตามเสถียรภาพทางนิวเคลียร ์(nuclear stability) ได้เป็น 2 ประเภทคือ

นิวไคลด์เสถ ียร (stable nuclide) หมายถึงน ิวไคลด ์ท ี่ม ีเสถียรภาพทางนิวเคลียร ์นิวคลีออนจะสง่แรงกระทำาซึ่งกันและกันพอดี ทำาใหเ้กิดความสมดลุ ไมม่กีารเปล่ียนแปลงหรอืสลายตัว

น ิว ไ ค ล ด ์ก ัม ม นั ต ร งั ส ี (radioactive nuclide or radionuclide) หมายถึง นิวไคลด์ที่มจีำานวนนิวตรอนและโปรตอนไมเ่หมาะสม แรงกระทำาระหวา่งนิวคลีออนไมอ่ยูใ่นสภาวะสมดลุ นิวไคลด์นัน้

นอกจากจะจำาแนกนิวไคลด์ได้ตามเสถียรภาพทางนิวเคลียรแ์ละ อาจจำาแนกนิวไคลด์ได้โดยพจิารณาจากเลขเชงิมวล เลขเชงิอะตอม เลขนิวตรอน และระดับพลังงาน ดังน้ี

กลุ่มของนิวเคลียสที่มเีลขอะตอม (จำานวนโปรตรอน) เท่ากันเรยีกวา่ “ไอโซโทป ” (Isotope) เชน่ 125I, 127I, 131I

กลุ่มของนิวเคลียสที่มเีลขมวล (จำานวนโปรตรอนบวกนิวตรอน) เท่ากันเรยีกวา่ “ไอโซบาร์ ” (Isobar) เชน่ 131I, 131Xe, 131Cs

กลุ่มของนิวเคลียสที่มจีำานวนของนิวตรอนเท่ากันเรยีกวา่ “ไอโซโทน ” (Isotone) เชน่ 131

53I, 13254 Xe, 133

55Csนอกจากนี้ยงัมนีิวไคลด์ของธาตนุิดเดียวกันที่มเีลขมวลและ

เลขอะตอมเท ่าก ันแต ่มรีะด ับพลังงานและคร ึง่ชวีติ ไม เ่ท ่าก ัน (นอกจากที่สถานะพื้น ซึ่งอาจจะมเีสถียรภาพ) โดยใชเ้คร ื่องหมายดอกจนั ( * ) หรอือักษรเอ็ม (m, mestable state) กำากับไวบ้นนิวไคลด์ที่มพีลังงานสงูกวา่ เรยีกนิวไคลด์ชนิดนี้วา่ ไอโซเมอร์“ ” (Isomer) เชน่ 59Co, 59*Co และ 137Ba, 137mBa โดยม ี59*Co

24

Page 25: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

25

และ 137mBa เป็นนิวไคลด์ที่มพีลังงานสงูกวา่ 59Co และ 137Ba ตามลำาดับ

ในการระบุชนิดของนิวไคลด์นัน้ จะเขยีนเลขมวล A เป็นตัวซอ้นอยูท่างซา้ยมอืด้านบน เลขอะตอม Z ไวด้้านล่าง สว่นนิวตรอน N นัน้เป็นตัวหอ้ยล่างขวาของสญัลักษณ์ทางเคมทีี่ใชแ้ทนธาต ุเชน่ 11

24 Na13 เนื่องจาก N เป็นผลต่างระหวา่ง A กับ Z เป็นค่าเฉพาะของแต่ละธาตทุราบได้ด้วยสญัลักษณ์ทางเคม ีดังนัน้ไมจ่ำาเป็นจะต้องเขยีนตัวเลขครบทกุตัว ตัวอยา่งเชน่ ไอโซโทปของโซเดียมสามารถเขยีนสญัลักษณ์ท่ีสมบูรณ์ได้ดังน้ี 20 Na , 21 Na , 22 Na, 23 Na, 24 Na , 25 Na และ 26 Na

ขนาดและโครงสรา้งนิวเคลียสในปี ค.ศ. 1911 รทัเธอรฟ์อรด์ (Rutherford) และเพื่อน

รว่มงานของเขาได้ทดลองเกี่ยวกับการกระเจงิ (scattering) ของอนุภาคแอลฟา (alpha particle) ทำาใหพ้บนิวเคลียสในอะตอมเป็นคร ัง้แรก เขาพบวา่รูปแบบของการกระเจงินี้สามารถอธบิายได้วา่อะตอมประกอบด้วยมวลสว่นใหญ่ที่มปีระจุบวก และมขีนาดเล็กอยู่ตรงใจกลางซึ่งล้อมรอบด้วยการโคจรของอิเล็กตรอน การกระเจงิกลับของอนุภาคแอลฟาในบางกรณีที่อนุภาคแอลฟาจะเคลื่อนที่กลับสู่เป้าโดยตรง เกิดจากการชนกันตรง ๆ ระหวา่งอนุภาคกับนิวเคลียสของอะตอม สามารถนำามาประยุกต์เพื่อหาขนาดของนิวเคลียสได้โดยใชก้ฎการอนุรกัษ์พลังงานในการหาขนาดโดยประมาณของนิวเคลียส

25

Page 26: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

26

รูป 15 แสดงการกระเจงิของอนุภาคแอลฟาเมื่อวิง่เขา้ชนเป้า(ท่ีมา: http://www.google.co.th/imglanding?

q=size+of+ucleus+experiment+neutron&um)

ใ น ก า ร ช น แ บ บ ต ร ง ๆ ร ะ ห ว า่ ง อ น ุภ า ค ก ับ น ิว เ ค ล ีย ส พลังงานจลน์ของการเคลื่อนที่ของอนุภาคแอลฟา มคี ่าเท ่ากับ พลังงานศักยท์างไฟฟา้ระหวา่งประจุ เขยีนความสมัพนัธไ์ด้เป็น

ดังนัน้ (1.1)

รูป 16 การประมาณขนาดของนิวเคลียสโดยใชก้ารทดลองของรทัเธอรฟ์อรด์

26

V=0 Zed

Page 27: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

27

ระยะ d ที่ได้จากการคำานวณกรณีของกระดาษทองและเงิน คือ 3.2x10-14 m และ 2x10-14 m ตามล ำาด ับ ด ังน ัน้ขนาดของนิวเคลียสจะอยูใ่นอันดับ 10-14 m

การหาขนาดของนิวเคลียสโดยการยงิอนุภาคแอลฟาได้ระยะที่แอลฟาเขา้ใกล้นิวเคลียสมากที่สดุที่ระยะทางประมาณ 10- 14 เมตร เท่านัน้ไมส่ามารถเขา้ใกล้กวา่นี้ได ้ เน ื่องจากมแีรงผลักระหวา่งประจุไฟฟา้ขึ้น ดังนัน้การวดัขนาดของนิวเคลียสโดยการใชอ้นุภาคที่มีประจุจงึไมอ่าจวดัขนาดของนิวเคลียสได้อยา่งแมน่ย ำา ถ้าการยงิอนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟา้ คือ นิวตรอน จงึสามารถทะลทุะลวงเขา้ไปในอะตอมจนเขา้ไปปะทะกับกับแกนของนิวเคลียสได้

เน่ืองจากนิวคลีออนท่ีเป็นองค์ประกอบนิวเคลียสอยูร่วมกันในบรเิวณท่ีมขีนาดเล็กมาก จงึมขีนาดเสน้ผ่าศูนยก์ลางสัน้ ทำาใหม้แีรงยดึระหวา่งนิวคลีออนมค่ีามาก และมรูีปทรงเป็นทรงกลมเพราะเป็นทรงที่มพีื้นที่น้อยที่สดุ ท่ีพอเหมาะกับสภาวะการยดึเหน่ียวด้วยแรงระยะสัน้ ขอ้สรุปจากการทดลองที่ละเอียดขึ้นพบวา่นิวเคลียสเป็นทรงกลมและมรีศัมโีดยเฉล่ียดังน้ี

ถ้า R เป็นรศัมขีองนิวเคลียสท่ีมเีลขมวล AR α A1/3

และ R = R0 A1/3

(1.2)R0 เป็นค่าคงที่ มค่ีาประมาณอยูท่ี่ระหวา่ง 1.2 X 10-15 เมตร

ถึง 1.5 X 10-15 เมตร

ตัวอยา่ง ถ้ารศัมขีองนิวเคลียสของไฮโดรเจนเท่ากับ 1.2 x 10-15

เมตร จงหารศัมนีิวเคลียสของสงักะส ี (3064 Zn ), เรเดียม -228 ( 88228 Ra ) และยูเรเนียม -235 ( 92

235U) วธิทีำา เราหารศัมนิีวเคลียสจากสมการ R = R0 A

1/3

27

Page 28: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

28

รศัมขีอง 3064 Zn , A =

64 แทนค่า R = (1.2 x105 เมตร )( 64 )1/3

R = 4.8 x10-15 เมตร รศัมขีอง 88

228 Ra , A = 228 แทนค่า R = (1.2 x 10-15 เมตร) ( 228 )1/3

= 7.33 x 10-15 เมตร รศัมขีอง 92

235U , A = 235 แทนค่า R = (1.2 x 10-15 เมตร)( 235 )1/3

= 7.405 x 10-15 เมตร จากค่า R ที่คำานวณได้จากสมการ (1.2) นำาไปหาความหนาแน่นของนิวเคลียสได้จาก โปรตอนและนิวตรอนมมีวลใกล้เคียงกัน เป็น m ดังนัน้มวลของนิวเคลียสเท่ากับ Am ความหนาแน่น () จงึเท่ากับ

ρ = 3m4 π r 0

3 (1.3)

ดังนัน้ ปรมิาตรของนิวเคลียสแปรผันโดยตรงกับเลขมวลและ ความหนาแน่นของนิวเคลียสโดยประมาณมค่ีาคงที่“ ”

28

ρ = MV

= Am43πr03A

Page 29: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

29

ตัวอยา่ง จงคำานวณหาความหนาแน่นโดยประมาณของนิวเคลียสธาตใุดๆ

วธิทีำา สมมติต้องการหาความหนาแน่นนิวเคลียสของธาตุ ZA X

∵ จากความหนาแน่น = MV

\ มวลของนิวเคลียส ZA X = A

x0.66x10-27 กิโลกรมั

ปรมิาตรของนิวเคลียส V = 43 πR3

แต่ R = ( 1.2x10-15 ) A

13

แทนค่า V = 43π

( 1.2 x10-15 A13 )

= 7.238 x 10-45 A ลกูบาศก์เมตร

\ ความหนาแน่น = 1. 66×10−27 A7 .238×10−45 A

= 2.293 x 1017

kg / mจะเหน็ได้วา่ นิวเคลียสของธาตทุกุชนิดยอ่มมค่ีาเท่ากันหมดคือ

2.293 x 1017 kg / m3 ซึ่งมค่ีามากมหาศาล

แรงนิวเคลียร ์

นิวคลีออนยดึเขา้ด้วยกันด้วยแรงที่ไมเ่หมอืนกับแรงที่เคยรูจ้กักันในฟสิกิสยุ์คเก่ (classical physics) หรอืในอะตอมมกิฟสิกิส ์

29

Page 30: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

30

(atomic physics) ที่มแีรงโน้มถ ่วง (gravitational force) และแรงแมเ่หล็กไฟฟา้ (electromagnetic force) เมื่อพจิารณาภายในนิวเคลียสของอะตอมทัว่ไปซึ่งประกอบด้วยนิวตรอนที่ไมม่ีประจุและโปรตอนที่มปีระจุบวก ควรจะเกิดแรงไฟฟา้ตามกฎของคู-ลอมบ ์ซ ึ่งก ็จะเก ิดแรงผลักทางไฟฟา้จนน่าจะท ำาใหน้ ิวเคล ียสแตกแยกออกจากกัน แต่นิวคลีออนสามารถรวมอยูด่้วยกันได้ ต้องอยูภ่ายใต้แรงดึงดดูอยา่งหนึ่งที่สามารถเอาชนะแรงผลักระหวา่งโปรตอนได้ แรงนี่ต่อมาเรยีกวา่ แรงยดึเหนี่ยวภายในนิวเคลียส หรอื แรงนิวเคลียร ์(nuclear force) แรงนิวเคลียรเ์ป็นแรงพสิยัสัน้ (short range) ภายในอันดับของขนาดนิวเคลียส และมคีวามแรงมาก ซ ึ่งสามารถชดเชยแรงผลักคลูอมบร์ะหวา่งโปรตอนได ้แรงนิวเคลียร ์ แบง่ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. แรงนิวเคลียรแ์บบเขม้ ( Strong Nuclear Force )2. แรงนิวเคลียรแ์บบอ่อน ( Weak Nuclear Force )   แรงนิวเคลียรท์ัง้ 2 ประเภทนี้ เป็นแรงที่เกิดในธรรมชาติ 2

ใน 4 แรง โดยแรงอีกสองแรงที่เรารูจ้กักันดี ได้แก่ แรงโน้มถ่วง (Gravitational Force) และแรงแมเ่หล็กไฟฟา้( Electromagnetic Force )

1.แรงนิวเคลียรแ์บบเขม้   เมื่อพจิารณานิวเคลียสของอะตอม ซึ่งประกอบด้วยโปรตอน และนิวตรอน พบวา่ทัง้โปรตอนและนิวตรอนนัน้ยดึเหนี่ยวอยูร่วมกันได้ด้วยแรงชนิดหนึ่งที่ไมใ่ชแ่รงแมเ่หล็กไฟฟา้ แต่เป็นแรงนิวเคลียร์แบบเขม้ ในปี ค.ศ. 1935 นักฟสิกิสช์าวญี่ปุ่น ฮิเดกิ ยูกาวา ( Hideke Yukawa)ได้ใหส้มมติฐานการเกิดแรงนิวเคลียรว์า่เกิดจากการแลกเปล ี่ยนอน ุภา คอ ย า่ งหน ึ่ง ร ะหว า่ งน ิวคล ีออน

ในน ิวเคลียส อน ุภาคดังกล่าวน ัน้จะต ้องมมีวลมากกวา่

30

Page 31: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

31

อิเล็กตรอน แต่น้อยกวา่โปรตอนซึ่งขณะนัน้ไมท่ราบวา่เป็นอนุภาคอะไร แต่ต่อมาภายหลังได้มผีู้ทำาการทดลองพบอนุภาคชนิดหนึ่งซึ่งมลีักษณะตรงกับอนุภาคที่ยูกาวาได้กำาหนดไวเ้รยีกอนุภาคนี้วา่ เมซอน (Meson ) ในการอธบิายการแลกเปลี่ยนอนุภาคกันจะทำาให้เกิดแรงขึ้นได้อยา่งไรจะต้องอาศัยคณิตศาสตรท์ี่ยุง่ยากซบัซอ้นมาก แต่เราพอจะนึกภาพเทียบกับการแลกเปลี่ยนบาสเก็ตบอลของเด็กสองคน ถ้าทัง้สองแลกเปลี่ยนลกูบอลโดยต่างคนต่างขวา้งใหแ้ก่กันจะพบวา่มแีรงผลักเกิดขึ้นกับเด็กทัง้สอง แต่ถ้าทัง้คู่แลกเปลี่ยนบอลโดยต่างคนต่างดึงลกูบอลจากอีกคนหน่ึงจะทำาใหเ้กิดแรงดดู

รูป 17 แสดงการเกิดแรงนิวเคลียรโ์ดยสมมติวา่คนเป็นนิวคลีออนในนิวเคลียสและลกูบอลเป็นอนุภาคเมซอน

อนุภาคเมซอนตัวที่รูจ้กักันดี ได้แก่ อนุภาคพายเมซอน หรอืไพออน ( π -Mesons. pion ) ซึ่งมมีวลประมาณ 200 เท่าของมวลอิเล็กตรอน และแบง่เป็น π0 , π− , π +ตามชนิดของประจุ โดยรอบๆ แกนของนิวคลีออนประกอบด้วยกลุ่มของอนุภาคไพออน แรงระหวา่งนิวเคลียรเ์กิดขึ้นได้เนื่องจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคไพออน เขยีนเป็นสมการได้ดังน้ี

แรงระหวา่งอนุภาคโปรตอนกับนิวตรอนn → p + π−

p + π− → np → n + π+

n + π+ → p31

Page 32: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

32

แรงระหวา่งอนุภาคโปรตอนกับโปรตอนp → p¿ + π0

แรงระหวา่งนิวตรอนกับนิวตรอนn → n¿ + π0

2. แรงนิวเคลียรแ์บบอ่อน

   นอกจากแรงนิวเคลียรแ์บบเขม้แล้ว ยงัพบวา่ โปรตอนและนิวตรอน สามารถทำาปฏิกิรยิากันได้ด้วยแรงนิวเคลียรแ์บบอ่อนด้วย โดยการแลกเปลี่ยนอนุภาคชนิดหนึ่งที่เรยีกวา่ วคีอน (Weakons ) แรงนิวเคลียรแ์บบอ่อนน้ีมคีวามสำาคัญมากในการสงัเคราะหธ์าตหุนักชนิดต่าง ๆ ในดาวฤกษ์เนื่องจากแรงนิวเคลียรแ์บบอ่อนสามารถเปลี่ยนโปรตอนใหเ้ป็นนิวตรอน และในทางกลับกันแรงดังกล่าวสามารถเปล่ียนนิวตรอนกลับไปเป็นโปรตอนได้อีกด้วย

n→ p + e− + ν−

สรุปคณุลักษณะของแรงนิวเคลียรไ์ด้ดังน้ี1. แรงนิวเคลียรเ์ป็นแรงพสิยัสัน้ และเป็นแรงดึงดดู คืออยูใ่น

ระดับ 10-15 เมตร หรอืน้อยกวา่2. แรงนิวเคลียรแ์สดงการอิ่มตัว ซึ่งหมายถึงนิวคลีออนตัวหนึ่ง

สามารถมอีันตรกิรยิาอยา่งแรงกับนิวคลีออนที่อยูร่อบๆ เพยีงจำานวนท่ีจำากัด

3. เป็นแรงที่ไมข่ึ้นกับประจุคือ ไมข่ึ้นกับชนิดของนิวคลีออน นัน่คือแรง ระหวา่ง นิวตรอนกับโปรตอน เท่ากับ แรงระหวา่งนิวตรอนกับนิวตรอน และแรงระหวา่งโปรตอนกับโปรตอน

มวลและพลังงานยดึเหนี่ยวของนิวเคลียส

มวล

32

Page 33: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

33

เนื่องจากนิวเคลียสมขีนาดเล็กมาก ในการวดัมวลเราจงึมกัจะวดัในหน่วย amu เชน่เดียวกับอะตอม

จากนิยาม 1 amu = 112 ของมวลของ

C12 1 อะตอม

ดังนัน้มวล 1 amu = 112 x

126 .02 x1023

กรมั = 1.66 x10-24 กรมั = 1.66x10-27 กรมั จากสมการความสำาพนัธร์ะหวา่งมวลและพลังงานของไอสไตน์ที่วา่ E = mc2

\ มวล 1 amu แปลงเป็นพลังงานได้ = ( 1.66 x 10-27 ) x ( 3 x 108 )2 จูล

= (1.66×10−27 )× (3×108)2

1.6×10−19×106 MeV = 931.5 MeV นัน่คือ " มวล 1 amu เทียบได้กับพลังงาน 931.5 MeV"

พลังงานยดึเหนี่ยวเน ื่องจากอะตอมประกอบด ้วยโปรตอน น ิวตรอน และ

อิเล็กตรอน ดังนัน้มวลของอะตอมจะเท่ากับมวลรวมของอนุภาคทัง้หลาย คือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนในสถานะอิสระ (free state) แต่ปรากฏวา่มวลของอะตอมของไอโซโทปใดๆ มคี่าน้อยกวา่

33

Page 34: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

34

มวลรวมของอนุภาคที่เป็นสว่นประกอบซึ่งอยูใ่นสถานะอิสระ ตัวอยา่งเชน่ นิวไคลด์ ดิวเทอรอน ประกอบด้วย โปรตอน และนิวตรอน อยา่งละ 1 อนุภาค ถ้ารวมเขา้ด้วยกันคือ มวลของดิวเทอรอน มวลของนิวตรอน ( mn ) โปรตอน ( mp) และอิเล็กตรอนในสภาพอิสระ และมวลของนิวเคลียสบางตัวที่ต้องใชใ้นการคำานวณได้แสดงไวใ้นตารางท่ี 1.1 ตารางท่ี 1.1 มวลของนิวเคลียสบางตัวท่ีต้องใชใ้นการคำานวณ

เลขอะตอม ( Z )จำานวน

โปรตอน

สญัลักษณ์

ธาตุ มวลนิวเคลียส

amu

จำานวนนิวตรอ

001123

e01 n

11 H

12 H

24 He

37 Li

อิเล็กตรอนนิวตรอนไฮโดรเจน

ดิวเทอรอนฮีเลียมลิเธยีม

0.000549 ( me )

1.008665 ( me )

1.007276 (mp)

2.013553 4.001505 7.014357

011124

มวลของโปรตอน (mP) + มวลของนิวตรอน (mn) =1.007276 + 1.008665 amu

= 2.015941 amuแต่มวลท่ีแท้จรงิของดิวเทอรอน =

2.013554 amu

34

Page 35: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

35

ดังนัน้มวลหายไป = 0.002387 amu

ผลรวมของนิวคลีออนในดิวเทอรอน มค่ีามากกวา่มวลท่ีแท้จรงิของดิวเทอรอน ซึ่งลักษณะนี้จะเหมอืนกันทกุนิวไคลด์ เรยีกมวลที่หายไปจากนิวคลีออนอิสระรวมตัวกันกลายเป็นนิวเคลียสนี้วา่ มวลพรอ่ง (mass defect,Δm) มวลที่หายไปของนิวเคลียสน้ีกลายเป็นพลังงานตามทฤษฎีของไอนสไตน์ คือ E = Δmc2 เป็นพลังงานที่ทำาหน้าที่ยดึนิวคลีออนในนิวไคลด์เขา้ด้วยกัน เรยีกวา่ พลังงานยดึเหนี่ยว (binding energy, B.E.) ดังนัน้อะตอม Z

A Xที่ม ีZ โปรตอน (A-Z) นิวตรอน และ Z อิเล็กตรอน มมีวลพรอ่ง หาได้จาดสตูร

B.E. = Δm × c2 MeV= [Zmp + (A – Z)mn –m]931.5

MeV (1.4)โดยที่ mp, mn และ m คือมวลของ โปรตอน นิวตรอน และ

มวลที่แท้จรงิในหน่วย amu ตามลำาดับดังนัน้พลังงานยดึเหนี่ยวที่เกิดขึ้นในนิวเคลียสของดิวเทอรอน

= 0.002387 amu X 931.5 MeV/amu =

2.2235 MeV และในกรณีให ้M(A , Z) เป็นมวลของอะตอมน้ี มวลที่หายไป

หาได้จากΔm = [Zmp + Zme + (A – Z)mn] – M(A , Z)

amu (1.5)ค่าพลังงานยดึเหน่ียว= Δm x 931.5 MeVในการคำานวณหาค่าพลังงานยดึเหน่ียวอาจจะคำานวณได้จาก

มวลอะตอม มากกวา่จะคำานวณจากมวลของนิวเคลียส ทัง้น้ีเพราะขอ้มูลทางเคมหีรอืนิวเคลียรม์กัแสดงค่าของมวลอะตอมมากกวา่

35

Page 36: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

36

มวลของนิวเคลียส ดังนัน้การคำานวณค่าพลังงานยดึเหน่ียวจากมวลอะตอมจงึสะดวกกวา่

จากการคำานวณจะพบวา่ การหาค่ามวลพรอ่ง และ ค่าพลังงานโดยใชม้วลนิวเคลียส สมการ (1.4) และมวลอะตอม สมการ (1.5) จะเท่ากัน และเมื่อเอาจำานวนนิวคลีออนหารค่าพลังงานยดึเหนี่ยว ผลท ี่ได ้เรยีกวา่ ค ่าพล ังงานยดึเหน ี่ยวต ่อน ิวคล ีออน (binding energy per nucleon, B.E./nucleon)

ดังนัน้ ในดิวเทอรอนซึ่งมนิีวคลีออนเท่ากับ 2 จึ่งมค่ีา B.E./nucleon = 2.22/2

= 1.11 MeV.

ความสมัพนัธข์องพลังงานยดึเหนี่ยวต่อนิวคลีออนเป็นฟงัก์ชั ่นของเลขมวลดังแสดงความสมัพนัธ ์โดยกราฟ ภาพท่ี 18

36

Page 37: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

37

รูป 18 แสดงความสมัพนัธข์องพลังงานต่อนิวคลีออน เป็นฟงัก์ชัน่ของเลขมวล

(ท่ีมา: http://www.tutorvista.com/content/physics/physics-iv/atoms-and-nuclei/binding-energy.php)

ค่าพลังงานยดึเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียสต่างๆ อยู่ใกล ้ก ับเสน้โค ้งด ังร ูปท ี่ 1-2 ยกเวน้ He4 , C12 และ C16 ซ ึ่งมคี ่ามากกวา่พวกที่อยูใ่กล้เคียง ลักษณะของเสน้โค้งที่เกิดขึ้นตามรูป 18 เป็นดังน้ี

1. ท่ี A ตำ่าๆ BE/A ตำ่าและเพิม่ขึ้นอยา่งรวดเรว็เมื่อ A เพิม่ขึ้น2. บรเิวณรอบ A = 50 มลัีกษณะเป็นบรเิวณแบบราบซึ่งมค่ีา

สงูสดุที่ BE/A ประมาณ 8.8 MeV และมคี่าลดลงอยา่งชา้ๆ

37

Page 38: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

38

จนมค่ีาประมาณ 8.4 MeV ท่ี A = 140 ค่าเฉล่ียของพลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออนในบรเิวณน้ี ประมาณ 8.5 MeV

3. เหนือ A = 140 ขึ้นไป BE/A ลดลงไปอยา่งเรยีบๆ ถึง 7.6 MeV ท่ี A = 238 ของยูเรเนียม

การคำานวณหาพลังงานยดึเหนี่ยวของนิวเคลียส 1. ถ้าโจทยก์ำาหนดมวลนิวเคลียสมาให ้ จะได้ พลังงานยดึเหนี่ยวของนิวเคลียสใดๆ = (ผลต่างระหวา่งมวลรวมของอนุภาคในนิวเคลียสกับ มวลนิวเคลียส ) ´ 931 เมื่อมวลมหีน่วยเป็น amu พลังงานมหีน่วยเป็น MeV

2. ถ้าโจทยก์ำาหนดมวลอะตอมมาให้ ในกรณีน้ีจะต้องทำาการหกัล้างประจุของอิเล็กตรอนออก สมมติใหม้วลอะตอมของธาต ุ Z

A X = ZA M

มวลอะตอมของไฮโดรเจน = MH = มวลอิเล็กตรอน + มวลโปรตอน \ ผลรวมของมวลอิเล็กตรอนและโปรตอนในธาต ุ Z

A X = ZMH มวลนิวตรอนในธาต ุ Z

A X = ( A-Z )mn นัน่คือ Dm = ZMH + ( A-Z )mn - ZA M \ BE = [ ZMH + ( A-Z )mn

- ZA M ] x 931

mn = มวลนิวตรอน MH = มวลอะตอมไฮโดรเจน

Z ¿¿

A M ¿ = มวลอะตอมของธาต ุ ZA X

38

Page 39: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

39

ตัวอยา่ง จากตารางท่ีกำาหนดใหน้ี้

นิวเคลียส พลังงานยดึเหนี่ยวBE , MeV BE / A

816O

817O

818O

127.6131.7139.7

7.977.757.76

เมื่อวเิคราะหไ์อโซโทปของออกซเิจนด้วยแมสสเปคโตรมเิตอร ์

ท่านคิดวา่จะพบไอโซโทปตัวใด มเีปอรเ์ซน็ต์สงูสดุ

วธิทีำาจากตารางที่กำาหนดใหจ้ะเหน็ได้วา่ BE / A ของ 816 O มคี่ามาก

ที่สดุ แสดงวา่ นิวเคลียสของ 816O เสถียรที่สดุจงึควรจะพบที่สดุ

และผลจากที่วดัได้จรงิๆ ปรากฏวา่พบ 816O ประมาณ 99.75%

817O ประมาณ 0.037% และ 8

18O ประมาณ 0.204% ตอบ

ตัวอยา่ง มวลอะตอมของ 1020 Ne มค่ีา 19.9924 amu

จงหาก. พลังงานยดึเหน่ียวข. พลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออน

กำาหนดให ้ มวลอะตอมไฮโดรเจน = 1.007825 amuวธิทีำา หาพลังงานยดึเหน่ียวจาก BE = [ ZMH +( A- Z )mn - Z

A M ] x931 จากโจทย ์ A = 20 , Z = 10, A -Z = 10, Z

A M = 19.9924 \ แทนค่า BE = ( 10x007825 + 10 x.008665 - 19.9924 )x931

39

Page 40: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

40

= ( 20.1649 - 19.9934 ) x931 = 0.1725 x931 = 160.597 MeV \ พลังงานยดึเหน่ียว = 160.67 MeV ตอบ

พลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออน = 160 .620 = 8.03

MeV ตอบ

ตัวอยา่ง พลังงานยดึเหน่ียวของ 816 O มค่ีา 127.5 MeV

จงหามวลอะตอม กำาหนดให ้ มวลอะตอมไฮโดรเจน = 1.007825 มวลอะตอมของนิวตรอน = 1.008665วธิทีำา หามวลอะตอมจากสมการ BE = [ ZMH +( A-Z )mn- Z

A M ] X 931 จากโจทย ์ BE = 127.5 MeV , A = 16 , Z =8 , A-Z = 8 \ แทนค่า 127.5 = [ 8 x 1.007825 + 1.008665 - Z

A M ] X 931 0.136949 = 16.13192 - Z

A M

ZA M =

15.994971 amu \ มวลอะตอมออกซเิจน = 15.994971 amu ตอบ

40

Page 41: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

41

ตัวอยา่ง มวลอะตอมของ 816 o , 8

15 o และ 715 N เท่ากับ 15.9949 ,

15.0030 และ 15.0001 amu ตามลำาดับ จงหาก. พลังงานที่จะใชแ้ยกโปรตอน 1 ตัวออกมาจาก 8

16 O

ข. พลังงานที่ใชแ้ยกนิวตรอน 1 ตัวออกมาจาก 816O

วธิทีำา การท่ีเราจะแยกโปรตอนหรอืนิวตรอนออกจากนิวเคลียส เราจะต้องใสพ่ลังงานแก่มนัอยา่งน้อยท่ีสดุเท่ากับพลังงานยดึเหน่ียวของนิวคลีออนในนิวเคลียส ถ้าหากพลังงานท่ีใสม่ากกวา่พลังงานยดึเหนี่ยวพลังงานสว่นท่ีเกินน้ีจะกลายเป็นพลังงานจลน์ของนิวคลีออนท่ีถกูแยกออกมา

ก. ใหใ้สพ่ลังงาน DE แก่นิวเคลียสของ 816 o ทำาใหแ้ยก

โปรตอนออกมาได้ 1 ตัว ซึ่งเขยีนสมการได้ดังน้ี

816 o + DE ® 715 N+1

1 H

มวลรวมทางขวามอื = มวล 715 N + มวลของ 1

1 H

= 15.0001 + 1.007825 = 16.007925 amu มวลรวมทางซา้ยมอื = มวลของ 8

16 O = 15.9949 amu \ DE = 16.007925 - 15.9949 = 0.013025 amu \ BE = ( Dm ) ´ 931 = 12.126 MeV \ พลังงานที่ใชแ้ยกโปรตอน 1 ตัว จาก 8

16 O = 12.126 MeV ตอบ

ข. ใหใ้สพ่ลังงาน DE แก่ 816 o แล้วแยกนิวตรอนออก

มา 1 ตัว เขยีนสมการได้ 8

16 o + DE ® 815 o + 01 n

41

Page 42: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

42

\ DE = ( มวลของ 815 o + มวลของ 0

1 n - มวลของ 8

16 o ) x 931 = ( 15.0030 + 1.0087 - 15.9949 ) x 931 = 0.0168 x 931 = 15.64 MeV \ พลังงานที่แยกนิวตรอน 1 ตัวจาก 8

16 o = 15.64 MeV ตอบ ตัวอยา่ง จากสมการนิวเคลียร ์ 4 1

1 H ® 24 He + 2 + 10 e + 26 MeV ถ้า 2+1

0 e มค่ีาเท่ากับพลังงาน 1 MeV ค่าโดยประมาณของพลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออนของ 2

4 He เป็นเท่าใดวธิทีำา จากทางซา้ยของสมการนิวเคลียรเ์ป็นนิวเคลียสของไฮโดรเจน ซึ่งมแีต่โปรตอนเพยีงตัวเดียวในนิวเคลียสเท่านัน้ จงึไมเ่กิดพลังงานยดึเหนี่ยวในนิวเคลียสเมื่อรวมตัวเป็น 2

4 He นิวเคลียสของฮีเลียมจะประกอบด้วยนิวคลีออนอยู ่ 4 ตัว รวมกันจงึทำาใหเ้กิด BE ดังนัน้กรณีนี้จะเกิด mass defect ขึ้น หา Dm จากสมการนิวเคลียร ์ มวลของ 4 1

1 H = มวล 24 H + มวล 2+1

0 e + มวลของพลังงาน 26 MeV \ มวลของ 4 1

1 H - มวล 24 He = มวลของ 2+1

0 e + มวลของพลังงาน 26 MeV \ Dm = มวลของ 2+1

0 e + มวลของพลังงาน 26 MeV

42

Page 43: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

43

เปล่ียนเป็นพลังงาน BE = 1 + 26 MeV = 27 MeV \ BE / A =

274 = 6.75

MeV \ พลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออน = 6.75 MeV

แบบจำาลองของนิวเคลียส

เนื่องจากยงัขาดทฤษฎีอยา่งละเอียดของโครงสรา้งของนิวเคลียส จงึได้พยายามทำาขอ้มูลทางนิวเคลียรต์่างๆ ใหอ้ยูใ่นแบบจำาลองต่างๆ ซึ่งไมเ่หมอืนกับแบบจำาลองของอะตอม โดยแบบจำาลองทัว่ๆ ไปแต่ละแบบเสนอความเหน็ที่มปีระโยชน์ในแนวทางที่จ ำากัดและแต่ละแบบใหค้วามเกี่ยวพนักับความรูท้างนิวเคลียรท์ี่ได้จากการทดลองได้เพยีงบางปรากฏการณ์ในชว่งแคบๆ แต่เมื่อประยุกต์กับขอ้มูลอ่ืนท่ีนอกเหนือไปก็ล้มเหลว

การพฒันาแบบจำาลองของนิวเคลียสเกิดขึ้นได้ด้วย 2 แนวทางคือ แนวคิดท่ีวา่สว่นประกอบของนิวเคลียสเป็นไปตามสถิติ ได้แก่แบบจำาลองแบบหยดของเหลว ซึ่งแบบจำาลองทางสถิติน้ีได้ผลสอดคล้องเป็นอยา่งดีกับการทดลองเมื่อจำานวนอนุภาคในระบบใหญ่มากๆ ถึงแมว้า่นิวเคลียสไมไ่ด้ประกอบด้วยจำานวนนิวคลีออนที่มากมาย แบบจำาลองทางสถิติน้ีก็อาจจะพฒันาใชก้ับนิวเคลียสของธาตหุนักและก็ได้พสิจูน์เป็นผลสำาเรจ็ แนวที่สองคือการสรา้งให้เหมอืนกับแบบจำาลองชัน้ของอะตอม คือคิดเหมอืนนิวคลีออนเป็นอนุภาคอิสระไมข่ึ้นต่อกันในระบบ

1. แบบจำาลองของเหลว

43

Page 44: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

44

แบบจำาลองของเหลว (Liquid drop model) โบร ์และวลีเลอร ์(J.A. Wheeler) เป็นผู้เสนอในปี ค.ศ. 1930 มสีมมติฐานวา่นิวเคลียสมลีักษณะเหมอืนหยดของเหลว โดยที่คิดวา่นิวคลีออนในนิวเคลียสเหมอืนกับโมเลกลุของของเหลว ในหยดของเหลว ถึงแมว้า่แรงนิวเคลียรร์ะหวา่งแรงนิวคลีออนจะเป็นแรงที่มคี่าสงู แต่จะเป็นแรงที่มผีลที่ระยะสัน้ จงึอาจคิดได้วา่นิวคลีออน หนึ่งๆ จะมอีันตรกิรยิากับนิวคลีออนเฉพาะที่อยูใ่กล้เคียง เชน่เดียวกับแรงระหวา่งโมเลกลุของของเหลว ซึ่งคิดเฉพาะโมเลกลุเคียงขา้งเท่านัน้ ตามแบบจำาลองนิวเคลียสที่มรีูปรา่งเป็นทรงกลม ซึ่งทำาใหน้ิวเคลียสมเีสถียรภาพที่ดีที่สดุ การที่นิวคลีออนรวมกันอยูเ่ป็นนิวเคลียสในแบบจำาลองนี้ อาจกล่าวได้ในรูปของพลังงานยดึเหนี่ยวของนิวคลีออน กล่าวคือ นิวเคลียสใดที่มีพลังงานยดึเหนี่ยวสงู จะแสดงการมเีสถียรภาพสงูของนิวเคลียสนัน้ พลังงานยดึเหนี่ยวในแบบจำาลองนี้อาจพจิารณาในรูปของพลังงานต่างๆ ดังน้ี

1.1 พลังงานปรมิาตรสมมติวา่ U เป็นพลังงานยดึเหนี่ยวระวา่งสองนิวคลีออนซึ่ง

พนัธะระหวา่งกัน ดังนัน้พลังงานยดึเหนี่ยวต่อนิวคลีออนจะเท่ากับ 12

U ถ้านิวคลีออนหนึ่งมนีิวคลีออนขา้งเคียงอยูโ่ดยรอบ เป็นจำานวน n นิวคลีออน นิวคลีออนที่อยูภ่ายในนิวเคลียสนัน้จะมพีลังงานเป็น 12 nU

ถ้า A เป็นจำานวนนิวคลีออนทัง้หมดในนิวเคลียส

พลังงานยดึเหน่ียวทัง้หมดของนิวเคลียส คือ Ev = 12

nU A หรอื Ev = a1A

เมื่อ Ev เรยีกวา่ พลังงานปรมิาตร (Volume energy)

44

Page 45: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

45

1.2. พลังงานพื้นผิว ตามความเป็นจรงิแล้วจะมนิีวคลีออนบางตัวอยูท่ี่ผิวนอกของ

นิวเคลียส นิวคลีออนประเภทน้ีจะมจีำานวนนิวคลีออนขา้งเคียงน้อยกวา่ n ตัว จงึทำาใหพ้ลังงานยดึเหน่ียวของนิวคลีออนตัวท่ีอยูผ่ิวของนิวเคลียสมน้ีอยกวา่ เมื่อเทียบกับนิวคลีออนท่ีอยูภ่ายใน ขึ้นอยู่กับพื้นผิวของนิวเคลียร ์ สำาหรบัรศัมขีอง R จะมพีื้นที่เท่ากับ 4 π R2

หรอื 4 π R0 A23 (เน่ืองจาก R = R0 A

13 เมื่อ A คือเลขมวล)

ดังนัน้ จำานวนนิวคลีออนที่อยูท่ี่ผิวของนิวเคลียส a A2/ 3

ฉะนัน้ จะมผีลทำาใหนิ้วเคลียสมพีลังงานยดึเหน่ียวลดลงไปด้วยพลังงาน ซึ่งเท่ากับ

ES = - a2 A2/ 3 เมื่อ ES เรยีกวา่ พลังงานพื้นท่ี (Surface energy)

1.3. พลังงานคลูอมบ์พลังงานคลูอมบ ์(Coulomb energy ) เป็นผลเนื่องจาก

แรงผลักระหวา่งโปรตอนซึ่งมปีระจุไฟฟา้บวกเหมอืนกัน จะมผีลทำาให้พลังงานยดึเหน่ียวของนิวเคลียสลดลง สำาหรบันิวเคลียสซึ่งมจีำานวนโปรตอนทัง้หมด Z

พลังงานคลูอมบ์ EC=a z ( z− 1 )

A13

a=1R

ดังนัน้ EC=−a3

z ( z − 1 )

A13

ดังนัน้ พลังงานยดึเหน่ียวทัง้หมดของนิวคลีออนในนิวเคลียร์

E=Ev + Es + EC

¿a1 A −a2

A13

− a3z ( z − 1 )

A13

หรอื พลังงานยดึเหน่ียว ต่อนิวคลีออนจะเท่ากับ

45

Page 46: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

46

E=

a1A

−a2

A13

− a3z ( z − 1 )

A13

(1.6)พลังงานยดึเหนี่ยวของนิวเคลียสตามสมการ (1.6) ทำาใหเ้หน็

วา่ค่าพลังงานยดึเหนี่ยวขึ้นอยูก่ับค่าของเลขมวล A และค่าประจุ Z และนับวา่สอดคล้องมากกับค่าพลังงานยดึเหนี่ยวของนิวเคลียสที่ได้จากการหาผลต่างมวล- พลังงานระหวา่งนิวเคลียสกับนิวคลีออนอิสระ ท่ีเท่ากับจำานวนท่ีมอียูใ่นนิวเคลียส เมื่อเขยีนกราฟระหวา่งพลังงานยดึเหนี่ยวต่อนิวคลีออนกับจำานวนนิวคลีออนจะมลัีกษณะกราฟ ดังรูปท่ี 19

รูป 19 แสดงพลังงานยดึเหนี่ยวต่อนิวคลีออนซึ่งเป็นผลรวมจากพลังงานปรมิาตรพลังงาน

พื้นผิว และพลังงานคลูอมล์

แบบจำาลองของเหลวนี้ สามารถอธบิายปรากฏการณ์ทางนิวเคลียรไ์ด้ดี เชน่ ในกระบวนการการแตกตัวของยูเรเนียม – 235 โดยการยงิอนุภาคนิวตรอน นิวตรอนจะเขา้ไปรบกวนนิวเคลียสของยูเรเนียมซึ่งมขีนาดใหญ่ ซึ่งเปรยีบเสมอืนของเหลวขนาดโต ใหม้กีารสัน่สะเทือนภายในนิวเคลียส จงึทำาใหส้ญูเสยีสภาพที่เป็นทรงกลม หรอืมกีารเปลี่ยนรูปไปจากเดิม และแรงนิวเคลียรเ์ป็นแรงระยะสัน้ก็

46

Page 47: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

47

จะสญูเสยีประสทิธภิาพในการยดึเหน่ียวไป เน่ืองจากนิวเคลียสมพีื้นท่ีมากขึ้นแต่นิวคลีออนมพีนัธะระหวา่งกันลดลง ทำาใหพ้ลังงานของนิวเคลียสลดลง พลังงานที่สญูเสยีไปนัน้ จะเป็นไปในรูปของการปล่อยรงัสแีกมมา และเมื่อแรงผลักทางไฟฟา้ของโปรตอนมคี่ามากกวา่แรงดดู นิวเคลียสจะสญูเสยีรูปทรงมากขึ้น จนกระทัง่แตกตัวออกเป็นสองสว่น คล้ายกับหยดของเหลวขนาดใหญ่ที่แตกออกมาเป็นหยดเล็กๆ ดังรูปท่ี 20

รูป 20 แบบจำาลองนิวเคลียสแบบหยดของเหลว

แบบจำาลองหยดของเหลวนี้ ไมส่ามารถอธบิายเกี่ยวกับสถานะถกูกระตุ้นของพลังงาน (excited energy) ซึ่งช ื่อวา่ต้องเกิดภายในนิวเคลียสได้อยา่งชดัเจน จงึมแีบบจำาลองอ่ืนตามมา

2. แบบจำาลองชัน้ (shell model)

47

Page 48: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

48

จากปรากฏการณ์หลายอยา่งและผลของการทดลอง แสดงวา่นิวคลีออนในนิวเคลียสประพฤติตัวเป็นอนุภาคที่อิสระไมข่ึ้นต่อกันเลย สถานการณ์เชน่นี้เหมอืนกับอิเล็กตรอนในอะตอม โดยที่อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ในอะตอมภายใต้อิทธพิลของแรงคลูอมบ ์ นิวคลีออนในนิวเคลียสก็เชน่เดียวกัน นิวคลีออนควรจะเคลื่อนที่ในสนามของแรงของน ิว เคล ียสซ ึ่ง เป ็นแรงในแนวศ ูนยก์ลาง โครงสรา้งของนิวเคลียสก็ควรเป็นทำานองเดียวกันกับอะตอม กล่าวคือ นิวคลีออนจะต้องมสีถานะควอนตัม (quantum states) ท ี่แน่นอนการเรยีงตัวของนิวคลีออนจะจดัอยู่ๆ เป็นชัน้ๆ และปฏิบติัไปต า ม ห ล ัก ก า ร ไ ม ซ่ อ้ ม ก ัน ข อ ง พ อ ด ี ( Pauli’s exclusion principle) โดยที่แต่ละสถานะพลังงานของนิวคลีออนจะถกูก ำาหนดดัวยเลขควอนตัม (quantum number) n และ ℓ แบบจำาลองนิวเคลียสดังกล่าวนี้ เรยีกวา่ แบบจ ำาลองช ัน้ (shell model)

การเรยีงตัวของอิเล็กตรอนเป็นชัน้ในอะตอมมลัีกษณะท่ีแสดงถึงสมบติัของอะตอมนัน้ ๆ เชน่ อะตอมท่ีมอิีเล็กตรอนเป็นจำานวน 2 10 18 36 54 และ 86 ตัวจะเป็นอะตอมที่มีอิเล็กตรอนครบชัน้พอดีจะแสดงสมบติัเป็นอะตอมท่ีเฉื่อยหรอือยูตั่วสถานการณ์น้ีก็พบเชน่เดียวกันกับนิวเคลียสท่ีมจีำานวนโปรตอนหรอืนิวตรอนเป็นจำานวนเท่ากับ 2 8 20 28 50 82 และ 126 จะเป็นนิวเคลียสที่มเีสถียรภาพมาก เชน่ 42He หรอื 16

8O ตัวเลขดังกล่าวนัน้เรยีกวา่ เลขพศิวง (Magic numbers)

ในแบบจำาลองนิวเคลียสแบบนี้ นอกจากได้มกีารเสนอวา่ นิวคลีออนเคลื่อนที่ภายใต้สนามของแรงในแนวศูนยก์ลาง แล้วยงัต้องคิดถึง อันตรกิรยิาสปิน-ออรบ์ติ (spin-orbit interaction) อีกด้วย เมื่อคิดถึงอันตรกิรยิานี้ด้วยแล้วจะมผีลทำาใหร้ะดับพลังงานตามค่าของ n และ l แยกออกเป็นหลังงานยอ่ยตามค่าของ j ซึ่งเป็นเลขควอนตัม เนื่องจากอันตรกิรยิาสปิน-ออรบ์ติ โดยที่ค่าของ

48

Page 49: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

49

j = ( l ± ½ ) เชน่ ระดับพลังงานซึ่งมคี่า n = 2 l = 1 จะได้วา่ j = 1/2 และ 3/2 ซึ่งนิยมเขยีนกำากับระดับพลังงานนัน้ๆ วา่ 2P1/2 และ 2P3/2

นอกจากนัน้แล้วแต่สถานะของ n l และ j จะม ีสถานะยอ่ยที่เป็นไปได้ซึ่งสามารถบรรจุนิวคลีออนได้สงูสดุถึง (2j + 1) เชน่ j = 1/2 , 3/2 , 5/2 , … จะบรรจุนิวคลีออนได้สงูสดุในแต่ละค่าของ j เป็นจำานวน 2, 4, 6,... ตามลำาดับ ดังนี้

1st shell:  2 states (n = 0, j = 1⁄2). 2nd shell:  6 states (n = 1, j = 1⁄2 or 3⁄2). 3rd shell: 12 states (n = 2, j = 1⁄2, 3⁄2 or 5⁄2). 4th shell:  8 states (n = 3, j = 7⁄2). 5th shell: 22 states (n = 3, j = 1⁄2, 3⁄2 or 5⁄2; n =

4, j = 9⁄2). 6th shell: 32 states (n = 4, j = 1⁄2, 3⁄2, 5⁄2 or 7⁄2; n

= 5, j = 11⁄2). 7th shell: 44 states (n = 5, j = 1⁄2, 3⁄2, 5⁄2, 7⁄2 or

9⁄2; n = 6, j = 13⁄2). 8th shell: 58 states (n = 6, j = 1⁄2, 3⁄2, 5⁄2, 7⁄2, 9⁄2

or 11⁄2; n = 7, j = 15⁄2).

และจะได้ตัวเลขพศิวงสำาหรบัจำานวนนิวตรอนหรอืโปรตอนในนิวเคลียสดังน้ี

  2   8=2+6  20=2+6+12  28=2+6+12+8  50=2+6+12+8+22  82=2+6+12+8+22+32 126=2+6+12+8+22+32+44 184=2+6+12+8+22+32+44+58

49

Page 50: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

50

ระดับพลังงานในชัน้ต่างๆ ของนิวคลีออนตามแบบจำาลองชัน้น้ีแสดงไวด้ังรูป 21

รูป 21 แสดงระดับพลังงานในชัน้ต่างๆ ของนิวคลีออนตามแบบจำาลองชัน้

ท่ีมา: http://en.wikipedia.org/wiki/Nuclear_shell_model

การศึกษาสมบตัิของนิวเคลียสพบวา่ สมบตัิของนิวเคลียสในตารางธาต ุมลีักษณะเป็นโครงสรา้งชัน้ (shell structure) โดยมีเหตผุลดังน้ี

1. จ ำา น ว น ข อ ง ไ อ โ ท ป เ ส ถ ีย ร (number of stable isotope) ของธาตทุี่มเีลขอะตอมตรงกับค่าของเลขพศิวง มจีำานวนไอโชโทปเสถียรมากกวา่ธาตขุา้งเคียง เชน่ แคลเซยีม ปฎิกิรยิานิวเคลียร์

การผลิตปฎิกิรยิานิวเคลียร์

50

Page 51: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

51

เราทราบวา่ใน พ.ศ 2454 รทัเธอรฟ์อรด์ ได้ค้นพบนิวเคลียส จากการศึกษา การกระเจงิของ อนุภาคอัลฟาโดยแผ่นโลหะบาง ต่อมาใน พ.ศ 2462 รทัเธอรฟ์อรด์ ก็ได ้ศึกษาการดดูกลืน อนุภาคอัลฟาในสสาร ซึ่งนำาไปสูก่ารค้นพบ การผลิตปฎิกิรยิานิวเคลียร์

รทัเธอรฟ์อรด์ใชอ้นุภาคอัลฟาจากการสลายตัวของโปโลเนียม เล็งไปในก๊าซไนโตรเจน และพบวา่เกิดโปรตอนขึ้น ดังสมการ

42He + 14

7N 189F 1

1H + 17

8O

แต่ธาตทุี่จะชนกับอนุภาคอัลฟาแล้วแตกออก เป็นเพยีงธาตุเบาเท่านัน้ เพราะธาตบุางชนิดมปีระจุไฟฟา้น้อยทำาใหอ้นุภาคอัลฟาไปได้ใกล้มาก ขณะที่ธาตหุนักจะผลักอนุภาคอัลฟาออกไปอยา่งแรงจนไมเ่กิดปฎิกิรยิา ซึ่งในกรณีนี้เราจะต้องใชอ้นุภาคที่มพีลังงานมากขึ้น หรอืประจุน้อยลง หรอืทัง้สองอยา่งพรอ้มกัน

อนุภาคที่เหมาะสมตัวหนึ่งคือ โปรตอน ซึ่งไมไ่ด้เกิดจากการสลายตัวของไฮโดรเจน โปรตอนมปีระจุครึง่หน่ึงของอนุภาคอัลฟาจงึควรจะใชย้งิธาตหุนักได้ดี ถ้ามพีลังงานสงูมากพอ โดยการเรง่ผ่านความต่างศักยไ์ฟฟา้ในเครื่องเรง่อนุภาค

เคร ื่องเรง่อนุภาคในยุคแรกประกอบเรง่ด้วยแหล่งไอออน บรเิวณสญุญากาศที่อนุภาคจะเรง่ไปและแหล่งศักยไ์ฟฟา้ที่ใชเ้รง่อนุภาค ปัญหาสำาคัญคือ ต้องสรา้งศักยไ์ฟฟา้ใหไ้ด้สงูๆ ซึ่งอาจจะใช้ตัวเก็บประจุจำานวนมากต่ออนุกรมกัน หรอือาจจะใชห้มอ้แปลงไฟฟา้ แต่ปัจจุบนันิยมใชเ้คร ื่องกำาเนิดไฟฟา้สถิตแบบแวนเดอกราฟฟ ์เพราะสามารถใหศ้ักยค์งที่ ซึ่งทำาใหท้ราบค่าพลังงานของไอออนได้แน่นอน

เครื่องเรง่อนุภาคอีกแบบหนึ่ง คือ ไซโคลตรอนซึ่งไมใ่ชศ้ักย์ซ ึ่งไมไ่ด้ใชศ้ักยไ์ฟฟา้สงู แต่ใชศ้ักยไ์ฟฟา้ตำ่าซ ำ้าๆ กันหลายๆ เที่ยว

51

Page 52: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

52

เคร ื่องเรง่อีกชนิดหนึ่งคือ เบตาตรอน ซึ่งใชก้ารเปลี่ยนแปลงของสนามแมเ่หล็กในการเรง่อนุภาค

การทดลองของค๊อกครอฟท์ - วลัตันปฏิกิรยิานิวเคลียรท์ี่มนุษยผ์ลิตขึ้นเป็นครัง้แรกโดยไมใ่ชอ้นุภา

คอัลฟาจากกัมมนัตรงัส ีได้กระทำา ในปี พ.ศ 2475 โดยค๊อกครอฟท์ และวลัตัน ซ ึ่งได้ใชโ้ปรตอนเป็นอนุภาคในการชนกับอะตอน นักฟสิกิสท์ัง้สองนี้ใชต้ัวเก็บประจุที่ต่ออนุกรมกันเป็นตัวเรง่โปรตอน และได้พลังงานถึง 700,000 อิเล็กตรอนโวลท์

ค็อกครอฟท์และวลัตันค้นพบวา่ มกัจะได้ปฏิกิรยิาที่เกิดยอ้นกลับกับปฏิกิรยิาที่เคยทราบกันแล้ว เชน่ อะตอมด้วยอนุภาคอัลฟามกัจะได้โปรตอน แต่เมื่อเอาโปรตอนเป็นตัวชนก็มกัจะได้อนุภาคอัลฟาปฏิกิรยิาที่น่าสนใจที่ค้นพบคือ ปฏิกิรยิาของลิเธยีมและฟลอูอรนี ซึ่งเขยีนเป็นสมการได้ดังน้ี

11H + 7

3Li 84Be + 42He + 4

2He

จากการอนุรกัษ์มวล พลังงานตามทฤษฎี สมัพทัธภาพ เราจะได้–สมการ

มวลโปรตอน + มวลลิเธยีม + พลังงานของตัวทำาปฏิกิรยิา

= 2 (มวลของอนุภาคอัลฟา + พลังงานของอนุภาคอัลฟา)เราอาจไมคิ่ดพลังงานจลน์ของโปรตอนได้ เพราะมค่ีาน้อยมากเทียบกับมวลของลิเธยีม สว่นลิเธยีมเป็นเป้านิ่งจงึไมม่พีลังงานจลน์ ดังนัน้ เราแทนค่าได้

1.007 amu + 7.0134 amu = 2 (4.0011 amu + Eka )

หรอื Eka = 0.0092 amu = 8.6Mev

52

Page 53: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

53

ในกรณีทีเป้านิ่งเป็นฟลอูอรนี ปฏิกิรยิาจะเป็น 1

1H + 199F 20

10Ne + 168O + 4

2He

การทดลองค็อกครอฟท์-วลัตัน มคีวามสำาคัญในฐานะท่ีใช้เครื่องเรง่ไอออนเป็นครัง้แรกในการผลิตปฏิกิรยิานิวเคลียร ์ และเป็นการทดลองท่ีใชพ้สิจูน์สมดลุของมวลและพลังงานตามสมการมวล-พลังงานในทฤษฏีสมัพทัธภาพ ซึ่งเป็นสมการที่มคีณุค่ามากในวชิาฟสิกิสนิ์วเคลียร์

ปฏิกิรยิานิวเคลียร ์มวล-พลังงาน ในปฏิกิรยิานิวเคลียรน์ัน้พลังงาน หรอื มวล-พลังงาน (mass

– energy) ก่อนปฏิกิรยิาและหลังปฏิกิรยิาจะต้องเท่ากันเสมอ ซึ่งเป็นไปตามกฎทรงพลังงาน ดังเชน่ ในการยงิอนุภาคโปรตอนไปยงัน ิวเคล ียสของล ิเท ียมแล ้วท ำา ให เ้ก ิดน ิวเคล ียสของฮ ีเล ียม 2 นิวเคลียส ดังสมการ

โดยท่ี มมีวล 7.0160 u มมีวล

4.0026 u มมีวล 1.0078 u

มวลก่อนเกิดปฏิกิรยิา =7.0160 u + 1.0078 u =8.0238 u

มวลหลังเกิดปฏิกิรยิา = 4.0026 u + 4.0026 u =8.0052

uมวลรวมก่อนเกิดปฏิกิรยิามากกวา่มวลรวมหลังปฏิกิรยิา = 8.0238 u - 8.0052 u = 0.0186 u

53

Page 54: บทที่ 1 อะตอมและนิวเคลียส  · Web view7. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้

บทท่ี 1 อะตอมและนิวเคลียส

54

แต่มวลสามารถเปล่ียนเป็นพลังงานได้โดย E = 0.0186 u ) = 17.32 MeVโดยพลังงานท่ีใหอ้อกมาอยูใ่นรูปคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟา้ท่ีออกมาจากปฏิกิรยิานิวเคลียร ์จงึเรยีก วา่พลังงานนิวเคลียร ์ดังนัน้เขยีนสมการขา้งต้นใหมไ่ด้วา่

54