มาตรฐานการติดตั้งระบบ...

มาตรฐานการติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ กรมศุลกากร

เอกสารแนบ


ส่วนพัฒนาคอมพวิเตอร์และเครือข่าย ส านักเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร กรมศุลกากร

1 /11 ปรับปรุงเมื่อ เมษายน 2562

การติดตั้งสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic)

1. การติดตั้งสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1.1 การติดตั้งภายในอาคาร

1.1.1 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ที่ติดตั้งจะต้องไม่มีการเชื่อมต่อใด ๆ ตลอดเส้นทาง เว้นแต่การ Terminate ด้านปลายเพื่อเข้าแผงกระจายสาย (Fiber Optic Patch Panel)

1.1.2 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ต้องต่อเข้ากับแผงกระจายสาย (Fiber Optic Patch Panel) ทุกเส้น (ทุก Core Fiber) และต้องมีสาย Fiber Patch Cord เชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ Switch หรือ Fiber Optic Patch Panel ในกรณีทีเ่ชื่อมต่อไปยังอาคารอ่ืน

1.1.3 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ต้องติดตั้งในท่อร้อยสายชนิด IMC, EMT, Flex กันน้ า หรือ Wire-way ตามข้อก าหนดของแต่ละโครงการ

1.1.4 การติดตั้งท่อร้อยสาย เช่น ท่อ EMT, รางร้อยสาย (Wire way), ท่อ IMC หรือ Flex กันน้ า จะต้อง ยึดติดกับโครงสร้างอาคาร เช่น ผนัง, เพดาน หรือโครงสร้างถาวรอ่ืนๆ เป็นต้น ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสวยงาม หากในอาคารมีช่อง Shaft ให้ท าการติดตั้งผ่านช่อง Shaft ของอาคารนั้น หากอาคารไม่มีช่อง Shaft ให้ท าการติดตั้งตามข้อก าหนดของแต่ละโครงการ

1.1.5 ท่อร้อยสายต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานไม่เป็นสนิม และไม่มีสิ่งอุดตันภายในท่อ 1.1.6 การเดินสายสื่อสารใยแก้ว (Fiber Optic) ภายในฝ้าเพดาน

1.1.6.1 กรณีฝ้าเพดานทีบาร์ (T-bar) ต้องใช้ท่อร้อยสายชนิด IMC, EMT, Flex กันน้ า หรือ Wire-way โดยจะต้องยึดติดกับโครงสร้างอาคาร หรือโครงสร้างถาวรอ่ืนๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสวยงาม ตามข้อก าหนดของแต่ละโครงการ

1.1.6.2 กรณทีี่เป็นฝ้าเพดานแบบเรียบเท่านั้น ที่อนุญาตให้ใช้ท่ออ่อน (Flexible Conduit) ได ้1.1.7 การดัดท่อต้องไม่ท าให้ท่อเสียรูปทรง และไม่ท าใหส้ายสื่อสารฯ ภายในท่อเสียหาย 1.1.8 กรณีที่จ าเป็นต้องเจาะผ่านพ้ืนหรือผนังของอาคาร ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของด่านศุลกากร/ส านักงาน

ศุลกากร โดยการกระท าดังกล่าวต้องไม่มีผลกระทบต่อความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากร ก่อนด าเนินการ

1.1.9 ให้ท าการส ารองระยะสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) เป็นระยะไม่น้อยกว่า 5 เมตร และต้องจัดเก็บสายให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

1.1.10 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) และสาย Fiber Patch Cord ต้องท าสัญญาลักษณ์ (Label) ทีป่ลายสายทั้งสองด้าน หรือติดเครื่องหมายบอกต าแหน่งทีป่ลายสายทั้งสองด้าน

1.1.11 ต้องน าส่งแบบประกอบการติดตั้งทั้งหมด ก่อนติดตั้งให้ด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากร พิจารณา และอนุมัติก่อนด าเนินการ

1.2 การติดตั้งสายภายนอกอาคาร

1.2.1 การเดินสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber optic) ระหว่างอาคารจะต้องเดินสายใต้ดิน ในระดับต่ ากว่าระดับถนน 30 ถึง 50 เซนติเมตร โดยใช้ท่อร้อยสายชนิด HDPE หรือดีกว่า ขึ้นอยู่กับข้อก าหนด ของแต่ละโครงการ




1.2.2 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber optic) ที่ใช้ในการเดินสาย ต้องเป็นเส้นเดียวกันตลอด ไม่มีการ ต่อสาย (splice) กลางทาง เว้นแต่การ Terminate ด้านปลายเพื่อเข้าแผงกระจายสาย (Fiber Optic Patch Panel)

1.2.3 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ต้องต่อเข้ากับแผงกระจายสาย (Fiber Optic Patch Panel) ทุกเส้น (ทุก Core Fiber) และต้องมีสาย Fiber Patch Cord เชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ Switch หรือ Fiber Optic Patch Panel ในกรณีทีเ่ชื่อมต่อไปยังอาคารอ่ืน

1.2.4 การเข้าหัวสายสื่อสารฯ ทุกจุดต้องท าสัญลักษณ์ (Label) ที่ปลายสายทั้งสองด้าน หรือติดเครื่องหมายบอกต าแหน่งทีป่ลายสายทั้งสองด้าน

1.2.5 ต้องมีบ่อพักสาย (HAND HOLE) ที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการติดตั้งสายสื่อสารฯ และมีฝาปิด ปากบ่อ โดยมีรูปแบบและระยะห่างตามความเหมาะสมในการติดตั้ง ตามที่ด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากรก าหนด และต้องท าการส ารอง (Loop) สายสื่อสารฯ ไม่น้อยกว่า 5 เมตร

1.2.6 ต้องมีการปิดผนึกปลายท่อร้อยสายทั้งสองด้านเพ่ือป้องกันสัตว์เข้าไปท าลายสาย 1.2.7 หากไม่สามารถเดินสายใต้ดินได้ ให้เดินสายสื่อสารฯ ด้วยวิธีการแขวนอากาศ หรือแขวนบนเสาไฟฟ้า

(Aerial) ในระดับความสูงจะต้องไม่น้อยกว่า 5 เมตร โดยมีลวดสลิงโลหะพันติดตลอดแนวสายสื่อสารฯ หากมีพ้ืนที่ใดที่จ าเป็นต้องเดินสายในระดับต่ ากว่า 5 เมตร จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากรก่อนด าเนินการ 1.2.7.1 ทุกจุดที่มีการติดตั้งข้ามถนนหรือทางแยกจะต้องมี ป้ายบอกความสูงติดตั้งไว้ทุกจุด

ให้สังเกตเห็นได้ชัดเจน 1.2.7.2 ทุกระยะ 500 เมตร ต้องท าการส ารอง (Loop) สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic)

ไม่น้อยกว่า 5 เมตร

ทั้งนี้ หากไม่สามารถเดินสายสื่อสารฯ ด้วยวิธีการแขวนอากาศ หรือแขวนบนเสาไฟฟ้าได้ สามารถติดตั้งสายสื่อสารฯ ภายในรางเดินสายภายนอกอาคาร ( Cable Tray Outdoor) ที่มีขนาดเหมาะสมกับจ านวนสายสื่อสารฯ และกันน้ ารั่วซึมได้ โดยจะต้อง ได้รับความเห็นชอบจาก ด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากร ก่อนด าเนินการ

1.2.8 หากมีความจ าเป็นต้องเดินสายสื่อสารฯ ในทางสาธารณะ หรือพ้ืนที่นอกเหนือความรับผิดชอบ ของด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากร ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง, กรมทางหลวง, การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าภูมิภาค, การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมอุทยานฯ เป็นต้น

1.2.9 ต้องน าส่งแบบประกอบการติดตั้งทั้งหมด ก่อนติดตั้งให้ด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากร พิจารณา และอนุมัติการด าเนินการ

2. สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ชนิด Single mode มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้

2.1 เป็นสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ชนิด Single mode ส าหรับติดตั้งภายนอกและภายในอาคาร(Outdoor/Indoor) แบบ FR-LSZH เพ่ือไมใ่ห้เกิดควันพิษเมื่อมีเหตุอัคคีภัย

2.2 เป็นสายสื่อสารฯ ชนิด Single mode ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 11801,ANSI/TIA-568-C.3, Telcordia(Bellcore) GR-409-CORE, Telcordia (Bellcore) GR-20-CORE, ANSI/ICEA 696, ANSI/ICEA 596, IEC 61034-2, IEC 60754-2,ITU-T G.652D และ RoHS เป็นอย่างน้อย

2.3 มีชั้น Strength Member ท ามาจาก E-Glass Yarn เพ่ือช่วยรับแรงดึงและป้องกันสัตว์กัดแทะ




2.4 มี Loose Tube ท าจากวัสดุ PBT และมีสารภายใน Loose Tube เป็น Thixotropic Jelly เพ่ือช่วยป้องกันความชื้น

2.5 มี Water blocking tape เพ่ือช่วยป้องกันน้ ารั่วซึม 2.6 ขนาดของสาย Fiber optic จะต้องเป็นแบบ 9/125 µm ชนิด 6 core หรือมากกว่า 2.7 รับแรงดึงขณะติดตั้งได้ไม่น้อยกว่า 2,700 N และขณะใช้งานไม่น้อยกว่า 600 N 2.8 ทนอุณหภูมิขณะใช้งานตั้งแต ่-40°C ถึง 70°C และขณะเก็บรักษาตั้งแต่ -40°C ถึง 75°C 2.9 เปลือกนอกของสายเป็นสีด าผลิตจาก HDPE 2.10 ที่ความยาวคลื่น 1310 nm มีค่า Max. ไม่เกิน 0.35 dB/km และมีค่า Typ. Attenuation ไม่เกิน 0.33 dB/km 2.11 ที่ความยาวคลื่น 1550 nm มีค่า Max. ไม่เกิน 0.21 dB/km และมีค่า Typ. Attenuation ไม่เกิน 0.19 dB/km 2.12 มี Ripcord เพ่ือช่วยให้ง่ายในการปอกสาย 2.13 รองรับมาตรฐาน IEEE 802.3 Ethernet, Fast Ethernet, Gigabit Ethernet เป็นอย่างน้อย

3. สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ชนิด Multi mode มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้

3.1 เป็นสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ชนิด Single mode ส าหรับติดตั้งภายนอกและภายในอาคาร(Outdoor/Indoor) แบบ FR-LSZH เพ่ือไมใ่ห้เกิดควันพิษเมื่อมีเหตุอัคคีภัย

3.2 เป็นสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ชนิด Single mode ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 11801,ANSI/TIA-568-C.3, Telcordia (Bellcore) GR-409-CORE, Telcordia (Bellcore) GR-20-CORE ,ANSI/ICEA 696, ANSI/ICEA 596, IEC 61034-2, IEC 60754-2, ITU-T G.651 และ RoHS เป็นอย่างน้อย

3.3 เป็นสายสื่อสารฯ ชนิด Multimode แบบ 50/125 µm จ านวนไม่น้อยกว่า 6 cores 3.4 มี Loose Tube ท าจากวัสดุ PBT และมีสารภายใน Loose Tube เป็น Thixotropic Jelly เพ่ือช่วยป้องกัน

ความชื้น 3.5 มีชั้น Strength Member ท ามาจาก E-Glass Yarn เพ่ือช่วยรับแรงดึงและป้องกันสัตว์กัดแทะ 3.6 สายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) สามารถติดตั้งได้ทั้งภายนอกอาคารและภายในอาคาร โดยมี

โครงสร้างปราศจากส่วนที่เป็นโลหะเพ่ือป้องกันการน าไฟฟ้า 3.7 ที่ความยาวคลื่น 850 nm มีค่า Max. ไม่เกิน 2.7 dB/km และมีค่า Typ. Attenuation ไม่เกิน 2.3 dB/km 3.8 ที่ความยาวคลื่น 1300 nm มีค่า Max. ไม่เกิน 0.8 dB/km และมีค่า Typ. Attenuation ไม่เกิน 0.6 dB/km 3.9 อัตราการสูญเสียสัญญาณสูงสุด (Maximum Attenuation) ของสายสื่อสารใยแก้วน าแสงแต่ละเส้นไม่เกิน

2.7 dB/Km ที่ความยาวคลื่นแสง 850 นาโนเมตรและไม่เกิน 0.8 dB/Km ที่ความยาวคลื่นแสง 1300 นาโนเมตร

3.10 ทนอุณหภูมิขณะใช้งาน, ขณะติดตั้งตั้งแต่ -40°C ถึง 70°C และขณะเก็บรักษาตั้งแต่ -40°C ถึง 75°C 3.11 ทนแรงดึงได้ไม่น้อยกว่า 2,670 นิวตัน (N) ในช่วงติดตั้ง 3.12 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของสายไม่เกิน 11.0 มิลลิเมตร 3.13 มี Water blocking tape เพ่ือช่วยป้องกันน้ ารั่วซึม 3.14 เปลือกนอกของสายเป็นสีด าผลิตจาก HDPE 3.15 มี Ripcord เพ่ือช่วยให้ง่ายในการปอกสาย 3.16 รองรับมาตรฐาน IEEE 802.3 Ethernet, Fast Ethernet, Gigabit Ethernet เป็นอย่างน้อย




4. สายเชื่อมต่อสายสื่อสารใยแก้วน าแสง ( Fiber Optic Patch Cord) 4.1 เป็นชนิด Multi mode หรือ Single mode โดยขึ้นอยู่กับข้อก าหนดชนิดของสาย Fiber Optic ของแต่ละ

โครงการ โดยที่ปลายสายด้านหนึ่งเป็นหัวแบบ ST (ส าหรับเชื่อมต่อแผงพักสายสื่อสารใยแก้วน าแสง) และอีกฝั่งเป็นหัวแบบ LC (ส าหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์กระจายสัญญาณ)

4.2 ต้องเป็นสายส าเร็จรูปจากโรงงานและผ่านการควบคุมคุณภาพและทดสอบ 100% 4.3 ในกรณีที่เป็นสายแบบ Multi mode มีค่า Max.Insertion Loss ไม่เกิน 0.30 dB, มีค่า Return Loss

ไม่น้อยกว่า 20 dB 4.4 ในกรณีที่เป็นสายแบบ Single mode มีค่า Max.Insertion Loss ไม่เกิน 0.30 dB, มีค่า Return Loss

ไม่น้อยกว่า 50 dB 4.5 มีความยาวของสายอย่างน้อย 3 เมตรโดยเปลือกนอกของสายเป็นชนิด FR-LSZH เพ่ือไม่ให้เกิดควันพิษเมื่อ

มีเหตุอัคคีภัย 4.6 ทนอุณหภูมิขณะใช้งาน และขณะเก็บรักษาไดต้ั้งแต่ -40°C ถึง 75°C 4.7 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันกับสายสื่อสารใยแก้วน าแสง

5. แผงพักสายสือ่สารใยแก้วน าแสง (Optic Fiber Patch Panel) มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้

5.1 มี Adapter Plates ชนิด ST ตามจ านวนที่ใช้งาน สามารถเชื่อมต่อหัวสายสื่อสารใยแก้วน าแสงที่เป็น แบบ ST (ST Connector) ได ้

5.2 ต้องมีท่ีจัดสายและขดสายภายใน Enclosure 5.3 เป็นแบบที่สามารถติด Label ได ้5.4 ท าจากวัสดุเหล็กเคลือบสี หรือดีกว่า 5.5 สามารถติดตั้งบนตู้สื่อสารขนาดมาตรฐาน 19 นิ้วได้

6. การทดสอบสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) (Testing Cabling System) จะต้องทดสอบ ดังนี้ 6.1 ทดสอบตามมาตรฐานของระบบสายสื่อสาร EIA/TIA 568 ส าหรับสาย โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Optical

Time Domain Reflextometery (OTDR) ในการทดสอบ 6.2 ทดสอบตามมาตรฐานข้อก าหนดการติดตั้งสายสื่อสารใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) ของมาตรฐานการติดตั้ง

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ กรมศุลกากร




คุณสมบัติอุปกรณ์ระบบเครือข่ายสายสื่อสาร LAN

7. การติดตั้งสายสื่อสาร ชนิดสายทองแดงแบบตีเกลียว (UTP CAT 6) ภายในอาคาร มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 7.1 สายทองแดงแบบตีเกลียว (UTP CAT 6) ที่ใช้ในการติดตั้งต้องมีความยาวต่อเนื่อง ไม่มีการเชื่อมต่อระหว่างทาง 7.2 ฝั่งอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Switch Layer2 ต้องติดตั้งผ่านแผงกระจายสาย (Patch Panel) และใช้

สาย UTP Patch Cord เชื่อมต่อจากแผงกระจายสาย (Patch Panel) ไปยังอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Switch Layer2

7.3 ฝั่งอุปกรณ์ปลายทาง เช่น Computer, Printer หรือ IP Phone เป็นต้น ต้องติดตั้งผ่านเต้ารับสายสื่อสารตัวเมีย (Outlet) หรือ RJ 45 modular Jack CAT6 และใช้สาย UTP Patch Cord เชื่อมต่อจาก เต้ารับสายสื่อสารตัวเมีย (Outlet) หรือ RJ 45 modular Jack CAT6 ไปยังอุปกรณ์ปลายทาง

7.4 ต้องติดตั้งภายในท่อร้อยสายชนิด IMC, EMT, Flex กันน้ า หรือ Wire-way ตามข้อก าหนดของแต่ละโครงการ

7.5 การติดตั้งท่อร้อยสาย เช่นท่อ EMT, รางร้อยสาย (Wire way), ท่อ IMC หรือ Flex กันน้ า ต้องยึดติดกับโครงสร้างอาคารเช่น ผนัง, เพดาน หรือโครงสร้างถาวรอื่นๆ เป็นต้น ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสวยงาม หากในอาคารมีช่อง Shaft ให้ท าการติดตั้งโดยผ่านช่อง Shaft ของอาคารนั้น หากอาคารที่ไม่มีช่อง Shaft ให้ท าการติดตั้งตามข้อก าหนดของแต่ละโครงการ

7.6 ท่อร้อยสายต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานไม่เป็นสนิม หรือไม่มีสิ่งอุดตันภายในท่อ 7.7 การเดินสายทองแดงแบบตีเกลียว (UTP CAT 6) ภายในฝ้าเพดาน

7.7.1 กรณีฝ้าเพดานทีบาร์(T-bar) ต้องใช้ท่อร้อยสายชนิด IMC, EMT, Flex กันน้ า หรือ Wire-way โดยจะต้องยึดติดกับโครงสร้างอาคาร หรือโครงสร้างถาวรอ่ืนๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสวยงามตามข้อก าหนดของแต่ละโครงการ

7.7.2 กรณีฝ้าเพดานแบบเรียบเท่านั้น ทีอ่นุญาตให้ใช้ท่ออ่อน (Flexible Conduit) ได ้7.8 การเดินสายบนพ้ืน ต้องใช้อลูมิเนียมหลังเต่าทรงสูงครอบสาย 7.9 การดัดท่อต้องไม่ท าให้ท่อเสียรูปทรง และไม่ท าให้สายสื่อสารฯ ภายในท่อเสียหาย 7.10 กรณีที่จ าเป็นต้องมีการเจาะผ่านพ้ืนหรือผนังของอาคารให้ขึ้นกับดุลยพินิจของด่านศุลกากร/ส านักงาน

ศุลกากร โดยการกระท าดังกล่าวต้องไม่มีผลกระทบต่อความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร และจะต้องได้รับความเห็นชอบก่อนด าเนินการ

7.11 ต้องติดตั้งสาย UTP Patch Cord (ทั้งฝั่งต้นทาง และปลายทางของสาย) ให้ครบตามจ านวนสายทองแดงแบบตีเกลียว (UTP CAT 6) ที่ติดตั้งทั้งหมดในโครงการ

7.12 ต้นสายและปลายสายทุกจุดต้องท าสัญลักษณ์ (Label) หรือติดเครื่องหมายบอกต าแหน่งปลายสายทั้งสองด้าน 7.13 ต้องน าส่งแบบประกอบการติดตั้งทั้งหมด ก่อนติดตั้งให้ด่านศุลกากร/ส านักงานศุลกากร พิจารณาและ

อนุมัติการด าเนินการ

8. สายทองแดงแบบตีเกลียว UTP CAT 6 ชนิดภายในอาคาร มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้ 8.1 เป็นสายทองแดงแบบตีเกลียว 4 คู่สายชนิด UTP CAT 6 (Unshielded Twisted Pair) 8.2 มีคุณสมบัติตามเป็นไปตามมาตรฐาน ANSI/TIA-568-C.2 Category 6, ISO/IEC 11801:2002 Class E

เป็นอย่างน้อย




8.3 รองรับการใช้งาน 1000 BASE-T, 100 BASE-TX, 10 BASE-T, POE, VoIP, Analog & Digital Voice, Digital & Analog Video เป็นอย่างน้อย

8.4 มีเปลือกนอกชนิดป้องกันการลามไฟและไม่เกิดควันพิษเม่ือมีเหตุอัคคีภัย 8.5 มีตัวน าเป็นทองแดง (Solid Bare Copper) ขนาด 23 AWG 8.6 มีฉนวนหุ้มทองแดง ท าจาก HDPE ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 0.99 mm. 8.7 มี Filler slot ท าจากวัสดุ FRPE และออกแบบเป็น Cross Filler แยกทุกคู่สายเพ่ือป้องกันการรบกวน

ระหว่างคู่สาย 8.8 ภายในมี Ripcord อยู่ใต้เปลือก Jacket เพ่ือช่วยให้ง่ายในการปอกสาย 8.9 เปลือกนอกของสายเป็นสีขาวผลิตจาก Lead Free, FR-LSZH เหมาะส าหรับติดตั้งภายในอาคาร 8.10 สามารถท างานได้ที่อุณหภูมิระหว่าง -20 ถึง +60 องศาเซลเซียสและสามารถ เก็บรักษาได้ที่อุณหภู มิ

ระหว่าง -20 ถึง +80 องศาเซลเซียส 8.11 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันกับแผงกระจายสาย UTP CAT6

9. แผงกระจายสาย (Patch Panel) UTP CAT 6 มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้ 9.1 เป็นแผงกระจายสาย UTP CAT6 ที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐาน ANSI/TIA-568-C.2, ISO/IEC 11801:2002

เป็นอย่างน้อย 9.2 มีจ านวนพอร์ต เท่ากับจ านวนพอร์ตบนอุปกรณ์กระจายสัญญาณที่ติดตั้งร่วมกัน 9.3 มีตัวเลขก ากับประจ าพอร์ต ทุกพอร์ต 9.4 สามารถรองรับการใช้งาน 1000 BASE-T, 100 BASE-TX, 10 BASE-T, POE, VoIP, Analog & Digital

Voice, Digital & Analog Video เป็นอย่างน้อย 9.5 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันกับสายทองแดงตีเกลียว UTP CAT6 9.6 ติดตั้งเข้ากับตู ้RACK ขนาด 19 นิ้วมาตรฐานได้

10. เต้ารับสายสื่อสารตัวเมีย (Outlet) หรือ RJ 45 modular Jack CAT6 มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้ 10.1 รองรับการใช้งาน 1000 BASE-T, POE, VoIP, Analog & Digital Voice, Digital & Analog Video

เป็นอย่างน้อย 10.2 เต้ารับสายสื่อสารตัวเมีย (Outlet) หรือ RJ 45 modular Jack CAT6 เป็นชนิดเข้าสายด้านหลังแบบ 110 IDC 10.3 รองรับมาตรฐานการเข้าสายได้ทั้ง T568A และ T568B 10.4 มีหน้ากากส าหรับเต้ารับสายแบบสีขาวมันเงาพร้อมชัตเตอร์

10.4.1 สามารถรองรับการใช้งานกับ RJ45 Jack และ Tool Free RJ45 Jack ได้ 10.4.2 มีจ านวนช่องส าหรับใช้งานจ านวน 1ช่อง หรือ 2 ช่องตามการใช้งาน 10.4.3 มีสีขาวมันเงาใกล้เคียงกับหน้ากากไฟฟ้า 10.4.4 มีชัตเตอร์ด้านหน้า เพ่ือป้องกันฝุ่นละออง เวลาไม่ใช้งาน 10.4.5 ออกแบบเป็นหน้ากาก 2 ชั้นประกอบไปด้วยส่วนหลัก(Base) เพ่ือยึดกับเต้ารับ และหน้ากาก(Face

Plate) เพ่ือปิดรูสกรู 10.4.6 ผ่านการรับรองมาตรฐาน RoHS

10.5 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันกับสายทองแดงตีเกลียว UTP CAT6




11. สายทองแดงคู่บิดเกลียวเชื่อมต่อ UTP Patch Cord มีคุณลักษณะเฉพาะข้ันต่ า ดังนี้ 11.1 เป็นสาย Patch Cord ชนิด UTP Category 6 ส าเร็จรูปจากโรงงาน 11.2 รองรับการใชง้าน 1000 BASE-T, POE, VoIP, Analog & Digital Voice, Digital & Analog Video เป็นอย่างน้อย 11.3 ปลายสายทั้งสองด้านเป็นหัว RJ45 modular plug ตัวผู้ ยึดติดกับบูท 11.4 มีเปลือกนอกเป็นชนิดป้องกันการลามไฟและไม่เกิดควันพิษ เมื่อมีเหตุอัคคีภัย เพ่ือเพ่ิมความปลอดภัยและ

ลดการสูญเสียของผู้ใช้งาน 11.5 มีฉนวนหุ้มทองแดง ท าจาก HDPE 11.6 เปลือกนอกท าจากวัสดุ Lead free, FR-LSZH 11.7 มีระยะความยาวสายเหมาะสมในการติดตั้ง 11.8 เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมีเครื่องหมายการค้าเดียวกันกับสายทองแดงตีเกลียว UTP CAT6




อุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Switch Layer2), ตู้เก็บอุปกรณ์มาตรฐาน 19” (19” Wave Wall Rack), เครื่องส ารองไฟ (UPS)

12. อุปกรณ์กระจายสัญญาณ Switch Layer 2 แบบท่ี 1 (24 พอร์ต) 12.1 มีพอร์ต Gigabit Ethernet แบบ 10/100/1000BASE-T จ านวนไม่น้อยกว่า 24 พอร์ต 12.2 มีพอร์ต Gigabit Ethernet แบบ 1000BASE-X ชนิด SFP จ านวนไม่น้อยกว่า 4 พอร์ต พร้อมเสนอโมดูล

SFP Gigabit Ethernet แบบ LC ชนิด Multi mode หรือ Single mode (ขึ้นอยู่กับชนิดของสายใยแก้วน าแสง Fiber Optic ) จ านวนไม่น้อยกว่า 2 หน่วย

12.3 มีขนาด Switching Capacity หรือ Switching Bandwidth รวมไม่น้อยกว่า 216 Gbps และ มีประสิทธิภาพในการส่งผ่านข้อมูล Forwarding Rate ไม่น้อยกว่า 71 Mpps

12.4 มีหน่วยความจ าหลัก (Memory) ขนาดไม่น้อยกว่า 512 MB และมีหน่วยความจ าชนิด Flash memory ขนาดไม่น้อยกว่า 128 MB

12.5 สนับสนุนจ านวน MAC Address ได้สูงสุดไม่น้อยกว่า 16,000 MAC Addresses 12.6 ท า VLAN ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 VLAN 12.7 รองรับการท า Stackable Switch ได้ไม่น้อยกว่า 8 ตัว 12.8 รองรับการท า Routing ได้แก่ Static, RIP, OSPFv3 และ (PBR หรือ Filter Based Forwarding FBIF) ได้

เป็นอย่างน้อย 12.9 สนับสนุน Uni-Directional Link Detection (UDLD) หรือ OAM Link Fault Management หรือ

Connectivity Fault Management ส าหรับตรวจสอบความผิดพลาดของการเชื่อมต่อสายสื่อสารได ้12.10 สนับสนุน IP Multicast Membership ได้แก่ IGMPv3 snooping, MLDv2 snooping และ IGMP

Filtering ได้เป็นอย่างน้อย 12.11 ให้บริการเป็น DHCP Server ได ้12.12 ก าหนดคุณภาพการให้บริการ Quality of Service (QoS) ได ้12.13 มีฟังก์ชั่นป้องกันการโจมตี หรือการบุกรุกได ้ดังนี้

12.13.1 Broadcast Multicast Unicast Storm Control 12.13.2 Port Security 12.13.3 BPDU Guards หรือ BPDU Protection 12.13.4 Spanning Tree Root Guard หรือ Root Protection 12.13.5 Private VLAN 12.13.6 DHCP Snooping 12.13.7 Dynamic ARP Inspection หรือ Dynamic ARP Protection 12.13.8 DHCP Guard หรือ DHCPv6 Protection

12.14 ก าหนด MAC Address และจ านวนที่ใช้งานในแต่ละพอร์ตได้ (Port Security) และสนับสนุนการท า MAC Address Notification โดยแจ้งเตือน MAC ที่เพ่ิม (Learn) หรือลบ (Remove) ออกไปได ้

12.15 ก าหนดอัตรา (Rate) ของ Control Packet ได้แก่ ARP, DHCP และ IGMP เพ่ือป้องกัน CPU Overload ได ้12.16 รองรับการท างานตามฟังก์ชั่น ดังนี้

12.16.1 Link Aggregation หรือ Ether Channel 12.16.2 SPAN Port หรือ Port Mirroring 12.16.3 Remote SPAN/Remote Mirroring




12.17 สนับสนุนด้านการตรวจสอบและยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน (Authentication) ดังต่อไปนี้ 12.17.1 IEEE 802.1x และ User/MAC-Authentication 12.17.2 IEEE 802.1x แบบ Guest VLAN, VLAN Assignment, ACLs หรือ Per-User ACLs

12.18 ท า SLA Monitoring ได้ 12.19 จัดเก็บข้อมูลสถิติการใช้งานเครือข่าย (Flow Usage Statistic) ตามมาตรฐาน Netflow หรือ sFlow ได ้12.20 บริหารจัดการแบบ Command Line Interface (Telnet และ SSH), Web Browser (HTTP) ได ้12.21 ผ่านการรับรองตามมาตรฐานความปลอดภัย ICE หรือ IEC หรือ CB-IEC 12.22 ติดตั้งบน Rack 19” ได้

13. อุปกรณ์กระจายสัญญาณ Switch Layer 2 แบบที่ 2 (48 พอร์ต)

13.1 มีพอร์ต Gigabit Ethernet แบบ 10/100/1000BASE-T จ านวนไม่น้อยกว่า 48 พอร์ต 13.2 มีพอร์ต Gigabit Ethernet แบบ 1000BASE-X ชนิด SFP จ านวนไม่น้อยกว่า 4 พอร์ต พร้อมเสนอโมดูล

SFP Gigabit Ethernet แบบ LC ชนิด Multi mode หรือ Single mode (ขึ้นอยู่กับชนิดของสายใยแก้วน าแสง Fiber Optic) จ านวนไม่น้อยกว่า 2 หน่วย

13.3 มีขนาด Switching Capacity หรือ Switching Bandwidth รวมไม่น้อยกว่า 216 Gbps และมีประสิทธิภาพในการส่งผ่านข้อมูล Forwarding Rate ไม่น้อยกว่า 107 Mpps

13.4 มีหน่วยความจ าหลัก (Memory) ขนาดไม่น้อยกว่า 512 MB และมีหน่วยความจ าชนิด Flash memory ขนาดไม่น้อยกว่า 128 MB

13.5 สนับสนุนจ านวน MAC Address ได้สูงสุดไม่น้อยกว่า 16,000 MAC Addresses 13.6 ท า VLAN ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 VLAN 13.7 รองรับการท า Stackable Switch ได้ไม่น้อยกว่า 8 ตัว 13.8 รองรับการท า Routing ได้แก่ Static, RIP, OSPFv3 และ (PBR หรือ Filter Based Forwarding FBIF) ได้

เป็นอย่างน้อย 13.9 สนับสนุน Uni-Directional Link Detection (UDLD) หรือ OAM Link Fault Management หรือ

Connectivity Fault Management ส าหรับตรวจสอบความผิดพลาดของการเชื่อมต่อสายสื่อสารได ้13.10 สนับสนุน IP Multicast Membership ได้แก่ IGMPv3 snooping, MLDv2 snooping และ IGMP

Filtering ได้เป็นอย่างน้อย 13.11 ให้บริการเป็น DHCP Server ได ้13.12 ก าหนดคุณภาพการให้บริการ Quality of Service (QoS) ได ้13.13 มีฟังก์ชั่นป้องกันการโจมตี หรือการบุกรุก ได้ดังนี้

13.13.1 Broadcast Multicast Unicast Storm Control 13.13.2 Port Security 13.13.3 BPDU Guards หรือ BPDU Protection 13.13.4 Spanning Tree Root Guard หรือ Root Protection 13.13.5 Private VLAN 13.13.6 DHCP Snooping 13.13.7 Dynamic ARP Inspection หรือ Dynamic ARP Protection 13.13.8 DHCP Guard หรือ DHCPv6 Protection




13.14 ก าหนด MAC Address และจ านวนที่ใช้งานในแต่ละพอร์ตได้ (Port Security) และสนับสนุนการท า MAC Address Notification โดยแจ้งเตือน MAC ที่เพ่ิม (Learn) หรือลบ (Remove) ออกไปได ้

13.15 ก าหนดอัตรา (Rate) ของ Control Packet ได้แก่ ARP, DHCP และ IGMP เพ่ือป้องกัน CPU Overload ได ้13.16 รองรับการท างานตามฟังก์ชั่น ดังนี้

13.16.1 Link Aggregation หรือ Ether Channel 13.16.2 SPAN Port หรือ Port Mirroring 13.16.3 Remote SPAN/Remote Mirroring

13.17 สนับสนุนด้านการตรวจสอบและยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน (Authentication) ดังต่อไปนี้ 13.17.1 IEEE 802.1x และ User/MAC-Authentication 13.17.2 IEEE 802.1x แบบ Guest VLAN, VLAN Assignment, ACLs หรือ Per-User ACLs

13.18 ท า SLA Monitoring ได้ 13.19 จัดเก็บข้อมูลสถิติการใช้งานเครือข่าย (Flow Usage Statistic) ตามมาตรฐาน Netflow หรือ sFlow ได ้13.20 บริหารจัดการแบบ Command Line Interface (Telnet และ SSH), Web Browser (HTTP) ได ้13.21 ผ่านการรับรองตามมาตรฐานความปลอดภัย ICE หรือ IEC หรือ CB-IEC 13.22 ติดตั้งบน Rack 19” ได้

14. ตู้เก็บอุปกรณ์มาตรฐาน 19 นิ้ว (19” Wave Wall Rack) ชนิดติดผนัง 14.1 ติดต้ังอุปกรณก์ระจายสัญญาณ Switch Layer 2 ทั้งสองแบบได ้14.2 มีขนาดความสูง 9U, 12U หรือแล้วแต่ความเหมาะสมในการติดตั้ง โดยมีความกว้างด้านหน้า 600 mm.

ขนาดความลึก 600 mm. 14.3 ตู้ผลิตจากเหล็ก Electro Galvanize sheet 14.4 เป็นตู้เก็บอุปกรณ์แบบแขวนผนัง ประกอบด้วยประตูหน้า ตู้ส่วนกลาง และส่วนหลัง 14.5 ด้านบนและด้านล่างมีช่อง ส าหรับร้อยสายสื่อสารและสายไฟ 14.6 มีกุญแจส าหรับล็อค 14.7 ฝาประตูด้านหน้าจะต้องมองเห็นอุปกรณ์ที่อยู่ด้านในได้ หรือเป็นฝาประตแูบบเจาะรูที่ระบายอากาศได้ 14.8 ติดตั้งพัดลมระบายอากาศไม่น้อยกว่า 2 ตัว 14.9 ติดตั้งรางไฟขนาด 15 แอมป์ รองรับแรงดัน 220VAC, 50 Hz มี Overload Protection พร้อม LED

Power Indicator ส าหรับแสดงสถานะการท างาน โดยจ านวนช่อง (Outlet) ต้องเพียงพอกับอุปกรณ์ที่น ามาติดตั้งภายในตู้ และห้ามน ารางไฟมาต่อในลักษณะต่อพ่วงกัน

14.10 มีสายกราวด์เชื่อมต่อภายในตู้เพ่ือความปลอดภัยในการใช้งาน

15. ตู้เก็บอุปกรณ์มาตรฐาน 19 นิ้ว (19” Curve Wave Rack) ชนิดตั้งพ้ืน 15.1 ติดต้ังอุปกรณก์ระจายสัญญาณ Switch Layer 2 ทั้งสองแบบได ้15.2 มีขนาดความสูง 15U,27U,42U หรือแล้วแต่ความเหมาะสมในการติดตั้ง มีความกว้างด้านหน้า 600 mm.

หรือ 800 mm. ขนาดความลึก 600 mm. หรือ 800 mm. หรือ 1100 mm. แล้วแต่ความเหมาะสมในการติดต้ัง

15.3 ตู้ออกแบบเป็นระบบ Modular Knock Down เพ่ือสะดวกในการประกอบและการเปลี่ยนแปลงเพ่ิมเติมอุปกรณ ์




15.4 ตู้ผลิตจากเหล็ก Electro Galvanize sheet 15.5 มีกุญแจส าหรับล็อค 15.6 ฝาประตูด้านหน้าจะต้องมองเห็นอุปกรณ์ที่อยู่ด้านในได้ หรือเป็นฝาประตแูบบเจาะรูที่ระบายอากาศได้ 15.7 มีตัวเลขบอกต าแหน่ง U เพ่ือความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ ์15.8 ด้านบนและด้านล่างมีช่อง ส าหรับร้อยสายสื่อสารและสายไฟ 15.9 มีขาตั้ง ปรับขึ้น – ลงได้ และมีลูกล้อเป็นแบบแป้นหมุน 360 องศา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย 15.10 ติดตั้งรางไฟขนาด 15 แอมป์ รองรับแรงดัน 220VAC, 50 Hz มี Overload Protection พร้อม LED

Power Indicator ส าหรับแสดงสถานะการท างาน โดยจ านวนช่อง (Outlet) ต้องเพียงพอกับอุปกรณ์ที่น ามาติดตั้งภายในตู้ และห้ามน ารางไฟมาต่อในลักษณะต่อพ่วงกัน

15.11 มีสายกราวด์เชื่อมภายในตู้เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

16. เครื่องส ารองไฟฟ้า (UPS) ส าหรับใช้งานกับอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Switch Layer 2 16.1 เครื่องขนาด 600VA โดยที่แบตเตอรี่ต้องอยู่ในตู้เดียวกันกับเครื่อง UPS (Built in Cabinet) 16.2 มีระบบการท างานแบบ Line Interactive with Stabilizer 16.3 มีระบบควบคุมการท างานด้วยไมโครโปรเซสเซอร์ 16.4 จ่ายไฟฟ้าส ารองได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้องเช่น ไฟเกิน ไฟกระชาก ไฟกระพริบ ไฟ

ลัดวงจร สัญญาณรบกวนและใช้เครื่องเกินก าลัง (Overload) 16.5 ส ารองไฟได้ไม่น้อยกว่า 6 นาที เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่ Full load 360 w 16.6 มีระบบสัญญาณเตือนและไฟแสดง (LED) สถานะ ดังนี้ได ้

16.6.1 บอกสถานะ Load เกิน (overload) 16.6.2 บอกสถานะของ Battery ในกรณีหมดอายุการท างาน 16.6.3 บอกสถานะ Battery จ่ายไฟ

16.7 มีคุณสมบัติด้าน Input ดังนี้ 16.7.1 แรงดันไฟฟ้าขาเข้า 220 V ± 25% 16.7.2 ความถี่ไฟฟ้าขาเข้า 50 Hz ± 10%

16.8 มีคุณสมบัติด้าน Output ดังนี้ 16.8.1 แรงดันไฟฟ้าขาออก 220 V ± 5% 16.8.2 ความถี่ไฟฟ้าขาออก 50 Hz ± 1%

16.9 มีรูปคลื่น (Wave Form) ไฟฟ้าขาออกเป็น Pure Sine Wave 16.10 ถอดเปลี่ยน Battery ได้สะดวก 16.11 ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านไฟฟ้า เช่น UL หรือ FCC หรือ มอก. 1291-2545 16.12 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่มีแหล่งที่ตั้งของโรงงานในประเทศไทย และโรงงานนั้นต้องได้มาตรฐาน

ISO 9001 โดยผลิตภัณฑ์ UPS รุ่นที่เสนอนี้ต้องมีเอกสารรับรองมาตรฐานการผลิตตาม มอก. 1291 – 2545 และมีเอกสารรับรองการผลิตภายในประเทศ

มาตรฐานการติดตั้งระบบ...

Documents