km.saard.ac.thkm.saard.ac.th/files/150331099392640_15042314141000.docx · web viewเน...
TRANSCRIPT
ครึง่ชวีติของธาตกัุมมนัตรงัสี
ครึง่ชวีติของธาต ุ(half life) หมายถึง ระยะเวลาที่สารสลายตัวไปจนเหลือเพยีงครึง่หน่ึงของปรมิาณเดิมใชส้ญัลักษณ์เป็น t1/2 นิวเคลียสของธาตกุัมมนัตรงัสท่ีีไมเ่สถียร จะสลายตัวและแผ่รงัสไีด้เองตลอดเวลาโดยไมข่ึ้นอยูก่ับอุณหภมูหิรอืความดัน อัตราการสลายตัว เป็นสดัสว่นโดยตรงกับจำานวนอนุภาคในธาตกุัมมนัตรงัสนัีน้ ปรมิาณการสลายตัวจะบอกเป็นครึง่ชวีติเป็นสมบติัเฉพาะตัวของแต่ละไอโซโทป
ตัวอยา่งเชน่ C-14 มคีรึง่ชวีติ 5730 ปี หมายความวา่ ถ้ามี C-14 1 กรมั เมื่อเวลาผ่านไป 5730 ปี จะเหลือ C-14 อยู ่0.5 กรมั และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 5730 ปี จะเหลืออยู่ 0.25 กรมั เป็นดังน้ีไปเรื่อยๆ กล่าวได้วา่ทกุๆ 5730 ปี จะเหลือ C-14 เพยีงครึง่หน่ึงของปรมิาณเดิม ครึง่ชวีติเป็นสมบติัเฉพาะตัวของแต่ละไอโซโทป และสามารถใช้เปรยีบเทียบอัตราการสลายตัวของธาตกุัมมนัตรงัสแีต่ละชนิดได้ ตัวยา่งครึง่ชวีติของไอโซโทปกัมมนัตรงัสบีางชนิด ครึง่ชวีติของธาตกุัมมนัตรงัสีชนิดต่างๆมค่ีาไมเ่ท่ากัน เชน่ เทคนีเทียม -99 มคีรึง่ชวีติ 6 ชัว่โมงเท่านัน้ สว่นยูเรเนียม -235 มคีรึง่ชวีติ 4.5 ล้านปี ครึง่ชวีติ (half life) ของสารกัมมนัตรงัส ีสามารถนำาไปใชห้าอายุอายุสมับูรณ์ (Absolute Age) เป็นอายุของหนิหรอืซากดึกดำาบรรพ ์ท่ีสามารถบอกจำานวนปีท่ีค่อนขา้งแน่นอน การหาอายุสมับูรณ์ใชว้ธิคีำานวณจากครึง่ชวีติ ของธาตกุัมมนัตรงัสท่ีีมอียูใ่นหนิ หรอืซากดึกดำาบรรพท์ี่ต้องการศึกษา ธาตกุัมมนัตรงัสทีี่นิยมนำามาหาอายุสมับูรณ์ได้แก่ ธาตุคารบ์อน – 14 ธาตโุพแทศเซยีม – 40 ธตาเรเดียม – 226 และธาตุยูเรเนียม – 238 เป็นต้น การหาอายุสมับูรณ์มกัใชก้ับหนิที่มอีายุมากเป็นแสนล้านปี เชน่ หนิแกรนิตบรเิวณฝ่ังตะวนัตกของเกาะภเูก็ต ซึ่งเคยเป็นหนิต้นกำาเนิดแรด่ีบุกมอีายุสมับูรณ์ประมาณ 100 ล้านปี สว่นตะกอนและซากดึกดำาบรรพท่ี์มอีายุน้อยกวา่ 50,000 ปี มกัจะใชว้ธิกีัมมนัตภาพรงัสีคารบ์อน –14 เชน่ ซากหอยนางรมท่ีวดัเจดียห์อย อำาเภอลาดหลมุแก้ว จงัหวดัปทมุธานี มอีายุประมาณ 5,500 ปีของวตัถโุบราณ
นอกจากนัน้ยงัใชค้ำานวณอายุของโลก พบวา่วา่ประมาณครึง่หน่ึงของยูเรเนียมท่ีมมีาแต่แรกเริม่ได้สลายตัวเป็นตะกัว่ไปแล้ว ดังนัน้อายุของโลกคือประมาณครึง่ชวีติของยูเรเนียม หรอืราว 4,500 ล้านปี
ประโยชน์ของครึง่ชวีติ
ครึง่ชวีติสามารถใชห้าอายุของวตัถโุบราณที่มธีาตคุารบ์อนเป็นองค์ประกอบ เรยีกวา่วธิ ีRadiocarbon Dating ซึ่งคำาวา่ dating หมายถึง การหาอายุจงึมกัใชห้าอายุของวตัถโุบราณที่มคีณุค่าทางประวติิศาสตร์
หลักการสำาคัญของการหาอายุวตัถโุบราณโดยวธิี Radiocarbon Dating เป็นหลักการที่อาศัยความรูเ้กี่ยวกับกัมมนัตภาพรงัสทีี่เกิดขึ้นเองในอากาศ ตัวการท่ีสำาคัญคือ รงัสคีอสมกิ ซงึอยูใ่นบรรยากาศเหนือพื้นโลก มคีวามเขม้สงูจนทำาใหนิ้วเคลียสขององค์ประกอบของอากาศแตกตัวออก ใหอ้นุภาคนิวตรอน แล้วอนุภาคนิวตรอนชนกับไนโตรเจนในอากาศ
ตารางครึง่ชวีติของธาตกัุมมนัตรงัสบีางชนิด
ตารางท่ี 1 แสดงครึง่ชวีติของธาตกุัมมนัตรงัสบีางธาตแุละชนิดของการสลายตัว
ขอ้ควรจำา
1. ในทางปฏิบติัการวดัหาจำานวนนิวเคลียสโดยตรงกระทำาได้ยาก และเน่ืองจากจำานวนนิวเคลียสในสารหน่ึง ๆ จะเป็นสดัสว่นกับปรมิาณของสารนัน้ ๆ ดังนัน้จงึพจิารณาเป็นค่ากัมมนัตภาพหรกืารวดัมวลแทน ดังน้ี
โดยท่ี A0 คือกัมมนัตภาพท่ีเวลาเริม่ต้น (t=0)
โดยท่ี m0 คือมวลสารตัง้ต้นที่เวลาเริม่ต้น (t=0)
ประโยชน์และโทษของธาตกัุมมนัตรงัสี
ในทางอุตสาหกรรม ใชร้งัสวีดัวามหนาของวสัดใุนโรงงานผลิตกระดาษ ผลิตแผ่นยาง และแผ่นโลหะ ใชร้งัสใีนการวเิคราะหส์ว่นประกอบของผลิตภัณฑ์ เชน่ โลหะผสม แร ่ถ่านหนิ และตรวจสอบรอยเชื่อม รอนรา้วใน–โลหะหรอืโครงสรา้งอาคาร ใชยู้เรเนียมเป็นเชื้อเพลิงสำาหรบัผลิตกระแสไฟฟา้ในโรงไฟฟา้นิวเคลียร์
ทางการเกษตร ใชร้งัสใีนการถนอมอาหารเพื่อยดือายุการเก็บรกัษาอาหาร เพราะรงัสจีะทำาลายแบคทีเรยีและจุลินทรยีท่ี์ก่อใหเ้กิดการเน่าเสยีในอาหาร ใชร้งัสเีพื่อปรบัปรุงพนัธุพ์ชืใหม้คีวามแขง็แรงต้านทานต่อโรคและแมลง เพื่อเพิม่ผลผลิตใหส้งูขึ้น
จะเหน็ได้วา่ธาตกุัมมนัตรงัสใีหป้ระโยชน์ต่อมนุษยอ์ยา่งมาก แต่ถ้าใชไ้ม่เหมาะสม เชน่ ทำาระเบดินิวเคลียรก์็จะเป็นมหนัตภัยรา้ยแรง ดังนัน้ การใช้ธาตกุัมมนัตรงัสจีงึมทัีง้ประโยชน์และโทษ
5.ฟสิกิสน์ิวเคลียร์การค้นพบกัมมนัตภาพรงัสีเรนเก็น (roentgen) ค้นพบการแผ่รงัสเีอ็กส ์ของแบเรยีมท่ีเรอืงแสงทำาใหฟ้ล์ิมดำาเบคเคอเรล (Henri Becquerel) นักฟสิกิสช์าวฝรัง่เศส เป็นผู้ค้นพบกัมมนัตภาพรงัสใีนสารประกอบยูเรเนียม เรยีกวา่ รงัสยูีเรนิก ในขณะท่ีทำาการวเิคราะหเ์กี่ยวกับรงัสเีอกซ ์ กัมมนัตภาพรงัสมีสีมบติัแตกต่างจาก
รงัสเีอกซ ์คือ มคีวามเขม้น้อยกวา่รงัสเีอกซ ์ การแผ่รงัสเีกิดขึ้นอยา่งต่อเน่ืองตลอดเวลาธาตกัุมมนัตรงัส ี(Radioactive Elements) หมายถึง ธาตท่ีุมใีนธรรมชาติท่ีแผ่รงัสอีอกมาได้เองกัมมนัตภาพรงัส ี(Radioactivity) เป็นปรากฎการณ์อยา่งหนึ่งของสารที่มสีมบติัในการแผ่รงัสอีอกมาได้เอง กัมมนัตภาพรงัส ีที่แผ่ออกมามีอยู ่3 ชนิดด้วยกัน คือ รงัสแีอลฟา รงัสเีบตา และรงัสแีกมมาโดยเมื่อนำาสารกัมมนัตรงัสใีสล่งในตะกัว่ที่เจาะรูเอาไวใ้หร้งัสอีอกทางชอ่งทางเดียวไป ผ่านสนามไฟฟา้ พบวา่รงัสหีน่ึงจะเบนเขา้หาขัว้บวกคือรงัสีเบตา อีกรงัสหีน่ึงเบนเขา้หาขัว้ลบคือรงัสแีอลฟาหรอือนุภาคแอลฟา สว่นอีกรงัสหีน่ึงเป็นกลางทางไฟฟา้จงึไมถ่กูดดูหรอืผลักด้วยอำานาจแมเ่หล็กหรอือำานาจนำาไฟฟา้ ใหช้ื่อรงัสน้ีีวา่ รงัสแีกมมา ดังรูป
รูปแสดงการเบีย่งเบนของรงัสชีนิดต่างๆ ในสนามไฟฟา้
การเกิดกัมมนัตภาพรงัสี1. เกิดจากนิวเคลียสในภาวะพื้นฐาน รบัพลังจำานวนมากทำาใหนิ้วเคลียสกระโดดไปสูร่ะดับพลังงานที่สงูขึ้น ก่อนกลับสูภ่าวะพื้นฐานนิวเคลียรจ์ะคลายพลังงานออกมาในรูป โฟตอนท่ีมพีลังงานสงู ยา่นความถ่ีรงัสี“ “แกมมา2. เกิดจากการท่ีนิวเคลียรบ์างอัน อยูใ่นสภาพไมเ่สถียร คือมอีนุภาคบางอนุภาคมากหรอืน้อยเกินไป ลักษณะน้ีนิวเคลียรจ์ะปรบัตัว คายอนุภาคเบตาหรอืแอลฟาออกมา
ชนิดของกัมมนัตภาพรงัสี
1) รงัสแีอลฟา (Alpha Ray – α) เกิดจากการสลายตัวของนิวเคลียสท่ีมขีนาดใหญ่และมมีวลมากเพื่อเปล่ียนแปลงใหเ้ป็นนิวเคลียสที่มเีสถียรภาพสงูขึ้น ซึ่งรงัสน้ีีถกูปล่อยออกมาจากนิวเคลียสด้วยพลังงานต่าง ๆ กัน รงัสแีอลฟาก็คือนิวเคลียสของฮีเลียม แทนด้วย มปีระจุบวกมขีนาดเป็น 2 เท่าของประจุอิเล็กตรอน คือเท่ากับ +2e และมีนิวตรอน อีก 2 นิวตรอน (2n) มมีวลเท่ากับนิวเคลียสของฮีเลียมหรอืประมาณ 7000 เท่าของอิเล็กตรอน เนื่องจากมมีวลมากจงึไมค่่อยเกิดการเบีย่งเบนง่ายนัก เมื่อวิง่ไปชนสิง่กีดขวางต่าง ๆ เชน่ ผิวหนัง แผ่นกระดาษ จะไมส่ามารถผ่านทะลไุปได้ แต่จะถกูดดูซมึได้อยา่งรวดเรว็แล้วจะถ่ายทอดพลังงานเกือบทัง้หมดออกไป ทำาใหอิ้เล็กตรอนของอะตอมท่ีถกูรงัสแีอลฟาชนหลดุออกไป ทำาใหเ้กิดกระบวนการที่เรยีกวา่ การแตกตัวเป็นไอออน
แสดงการสลายตัวของสารแล้วใหร้งัสแีอลฟา
สมการการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสท่ีีใหร้งัสแีอลฟา เป็นดังน้ี
+
จากรูป +
2) รงัสเีบตา (Beta Ray – β) เกิดจากการสลายตัวของนิวไคลด์ท่ีมีจำานวนโปรตอนมากเกินไปหรอืน้อยเกินไป โดยรงัสเีบตาแบง่ได้ 2 แบบคือ1. เบตาลบหรอืหรอือิเล็กตรอน ใชส้ญัลักษณ์ หรอื เกิดจากการสลายตัวของนิวเคลียสที่มนิีวตรอนมากกวา่โปรตอน ดังนัน้จงึต้องลดจำานวนนิวตรอน ลงเพื่อใหนิ้วเคลียสเสถียรภาพ
แสดงการสลายตัวของสารแล้วใหร้งัสเีบตาลบ
สมการการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสท่ีีใหร้งัสเีบตาลบ เป็นดังน้ี
+
จากรูป +
2. เบตาบวกหรอืหรอืโพสติรอน ใชส้ญัลักษณ์ หรอื เกิดจากการสลายตัวของนิวเคลียสที่มโีปรตอนมากเกินกวา่นิวตรอน ดังนัน้จงึต้องลดจำานวนโปรตอนลงเพื่อใหนิ้วเคลียสเสถียรภาพ
แสดงการสลายตัวของสารแล้วใหร้งัสเีบตาบวก
สมการการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสท่ีีใหร้งัสเีบตาบวก เป็นดังน้ี
+
จากรูป +
เน่ืองจากอิเล็กตรอนนัน้เบามาก จงึทำาใหร้งัสเีบตาเกิดการเบีย่งเบนได้ง่าย สามารถเบีย่งเบนในสนามไฟฟา้และสนามแมเ่หล็กได้ มคีวามเรว็สงูมากคือมากกวา่ครึง่ของ ความเรว็แสงหรอืประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวนิาที มอีำานาจในการทะลทุะลวงมากกวา่รงัสแีอลฟา แต่น้อยกวา่รงัสีแกมมา
3) รงัสแีกมมา(Gamma Ray) ใชส้ญัลักษณ์ γ เกิดจากการท่ีนิวเคลียสท่ีอยูใ่นสถานะกระตุ้นกลับสูส่ถานะพื้นฐานโดยการปลดปล่อยรงัสีแกมมาออกมา รงัสแีกมมา ก็คือโฟตอนของการแผ่คล่ืนแมเ่หล็กไฟฟา้เชน่เดียวกับรงัสเีอ็กซ ์แต่มคีวามยาวคล่ืนสัน้กวา่และมอีำานาจในการทะลทุะลวงสงูมากกวา่รงัสเีอ็กซ ์ไมม่ปีระจุไฟฟา้และมวล ไมเ่บีย่งเบนในสนามไฟฟา้และสนามแม ่เหล็กและ เคล่ือนท่ีด้วยความเรว็เท่าแสง
แสดงการสลายตัวของสารแล้วใหร้งัสแีกมมา
สมการการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสท่ีีใหร้งัสแีกมมา เป็นดังน้ี
+
จากรูป +
การวเิคราะห์ชนิดของประจุของสารกัมมนัตภาพรงัสโีดยใชส้นามแม่เหล็ก
จะเหน็ได้วา่ α เบนในสนามแมเ่หล็ก เหมอืนกับมปีระจุเป็นบวกβ เบนในสนามแมเ่หล็ก เหมอืนกับมปีระจุเป็นลบγ ไมเ่บนเลย (แสดงวา่ไมม่ปีระจุไฟฟา้)
สมบติัของกัมมนัตภาพรงัสี α , β , γ 1. อนุภาค α (α – particles) คือนิวเคลียสของอะตอมของธาตุฮีเลียมซึ่งประกอบด้วยโปรตอน 2 อนุภาค และนิวตรอน 2 อนุภาค2. อนุภาค β (β – particle ) คืออิเล็กตรอน เป็นอนุภาคมมีวล , มีประจุไฟฟา้ลบ , เคล่ือนที่ด้วยความเรว็สงูมากเกือบเท่าความเรว็แสง , มีมวลน้อยมากเมื่อเทียบกับอำานาจทะลทุะลวงปานกลาง3. รงัส ีγ ( γ – gamma rays ) เป็นคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟา้มคีวามยาวชว่งคล่ืนสัน้มาก , ความถ่ีสงู (มากกวา่รงัส ีX ) มคีวามเรว็เท่ากับแสงในสญูญากาศ , มอีำานาจทะลวงสงู , ไมม่ปีระจุไฟฟา้ ( จงึไมเ่บีย่งเบนในสนาม
ไฟฟา้หรอืในสนามแมเ่หล็ก ) ผ่านคอนกรตีหนา หน่ึงสว่นสามเมตร ได้เชน่เดียวกับรงัสเีอกซ์สรุป1. สรุปอนุภาค α มปีระจุ + 2 , มมีวล 4 amu มอัีตราเรว็ 1/15 ความเรว็แสง มอีำานาจทะลทุะลวงน้อยกวา่รงัสอ่ืีน2. สรุปอนุภาค β
คือ electron , มมีวลน้อยมาก , ประจุ – 1 ความเรว็สงูมาก เกือบเท่าความเรว็แสง อำานาจทะลทุะลวงปานกลาง3. สรุปรงัส ีγ
เป็นคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟา้ , มคีวามถี่สงูสดุ มคีวามเรว็เท่าแสง อำานาจทะลทุะลวงสงูการเปลี่ยนสภาพนิวเคลียสในการศึกษาธาตกุัมมนัตรงัสต่ีางๆ พบวา่ เวลามกีารแผ่รงัสแีอลฟาหรอืรงัสเีบตาจะมธีาตใุหมเ่กิดขึ้นเสมอ จงึกล่าวได้วา่รงัสเีหล่าน้ีเกิดจากการเปล่ียนสภาพของนิวเคลียส ดังนัน้การศึกษากัมมนัตภาพรงัสจีะทำาใหรู้อ้งค์ประกอบของนิวเคลียสได้
โครงสรา้งของนิวเคลียสภายในอะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสและอิเล็กตรอน ซึ่งภายในนิวเคลียสมีอนุภาคหลักอยู ่2 ชนิดคือ โปรตอนและนิวตรอน
ดังรูป
แสดงอนุภาคภายในนิวเคลียส
โดยอนุภาคทั้งสามในอะตอมเป็นดังนี้1. โปรตอน มปีระจุบวก โดยขนาดของประจุเท่ากับ 1.6×10-19 C และโดยมมีวลนิ่ง 1.67252 x 10-27 kg หรอืมค่ีาเท่ากับ 1.007277 u สญัลักษณ์ของโปรตอนแทนด้วย 2. นิวตรอน มอีนุภาคท่ีเป็นกลางทางไฟฟา้ ไมม่ปีระจุ และโดยมมีวลนิ่ง 1.67482 x 10-27 kg หรอืมค่ีาเท่ากับ 1.008665 u สญัลักษณ์ของนิวตรอนแทนด้วย 3. อิเล็กตรอน มปีระจุลบ โดยขนาดของประจุเท่ากับ 1.6×10-19 C และโดยมมีวลนิ่ง 9.1×10-31 kg หรอืมค่ีาเท่ากับ 0.000548 u สญัลักษณ์ของอิเล็กตรอนแทนด้วย
การค้นพบนิวตรอน จากแนวคิดของรทัเธอรฟ์อรด์ท่ีเสนอวา่ นิวเคลียส น่าจะประกอบด้วย โปรตอนและนิวตรอน โดยนิวตรอนเป็นอนุภาคท่ีเกิดจากการรวมตัวกันของโปรตอนและอิเล็กตรอน อนุภาคนิวตรอนจะเป็นกลางทางไฟฟา้ การค้นหาวา่มอีนุภาคนิวตรอนนัน้เป็นเรื่องท่ีทำาได้ยากมาก เพราะการทดสอบสว่นใหญ่มกัจะทดสอบด้วยสนามแมเ่หล็กและสนามไฟฟา้ สว่นอนุภาคนิวตรอนไมม่ปีระจุยอ่มไมเ่บีย่งเบนในสนามทัง้สองหลังจากมกีารพยายาม พบวา่มกีารทดลองหน่ึง คือยงิอนุภาคแอลฟาไปที่อะตอมของเบรลิเลียม จะมปีลดปล่อยรงัสหีน่ึงออกมามสีมบติัคล้ายรงัสี
แกมมา เพราะเป็นกลางทางไฟฟา้ สามารถทะลทุะลวงในวตัถไุด้ดี แต่เมื่อทดสอบในเรื่องพลังงาน พบวา่รงัสมีพีลังงานมากกวา่รงัสแีกมมาแชดวคิ เป็นคนที่ทดลองและสรุปการชนของรงัสนีี้ชนกับพาราฟนิเปรยีบเทียบกับใหร้งัสแีกมมาชนพาราฟนิ แล้วตรวจสอบความเรว็ พบวา่การชนของรงัสท่ีีสงสยักับพาราฟนิเป็นการชนของอนุภาคชนกับอนุภาค จงึสรุปวา่ รงัสน้ีี คือ อนุภาคนิวตรอน ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวคิดของรทัเธอรฟ์อรด์ ท่ีวา่อนุภาคนิวตรอนเป็นอนุภาคท่ีเป็นกลางท่ีอยูใ่นนิวเคลียส
การสลายกัมมนัตรงัสี สมมติฐานการสลายตัวของธาตกุัมมนัตรงัส ีของรทัเทอรฟ์อรด์และ
ซอดดี (Soddy)กล่าววา่1. การสลายตัวของธาตกุัมมนัตรงัสเีป็นการสลายตัวท่ีเกิดขึ้นเอง โดยไมข่ึ้นกับสภาวะแวดล้อมของนิวเคลียส (เชน่ การจดัตัวของอิเลคตรอน ความดัน อุณหภมูิ)2. การสลายตัวเป็นกระบวนการสุม่ (Random Process) ในชว่งเวลาใดๆ ทกุๆ นิวเคลียสมโีอกาสท่ีจะสลายตัวเท่ากัน ดังนัน้ ในชว่งเวลาหน่ึงๆ ปรมิาณนิวเคลียสที่สลายตัวจงึเป็นสดัสว่นโดยตรงกับปรมิาณนิวเคลียสที่เหลืออยู่
อัตราการสลายของนิวเคลียสของธาตกุัมมนัตรงัส ีในขณะหน่ึงจะแปรผันตรงกับจำานวนนิวเคลียสของธาตกุัมมนัตรงัสนัีน้ท่ีมอียูใ่นขณะนัน้
สตูร
โดย λ เป็นค่าคงที่ของการแปรผัน เรยีก ค่าคงตัวการสลาย (decay constant)
อัตราการแผ่รงัสอีอกมาในขณะหน่ึง คือ กัมมนัตภาพ(activity) มีสญัลักษณ์ A
A = λN
หน่วยวดักัมมนัตภาพ นิยมวดัเป็นหน่วยครูี ่ โดย Bq (เบคเคอเรล)
การหาจำานวนนิวเคลียสเมื่อเทียบกับฟงัก์ชนัของเวลา
กราฟแสดงการลดจำานวนนิวเคลียสของธาตกุัมมนัตรงัส ีณ เวลาต่างๆ
ชว่งเวลาของการสลายท่ีจำานวนนิวเคลียสลดลงเหลือครึง่หน่ึงของ
จำานวนเริม่ต้น เรยีกวา่ ครึง่ชวีติ (Half Life) มสีญัลักษณ์
สตูร
การหาจำานวนนิวเคลียสโดยตรงนัน้ทำาได้ยาก นิยมวดัจากกัมมนัตภาพท่ีแผ่ออกมาดังสตูร
สภาพสมดลุของธาตกุัมมนัตรงัสี หมายถึง ในธรรมชาติมธีาตุกัมมนัตรงัสท่ีีสลายตัวแล้วกลายเป็นนิวเคลียสของธาตใุหม่ แต่ธาตุใหมท่ี่ได้น้ียงัไมเ่สถียรภาพทีเดียว จงึเกิดการสลายต่อไป จะพจิารณากรณีธาต ุA สลายตัวใหธ้าต ุB สลายตัวใหธ้าต ุC สตูรคือ
ดังนัน้
กราฟแสดงอัตราการสลายของธาต ุA จะเท่ากับอัตราการเกิดของธาต ุB
เมื่อเวลาเพิม่ขึ้นปรมิาณนิวเคลียสของธาตกุัมมนัตรงัสจีะลดลงเรื่อยๆ แต่ปรมิาณนิวเคลียสจะไมล่ดลงเป็นศูนย์ ไมว่า่เวลาจะผ่านไปเท่าใดก็ตาม การพูดถึงเวลาที่ธาตกุัมมนัตรงัสสีลายตัวหมดจงึไมม่คีวามหมาย ในทางทฤษฎีจงึพูดถึงเวลาท่ีธาตสุลายตัวเหลือเป็นครึง่หน่ึงของปรมิาณเดิม
สมการการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสีจากการทดลองพบวา่อัตราการสลายตัวของนิวเคลียสจะเป็นปฏิภาคกับจำานวนนิวเคลียสท่ีมอียูข่ณะนัน้
เขยีนเป็นสมการได้วา่
หรอื
โดยท่ี λ แทนค่าคงท่ีของการสลายตัว (decay constant)
ถ้าให ้ เป็นจำานวนนิวเคลียสเริม่ต้นที่เวลา t = 0 และ เป็นจำานวนนิวเคลียสท่ีเหลือ เมื่อเวลาผ่านไป t จะได้
การสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสแีสดงได้ดังรูป
กราฟการสลายตัวของสารกัมมนัตรงัสี
ครึง่ชวีติของธาตุการสลายตัวของธาตกุัมมนัตรงัสชีนิดหน่ึง ๆ จะแสดงลักษณะที่แตกต่างกันด้วยเวลาของการสลายตัวที่เรยีกวา่ ครึง่ชวีติ (Half – Life) แทน
ด้วย ซึ่งหมายถึงชว่งเวลาท่ีธาตมุนัตรงัสหีน่ึงจะสลายไปเหลือเพยีงครึง่หน่ึงของปรมิาณท่ีมอียูเ่ดิม ซึ่งจากกราฟ พบวา่
ในเวลาเริม่ต้น t = 0 จำานวนนิวไคล์ทัง้หมดเป็น
เมื่อเวลาผ่านไปครึง่ชวีติ t = T½ จำานวนนิวไคล์ท่ีเหลือ
เป็น
และเมื่อเวลาผ่านไป t = 2T½ จำานวนนิวไคล์ท่ีเหลือ
เป็น
ขอ้ควรจำาในทางปฏิบติัการวดัหาจำานวนนิวเคลียสโดยตรงกระทำาได้ยาก และเน่ืองจากจำานวนนิวเคลียสในสารหน่ึง ๆ จะเป็นสดัสว่นกับปรมิาณของสารนัน้ ๆ ดังนัน้จงึพจิารณาเป็นค่ากัมมนัตภาพหรกืารวดัมวลแทน ดังน้ี
กัมมนัตภาพท่ีเวลาใด ๆ =
โดยท่ี โดยที่ คือกัมมนัตภาพท่ีเวลาเริม่ต้น (t=0)
มวลที่เวลาใดๆ =
โดยท่ี คือมวลสารตัง้ต้นที่เวลาเริม่ต้น (t=0)
การหาจำานวนนิวเคลียสสามารถทำาได้ดังน้ี
ถ้า M แทนมวลอะตอมของธาต ุ(กรมัต่อโมล)m แทนมวลของธาต ุ(กรมั)
แทนเลขอะโวกาโดร = 6.02×10²³ อะตอมต่อโมลN แทนจำานวนอะตอม (อะตอม)
จะได้วา่ =
เสถียรภาพของนิวเคลียสแรงนิวเคลียร์จากการศึกษานิวเคลียส สรุปได้วา่แรงท่ียดึเหน่ียวนิวคลีออนเขา้ด้วยกัน คือ แรงนิวเคลียร์
แรงนิวเคลียร ์ คือ แรงท่ีใชย้ดึเหน่ียวนิวคลีออนเขา้ด้วยกัน ซึ่งไมใ่ชท่ัง้แรงระหวา่งประจุและแรงดึงดดูระหวา่งมวล แต่เป็นแรงท่ีเกิดจากการแลกเปล่ียนอนุภาคเมซอนระหวา่งนิวคลีอออนในนิวเคลียส
มวลและพลังงานเน่ืองจากอะตอมมขีนาดเล็กมาก ในการวดัมวลใน 1 หน่วยอะตอม (atomic mass unit) แทนด้วย u โดยใชม้วลของคารบ์อน-12 เป็นค่ามาตรฐานในการเปรยีบเทียบ หาค่ามวลอะตอมอ่ืน ๆ โดยท่ี มวล 1 u มค่ีา
เท่ากับ ของมวลคารบ์อน-12 1 อะตอม เขยีนได้วา่
1 u = มวลของคารบ์อน -12 1 อะตอม
= กรมั
= กิโลกรมั
จากทฤษฎีของไอสไตน์กล่าววา่ มวลสามารถเปล่ียนเป็นพลังงานได้ตามความสมัพนัธ์
=
แทนค่าจะได้ =
=
โดยท่ี (อิเล็กตรอนโวลต์)
=
= eV = 931 MeV
ดังนัน้จะได้ 1 u = 931 MeV
นัน่คือ มวล 1 u เทียบได้กับพลังงาน 931 MeV
เสถียรภาพของนิวเคลียส คือ เสถียรภาพของนิวคลียสขึ้นอยูก่ับพลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออน นิวเคลียสใดมพีลังงานยดึเหน่ียวต่อนิวคลีออนสงูจะมเีสถียรภาพสงู
พลังงานยดึเหนี่ยวพลังงานยดึเหนี่ยว (Binding Energy)คือ พลังงานที่ใชใ้นการยดึ“นิวคลีออน เขา้ได้ด้วยกันในนิวเคลียสของธาตุ หรอืเป็น พลังงานท่ีน้อย” “ท่ีสดุ ท่ีสามารถทำาใหนิ้วเคลียสแตกตัวเป็นองค์ประกอบยอ่ย”
การท่ีโปรตอนและนิวตรอนสามารถอยูก่ันได้ในนิวเคลียส, เพราะมพีลังงานยดึเหนี่ยว1. มวลของนิวเคลียสน้อยกวา่ ผลรวมของมวลโปรตอนและนิวตรอน (ในสภาพอิสระ) ท่ีประกอบเป็น นิวเคลียสเสมอ2. มวลสว่นที่หายไป เรยีกวา่ mass defect (Δm)3. เทียบมวลเป็นพลังงานได้จาก E=mc²มวลพรอ่ง (mass defect) หมายถึงมวลสว่นหน่ึงท่ีหายไป โดยเมื่อนิวคลีออนอิสระมารวมกันเป็นนิวเคลียส มวลของนิวเคลียสที่เกิดขึ้นใหมจ่ะมมีวลน้อยกวา่ ผลรวมของมวลนิวคลีออนอิสระก่อนรวมถ้าให ้M แทนนิวเคลียสที่มเีลขมวล A และเลขอะตอมเป็น Z ซึ่ง Z คือจำานวนประจุบวกซึ่งแต่ละประจุมมีวล และ (A-Z) แทนจำานวนนิวตรอนซึ่งแต่ละตัวมมีวล ดังนัน้จะคำานวณหามวลพรอ่งได้ดังน้ี
=
แทนมวลพรอ่ง มหีน่วยเป็น u (atomic mass unit)
โดย พลังงานยดึเหน่ียว น้ีเปล่ียนรูปมาจากมวลพรอ่ง นัน่เองโดยการหาค่าพลังงานยดึเหน่ียวได้จาก การเปล่ียนแปลงของมวลเปล่ียนเป็นพลังงาน โดยถ้าให ้B.E. แทนพลังงานยดึเหน่ียว มหีน่วยเป็นเมกกะอิเล็กตรอนโวลต์ (MeV) และ แทนมวลพรอ่ง มหีน่วยเป็น u โดยท่ี มวล 1 u เทียบเท่ากับพลังงาน 931 MeV ดังนัน้จะได้
=
ตัวอยา่ง เชน่ เกิดจาก โปรตอน 2 ตัว และนิวตรอน 2 ตัว ดังสมการ
+
จะได้ + = 2(1.0073u) + 2(1.0087u) = 4.0320 u
มวลหลังจากรวม = 4.0015 u
ดังนัน้มวลพรอ่ง = (4.0320 u) – (4.0015 u) = 0.0305 u
พลังงานยดึเหน่ียว =
= 0.0305 x 931 MeV = 28.39 MeV
พลังงานยดึเหน่ียวของ มค่ีาเท่ากับ 28.39 MeV
ปฏิกิรยิานิวเคลียร์ ปฏิกิรยิานิวเคลียร ์(Nuclear Reaction) คือ กระบวนการที่นิวเคลียสเกิดการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบซึ่งเกิดจากการยงิด้วยนิวคลี
ออน หรอืกลุ่มนิวคลีออน หรอืรงัสแีกมมา แล้วทำาใหม้นิีวคลีออนเพิม่เขา้ไปในนิวเคลียสหรอืออกไปจากนิวเคลียสหรอืเกิดการเปล่ียนแปลงจดัตัวใหมภ่ายในนิวเคลียส สามารถเขยีนสมการของปฏิกิรยิาได้ดังน้ี
หรอื
โดยท่ี X เป็นนิวเคลียสท่ีเป็นเป้า , a คืออนุภาคท่ีวิง่เขา้ชนเป้า , b คืออนุภาคท่ีเกิดขึ้นใหมห่ลังจากการชน และ Y คือนิวเคลียสของธาตุใหมห่ลังจากการชน
เชน่ แสดงถึงวา่ เป็นนิวเคลียสเป้าหมายที่ถกูยงิ เป็นนิวเคลียสของธาตใุหมท่ี่เกิดขึ้น n คือนิวตรอนเป็นอนุภาคที่ใชใ้นการยงิ และ เป็นรงัสทีี่เกิดขึ้นใหม ่เป็นต้น
ปฏิกิรยิานิวเคลียร ์ สว่นมากเกิดจากการยงิอนุภาคแอลฟา โปรตอนและนิวตรอนเขา้ไปในชน Nucleus ทำาให ้ Nucleus แตกออก ปฏิกิรยิานิวเคลียร ์มสีว่นสำาคัญคือ1. ปฏิกิรยิา Nuclear เกิดในนิวเคลียส ต่างจากปฏิกิรยิาเคมี ซึ่งเกิดกับอิเลกตรอนภายในอะตอม2. ปฏิกิรยิา Nuclear ต้องใชพ้ลังงานเป็นจำานวนมากเพื่อจะทำาใหเ้กิดการเปล่ียนแปลงนิวเคลียส3. แรงจากปฏิกิรยิา Nuclear เป็นแรงแบบใหม ่เรยีก แรงนิวเคลียร ์ ซึ่งมอัีนตรกรยิาสงู และอาณาเขตกระทำาสัน้มากและแรงน้ีเกิดระหวา่งองค์ประกอบของนิวเคลียสเท่านัน้4. ในปฏิกิรยิานิวเคลียส เราสามารถนำากฎต่างๆ มาใชไ้ด้เป็นอยา่งดี คือ กฎการคงท่ีของพลังงาน กฎทรงมวล และการคงท่ีของประจุไฟฟา้
ขอ้ควรจำา1. ในสมการของปฏิกิรยิานิวเคลียรท์ัง้หลายท่ีเกิดขึ้น ผลรวมของเลขอะตอมก่อนเกิดปฏิกิรยิาและภายหลังปฏิกิรยิายอ่มเท่ากัน และผลรวมของ
มวลอะตอมก่อนเกิดปฏิกิรยิาและภายหลังปฏิกิรยิายอ่มเท่ากัน เชน่ ปฏิกิรยิา
เขยีนได้เป็น
เลขอะตอมคือ 7 + 2 = 8 + 1
มวลอะตอมคือ 14 + 4 = 17 + 1
2. ในปฏิกิรยิานิวเคลียรนั์น้พลังงาน หรอื มวล-พลังงาน (mass – energy) ก่อนปฏิกิรยิาและหลังปฏิกิรยิาจะต้องเท่ากันเสมอ ซึ่งเป็นไปตามกฎทรงพลังงาน ดังเชน่ ในการยงิอนุภาคโปรตอนไปยงันิวเคลียสของลิเทียมแล้วทำาใหเ้กิดนิวเคลียสของฮีเลียม 2 นิวเคลียส ดังสมการ
โดยท่ี มมีวล 7.0160 u มมีวล 4.0026 u
มมีวล 4.0026 u
มวลก่อนเกิดปฏิกิรยิา = 7.0160 u + 1.0078 u = 8.0238 u
มวลหลังเกิดปฏิกิรยิา = 4.0026 u + 4.0026 u = 8.0052 u
มวลรวมก่อนเกิดปฏิกิรยิามากกวา่มวลรวมหลังปฏิกิรยิา = 8.0238 u – 8.0052 u = 0.0186 u
แต่มวลสามารถเปล่ียนเป็นพลังงานได้โดย E = 0.0186 u × 931 MeV = 17.32 MeV
โดยพลังงานท่ีใหอ้อกมาอยูใ่นรูปคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟา้ท่ีออกมาจากปฏิกิรยิานิวเคลียร ์จงึเรยีก วา่พลังงานนิวเคลียร ์ดังนัน้เขยีนสมการขา้งต้นใหมไ่ด้วา่
ปฏิกิรยิานิวเคลียรบ์างปฏิกิรยิาต้องดดูพลังงานเขา้ไปจงึจะเกิดปฏิกิรยิาขึ้นได้ เชน่ ปฏิกิรยิา เขยีนเป็นสมการได้
โดยท่ี มมีวล = 14.003074 u มีมวล = 4.002603 u
มมีวล = 18.005677 u มมีวล = 1.007825 u
มวลก่อนเกิดปฏิกิรยิา = 14.003074 u + 4.002603 u = 18.005677 u
มวลหลังเกิดปฏิกิรยิา = 18.005677 u + 1.007825 u = 18.006958 u
ผลต่างของพลังงานก่อนเกิดปฏิกิรยิากับหลังเกิดปฏิกิรยิามคี่าดังน้ี
E = (18.005677 u – 18.006958 u) × 931MeV = -1.193 MeV
ดังนัน้ เพื่อทำาใหเ้กิดปฏิกิรยิานิวเคลียรน้ี์ขึ้นจะต้องใหพ้ลังงานแก่ โดยเขยีนเป็นสมการได้
สรุปปฏิกิรยิานิวเคลียร์
1. การหานิวเคลียสของธาตจุากปฏิกิรยิา ใชห้ลักดังน้ี ผลรวมของประจุทางซา้ยมอืและขวามอืของสมการมค่ีาเท่ากัน จำานวนนิวคลีออนทางซา้ยมอืและขวามอืของสมการมคี่าเท่ากัน
2. การคำานวณพลังงานจากปฏิกิรยิานิวเคลียร ์ มหีลักดังน้ี ถ้ามวลรวมก่อนเกิดปฏิกิรยิา > มวลรวมหลักเกิดปฏิกิรยิา ; ปฏิกิรยิาน้ี
จะคายพลังงานถ้ามวลรวมก่อนเกิดปฏิกิรยิา < มวลรวมหลังเกิดปฏิกิรยิา ; ปฏิกิรยิาน้ีจะดดูพลังงาน
พลังงานที่คายหรอืดดูจะหาได้จาก ผลต่างของมวลรวมก่อนทำาปฏิกิรยิากับหลังทำาปฏิกิรยิาคณูด้วย 931 โดยมวลอยูใ่นหน่วย amu และพลังงานอยูใ่นหน่วย MeV
มวลที่ใชอ้าจเป็นมวลนิวเคลียสโดยตรง หรอื มวลอะตอมก็ต้องเป็นมวลอะตอมหมดจะปนกันไมไ่ด้นิวเคลียสก็ต้องเป็นนิวเคลียสหมด หรอืมวลอะตอมก็ต้องเป็นมวลอะตอมหมดจะปนกันไมไ่ด้
ปฏิกิรยิาฟชิชนัปฏิกิรยิาฟชิชัน่ (Fission) เป็นปฏิกิรยิาแยกตัวของนิวเคลียส โดยมีนิวตรอนเป็นตัววิง่เชา้ชนนิวเคลียสหนัก (A>230) เป็นผลทำาใหไ้ด้นิวเคลียสท่ีมขีนาดปานกลาง และมนิีวตรอนท่ีมคีวามเรว็สงูเกิดขึ้นประมาณ 2-3 ตัว ทัง้มกีารคายพลังงานออกมาด้วย เชน่ ปฏิกิรยิาลกูโซ่
การเกิดปฏิกิรยิาการแตกตัว
ตัวอยา่งการแบง่แยกนิวเคลียส เชน่ การยงินิวตรอนไปยงันิวเคลียสของ ซึ่งจะแตกออกเป็น 2 สว่นเกือบเท่ากัน คือ เกิดนิวเคลียสของแบเรยีมและครปิตัน ดังสมการ
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร ์(Nuclear Reactor) เป็นเครื่องมอืที่ใชใ้นการผลิตพลังงานนิวเคลียร ์ โดยที่เราสามารถควบคมุการเกิดฟชิชัน่และปฏิกิรยิาลกูโซไ่ด้ พลังงานท่ีได้เราสามารถนำาไปใชใ้นการผลิตกระแสไฟฟา้ได้
เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ปฏิกิรยิาฟวิชนัปฏิกิรยิาฟวิชัน่ (Fusion) เป็นปฏิกิรยิาหลอมตัวของนิวเคลียสและมีพลังงานคายออกมาด้วย นิวเคลียสที่ใชห้ลอดจะต้องเป็นนิวเคลียสเล็กๆ (A<20) หลอมรวมกลายเป็นนิวเคลียสเบาท่ีใหญ่กวา่เดิม ในปัจจุบนัเชื่อกันวา่บนดาวฤกษ์ต่างๆ พลังงานมหาศาลที่ปล่อยออกมาเกิดจากปฏิกิรยิาฟวิชัน่ทัง้สิน้
ปฏิกิรยิาฟวิชนั
ตัวอยา่งของปฏิกิรยิาฟวิชัน่ท่ีทำาได้ในหอ้งปฏิบติัการ
1.
2.
3.
4.
ตัวอยา่งของปฏิกิรยิาฟวิชัน่ท่ีเกิดขึ้นบนดาวฤกษ์
1.
2.
3.
4.
ขอ้สงัเกตจะเหน็วา่ในแต่ละปฏิกิรยิาของฟชิชัน่และฟวิชัน่เมื่อเทียบพลังงานแล้ว ในฟชิชัน่หน่ึงปฎิกิรยิาจะใหพ้ลังงานมากกวา่ฟวิชัน่หน่ึงปฏิกิรยิา แต่ในขนาดมวลที่พอกันของสารที่ทำาใหเ้กิดฟวิชัน่ กับ สารท่ีทำาใหเ้กิดฟชิชัน่ จำานวนปฏิกิรยิาฟวิชัน่จะมากกวา่ฟชิชัน่มากเป็นผลทำาใหพ้ลังงานรวมท่ีได้จากฟวิชั่นมากกวา่ฟชิชัน่นัน่เอง
ขอ้ควรจำา1) ปฏิกิรยิาฟชิชัน่ 1 ปฏิกิรยิา จะใหพ้ลังงานมากกวา่ปฏิกิรยิาฟวิชัน่ 1 ปฏิกิรยิา
2) ขนาดของมวลนิวเคลียสท่ีเท่ากันเขา้กันทำาปฏิกิรยิาฟชิชัน่และปฏิกิรยิาฟวิชัน่ พลังงานท่ีเกิดจากปฏิกิรยิาฟวิชัน่จะมากกวา่พลังงานท่ีเกิดจากปฏิกิรยิาฟชิชัน่
ไอโซโทปเลขมวล เลขอะตอมและสญัลักษณ์ของนิวเคลียร์นิวคลีออน คือ อนุภาคที่รวมตัวกันอยูภ่ายใต้ นิวเคลียส ซึ่งหมายถึง โปรตอน (proton, ) และนิวตรอน (Neutron, ) ในนิวเคลียสมีสญัลักษณ์เป็น
โดยท่ี X เป็นสญัลักษณ์ของนิวเคลียสใดๆ
A เป็นเลขมวล (Atom mass number) หมายถึงจำานวนนิวคลีออนทัง้หมดท่ีอยูใ่นนิวเคลียส
Z เป็นเลขอะตอม หมายถึง จำานวนโปรตอนภายใน Nucleus
นิวไคลด์ (Nuclide) หรอืธาต ุหมายถึงนิวเคลียสที่มสีมบติับางอยา่งเหมอืนกัน สญัลักษณ์ของนิวไคลด์แทนด้วย โดยท่ี X แทนนิวไคลด์ใดๆ A แทนเลขมวล Z แทนเลขอะตอม เชน่
ไอโซโทป (Isotope) หมายถึง นิวไคลด์หรอืธาตท่ีุมเีลขอะตอมเท่ากันแต่มีเลขมวลต่างกัน เชน่ , ,